ความคิดเห็นที่ 1 กลต สรพพากรออกมาพูดแล้วนิแล้วไม่ผิด ผิดแต่จริยธรรม เอ สมัยก่อนมีลูกกะเมียชาวบ้านได้ เนี่ยก็ผิดจริยธรรมไหงไม่ออกมาเต้นแร้งกัน ที่จริงผิดศีลห้าด้วย คนเรา จากคุณ : guyver - [ 7 มี.ค. 49 14:07:58 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คนนี้ครับรู้จริง รายการถึงลูกถึงคน ตอน ก.ล.ต.แจงกรณีหุ้นชินคอร์ป http://www.mcot.net/tltk/today.php?id=442&ndate=2006-02-23 จากคุณ : nat1234 - [ 7 มี.ค. 49 14:20:55 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่ผิด เป็นการพักหุ้นไปมาเท่านั้น เมื่อกฏหมายบังคับว่า นายก ถือหุ้นไว้ไม่ได้ เขาก็ต้องพยายามวางแผนเอาไปไว้ ที่อื่นและเอากลับมาขายได้โดยไม่ต้องเสียภาษี (ซึ่งก็จะ ไม่ต้องกังวลเลย หากกฏหมายไม่ได้เขียนไว้แบบนั้น) ก็ แค่นั้นเอง ในเมื่อไม่ผิด ก็ไม่มีเหตุผลที่จะยึดทรัพย์ได้ (ถ้าทำได้คงมี คนพยายามทำไปแล้ว) ส่วนผิดจริยธรรมหรือไม่ ในเมื่อมันเป็นของของเขา ก็ควรเป็นสิทธิของเขา เมื่อคนอื่นๆ คนใดๆ ทำได้เหมือนกัน เขาก็แค่ทำเหมือน กับคนอื่น ก็ไม่ได้ผิดจริยธรรมตรงไหน บางคนอาจจะบอกว่า นายกต้องมีจริยธรรมพิเศษนอก เหนือไปจากคนอื่นอีก ความเห็นส่วนตัวเห็นว่าเป็นเรื่องรอง คือ "ได้คะแนนพิเศษ" แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น ทำ หน้าที่อื่นให้ดี เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ และคนไทย ทั่วไป จะดีกว่า จากคุณ : มือเก่าหัดขับ - [ 7 มี.ค. 49 14:35:49 ]

ความคิดเห็นที่ 5 http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I4168915/I4168915.html ดูที่ความคิดเห็น79ของกระทู้ข้างบนครับเพราะมันแตกต่างกันระหว่างผู้ขายที่เป็นบริษัทในประเทศกับบริษัทต่างประเทศ ผมว่าสรรพากรเค้าก็ไม่ได้ตอบผิดอะไรนะ จริงๆผมนึกถึงประเด็นอื่นมากกว่าแต่แปลกไม่ค่อยมีคนพูดถึง จากคุณ : มั่วๆ - [ 7 มี.ค. 49 15:28:29 A:58.64.123.175 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 จะพยายามรวมรวมมาตอบนะครับ Q1. ขั้นตอนเป็นอย่างไร >  ก่อนมาเล่นการเมือง ทักษิณถือหุ้น SHIN อยู่   และในปี 42  SHIN ได้แสดงเจตจำนงที่จะนำหุ้นส่วนหนึ่งไป list ในตลาด NASDAQ  ตามจดหมายที่แจ้ง ตลท.  ดังนี้ ที่ SH 063/2542 11 มิถุนายน 2542 เรื่อง ขอชี้แจงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ตามแบบ 246-2 ที่ผู้ถือหุ้นได้แจ้งให้สำนักงาน กลต. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบแล้วนั้น บริษัทฯ ขอชี้แจงเพิ่มเติมเพื่อความชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพื่อให้ทราบดังนี้ สัดส่วนเดิม และสัดส่วนใหม่ 1. นางพจมาน ชินวัตร 25.00% 25.00% 2. พ.ต.ท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร 23.75% 11.88% 3. Ample Rich Investments Limited 0% 11.87% (ถือหุ้นโดย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ทั้งหมด 100 %) 48.75% 48.75% การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้โอนหุ้นของบริษัทฯ จำนวน 11.87% ให้กับ Ample Rich Investments Limited ซึ่งผู้ถือหุ้นถือเป็นบุคคลเดียวกันกับเจ้าของเดิม แสดงให้เห็นว่ามิได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นแต่อย่างใด จึงทำให้การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นดังกล่าวไม่มีผลต่อโครงสร้างผู้ถือหุ้นทั้งทางด้านส่วนตัวและบริษัทฯ โดยเฉพาะในส่วนของการบริหารงานบริษัท โดยเฉพาะในส่วนของการบริหารงานบริษัทฯ ยังคงเป็นเช่นเดิม อย่างไรก็ตาม เพื่อชี้แจงให้เห็นวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ว่า เป็นการเตรียมการเพื่อสนับสนุนการที่บริษัทฯ มีความต้องการที่จะประสบความสำเร็จในการจัดหาเงินทุนจากต่างประเทศ ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาขยายการลงทุนด้านโทรคมนาคมในประเทศไทย ตามที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2542 ตามหนังสือเลขที่ SH 61/2542 แล้วนั้น เพื่อให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการจัดหาเงินทุนจากต่างประเทศดังกล่าว บริษัทฯ มีความจำเป็นที่ต้องสำรองหุ้นบางส่วนจากผู้ถือหุ้นปัจจุบันทั้งรายใหญ่และรายย่อย เพื่อทดสอบความสำเร็จและสภาพคล่องของ ADR Level I ก่อนนำหุ้นที่เพิ่มทุนเข้าสู่ ADR Level III หรือจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสหรัฐอเมริกาต่อไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอแสดงความนับถือ (นายบุญคลี ปลั่งศิริ) กรรมการ บมจ. ชิน คอร์ปอเรชั่นส์ ซึ่งต่อมา  ได้มีการเปลี่ยนใจที่จะไม่ไประดมทุนที่ NASDAQ  แต่เนื่องจากมีการโอนหุ้นไปพักไว้ที่ Ample Rish Investments  (ขอเรียกย่อๆ ว่า ARI) ก็แล้วกัน  ทำให้ ARI ยังมีหุ้นในส่วนนี้อยู่  ซึ่งต่อมีมีการแตกพาร์หุ้น SHIN จาก 10 บาท เป็น 1 บาท  ก็จะทำให้จำนวนหุ้นที่มีอยู่  เพิ่มขึ้น 10 เท่า  ตามสัดส่วนของพาร์ที่ลด การโอนหุ้นไปไว้ที่ ARI นี้เป็นการโอนไปด้วยราคาพาร์  ดังนั้น  ต้นทุนที่ ARI ถือไว้ก็คือ 1 บาทต่อหุ้น 2.  ต่อมาคุณทักษิณได้เข้ามาเล่นการเมือง  และลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 43    ซึ่งได้ทำการโอนหุ้นที่มีอยู่  ทั้งที่ถือหุ้น SHIN ทางตรง   และทางอ้อม (คือที่ถือผ่าน ARI)  ให้กับบุตรชายและบุตรสาว    ซึ่งการโอนหุ้นให้นี้  ตามกฏหมายได้ยกเว้นภาษีให้กับผู้รับ   เนื่องจากเข้าข่าย มาตรา 42(10) แห่งประมวลรัษฏากร  ที่บัญญัติไว้ว่า 10) เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา เงินได้ที่ได้รับจากการรับมรดก หรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ในการโอนหุ้นในส่วน ของ ARI นี้  ครั้งแรกได้โอนให้กับคุณพานทองแท้ทั้งหมด   แต่ต่อมา  ได้มีการเปลี่ยนสัดส่วนผู้ถือหุ้นของ ARI เป็นคุณโอ๊ค และคุณเอม  คนละครึ่ง 3.  เมื่อตระกูลชินวัตร  ตัดสินใจขายหุ้นให้กับกลุ่มเทมาเส็ก   ก็ได้ดำเนินการขายหุ้นเป็นสองส่วนคือ 3.1  ในส่วนที่ถือโดยตรง  อันนี้คงไม่มีข้อสงสัยอะไร 3.2  ในส่วนที่ถือผ่าน ARI    ได้ดำเนินการดังนี้   โอนหุ้นที่ถือใน ARI ให้กับคุณโอ๊คและคุณเอม  คนละ 50%  โดยการโอน  ปรากฏเป็นรายการ  ขาย  จาก ARI ให้กับทั้งสองคน  ในราคาคนละ 1 บาท  และทั้งสองคนได้นำหุ้นที่ได้รับโอนมานี้ขายให้กับเทมาเส็กในราคา 49.25 บาท จากคุณ : sunsetbeach - [ 7 มี.ค. 49 15:48:36 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมได้แสดงความเห็นไว้ในกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I4139483/I4139483.html ตั้งแต่ คห# 23 เป็นต้นไป ซึ่งได้วิเคราะห์หลักกฏหมาย ที่นำมาใช้ในอ้างอิงในแต่ละประเด็น ซึ่งรวมถึงวิเคราะห์ ชุดกรณีศึกษาฉบับของสภาทนายและหนังสือพิมพ์ ด้วยครับ อย่าพึ่งคิดว่าเป็นฉบับของสภาทนายและหนังสือพิมพ์ แล้วจึงเชื่อนะครับ ส่วน กรณีศึกษา อีกฉบับที่ คห#4 link มาให้ อ่านได้เพื่อความเข้าใจโครงสร้าง และเหตุการณ์เป็นมาเป็นไป แต่บทสรุป ต้องวิเคราะห์และตัดสินใจเองอีกครั้ง นะครับ เพราะเป็นการสรุปจากความเห็นของบุคคลอื่น เป็นส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะจากบทความในหนังสือพิมพ์) ซึ่งไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน จากคุณ : Oil - [ 7 มี.ค. 49 15:52:44 A:58.10.74.26 X: TicketID:086607 ]

ความคิดเห็นที่ 8 Q2.  แล้วการกระทำดังกล่าวมีความผิดหรือไม่  ถ้ามี  ผิดอย่างไร >>    การขายหุ้นที่เกิดขึ้น  จะแบ่งออกเป็นสองส่วน  เพื่อให้เห็นชัดเจน 1.  การขายในส่วนที่คุณโอ๊ค และคุณเอมถือโดยตรง  ที่ไม่ได้โอนมาจาก ARI    อันนี้ได้รับการยกเว้นภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42  ออกเพิ่มเติมด้วย กฏกระทรวงฉบับ 126  ข้อ 2 ข้อ 2. ให้กำหนดเงินได้ต่อไปนี้เป็นเงินได้ตาม (17) ของมาตรา 42 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 . . (23)  เงินได้จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแต่ไม่รวมถึงเงินได้จากการขายหลักทรัพย์ที่เป็นหุ้นกู้หรือพันธบัตร . . ซึ่งการขายหุ้นดังกล่าวเป็นการทำรายการผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย   จึงได้รับการยกเว้นภาษีตามกฏหมายที่ยกมาข้างต้น 2.  การขายหุ้นในส่วนที่ได้รับมาจาก ARI   จะแยกเป็นสองขั้นตอน  คือ  ตอนได้รับ  กับตอนขาย 2.1  ตอนขาย   เนื่องจากเป็นการขายในตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน    จึงได้รับการยกเว้นภาษี 2.2  ตอนซื้อ  เนื่องจากทั้งสองท่าน  ได้ซื้อหุ้นในส่วนนี้มาในราคาพาร์   ไม่ใช่ราคาตลาด  ซึ่งทำให้มีข้อถกเถียงกันว่า  ถือเป็นการได้รับประโยชน์จากส่วนต่างระหว่างราคาตลาดกับราคาพาร์หรือไม่ ?? ขอเอาประเด็นที่มีการยกมาสรุปให้ดังนี้ -  บางท่านกล่าวว่า  เป็นลักษณะเดียวกันกับพนักงาน กฟผ.  ที่ได้รับสิทธิซื้อหุ้นในราคาพาร์   และต้องนำส่วนต่างระหว่างราคาพาร์กับราคาที่ขายให้กับคนทั่วไป (ราคาตลาด)  มาคิดภาษี >  อันนี้ไม่สามารถเปรียบกันได้  เนื่องจากในกรณีพนักงาน กฟผ.  ถือเป็นประโยชน์จากการจ้างงาน   โดยบริษัทได้นำหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทตัวเอง คือ บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน)    แต่ในกรณีนี้  ทั้งคุณโอ๊ค และคุณเอม  ได้ซื้อทรัพย์สินของ ARI (หุ้นของ SHIN ที่ ARI ถืออยู่  ถือเป็นทรัพย์สินของบริษัท) ต่ำกว่าราคาตลาด  (แต่เป็นราคาที่ ARI ได้ซื้อ (รับโอนมาจากคุณทักษิณ   ตามคห. ข้างบน)   ซึ่งตามกฏหมายไม่ได้ระบุไว้ว่า  ประโยชน์จากการซื้อทรัพย์สินต่ำกว่าระคาตลาด  ให้ถือเป็นรายได้ที่ต้องนำมาคิดภาษี - ARI ขายหุ้น SHIN ออกไปต่ำกว่าราคาตลาด  ต้องเสียภาษีหรือไม่   >  อันนี้ขอยกความเห็นของคุณ oil ทีลงไว้ในกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I4139483/I4139483.html ดังนี้ ความคิดเห็นที่ 50 กรณี ม.76 ทวิ ประกอบ ม.71(1) คุณ sunsetbeach ได้ copy กรณีศึกษาบางส่วนมาแสดงใน คห#42-43 แล้ว กรณีนี้มีข้อพิจารณาที่สำคัญคือ การมีกรรมการเป็นคนไทย สามารถถือได้ว่าเป็นผู้ทำการแทน บ.ต่างประเทศหรือไม่? - ถ้าใช่ ต้องเสียภาษีอย่างไร? ก. ถึงแม้ Ample Rich อาจถูกพิจารณาเข้าข่าย ม.76 ทวิ ผู้ทำการแทน เพียงแต่ยื่นงบกำไรขาดทุน เฉพาะรายการดังกล่าวเพื่อเสียภาษี ซึ่งรายการดังกล่าวก็ไม่มีกำไรอยู่แล้ว เนื่องจาก ซื้อหุ้นมา 1 บาท และขายหุ้นออกไป 1 บาท ข. หากสรรพากรไม่เห็นด้วย และจะใช้อำนาจประเมินร้อยละ 5 ของรายได้ (ตาม ม. 71(1)) ถ้า Ample Rich ไม่เห็นด้วย กรณีจะไปสู่คณะกรรมพิจารณาอุทธรณ์ และศาล ตามลำดับต่อไป ค. สรรพากรไม่มีอำนาจใช้ ม. 65 ทวิ (4) ประเมินการขายทรัพย์สินต่ำกว่าราคาตลาด ของ Ample Rich เนื่องจากไม่ใช่ บ. ไทย ถึงแม้จะเข้าเงื่อนไข ม.76 ทวิ ก็ตาม ดังนั้นงบกำไขขาดทุนที่ยื่นจะประเมินราคาขายหุ้นเป็นราคาตลาดไม่ได้ ดังนั้นโอกาสที่เรียกเก็บภาษีตาม ข. จึงไม่มี จากคุณ : Oil - [ 3 มี.ค. 49 20:52:09 A:61.90.98.65 X: TicketID:086607 ] แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 49 16:09:56 จากคุณ : sunsetbeach - [ 7 มี.ค. 49 16:07:34 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สำหรับในส่วนที่อาจจะมีความผิด  เท่าที่ติดตามจาก กลต.  ที่ยังไม่ได้ประกาศออกมาเป็นทางการ คือ ในขั้นตอนการรับโอนหุ้น SHIN ของคุณพานทองแท้  เนื่องจากเป็นการรับโอน 2 ก้อน  กล่าวคือ 1. รับโอนโดยตรงจากส่วนที่ถือโดยคุณทักษิณ 2. รับโอนทางอ้อม  ผ่านทาง ARI เนื่องจาก ARI ถือหุ้นโดยคุณพานทองแท้ 100%  ดังนั้น กลต.  ถือว่าให้นับรวมส่วนนี้และถือเสมือนคุณพานทองแท้ถือโดยตรง และเมื่อมีการรับโอนหุ้นในส่วนที่ถือโดย ARI  มาจากคุณทักษิณนั้น  ทำให้ % การถือหุ้นของคุณพานทองแท้  มีมากกว่า 25%  ซึ่งตามกฏ  ต้องทำการเทนเดอร์ออฟเฟอร์  หุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อย (แต่จะราคาเท่าไรก็อีกเรื่องหนึ่ง)   ซึ่งถ้าไม่ได้ทำ  ก็จะถือว่ามีความผิด  และจะถูกพิจารณาโทษ   ซึ่งจะเป็นโทษแบบไหน  ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ กลต. ครับ แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 49 16:21:16 จากคุณ : sunsetbeach - [ 7 มี.ค. 49 16:20:36 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จะยึดทรัพย์อารายเหรอ คนทำมาหากินมา 20 ปี จ่ายภาษีให้ประเทศกว่าแสนล้านไปแล้ว ทำมาหากินรวยแล้วจะมายึดทรัพย์ ต่อไปคงไม่มีใครเขามาทำมาหากินในประเทศแล้ว ไปรวยต่างประเทศดีกว่า ต่างชาติคงหนีหมด มาทำมาหากินในไทย รวยแล้วเดี๋ยวถูกยึดทรัพย์หมดตัว เงินมีที่มาที่ไปทั้งหมดถูกกฏหมาย จะยึดทรัพย์ได้อย่างไร บางคนไม่เห็นทำงานการอะำไร มีออกเยอะ ไม่เห็นมีใครจะไปยึดทรัพย์ จากคุณ : น่าเป็นห่วง - [ 7 มี.ค. 49 16:45:50 A:58.10.131.111 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 คนเข้ามาอ่านแล้วจะเข้าใจเพิ่มขึ้น มีความรู้เพิ่มขึ้น แต่คนที่พยายามไม่เข้าใจ จะไม่ได้ความรู้เพิ่มขึ้นครับ จากคุณ : Juste - [ 7 มี.ค. 49 17:26:27 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คุณsunsetbeachขออีเมล์หน่อยได้มั้ยครับ จะขอถามบางประเด็นครับ จากคุณ : มั่วๆ - [ 7 มี.ค. 49 17:46:42 A:58.64.123.175 X: ]

ความคิดเห็นที่ 13 ถามในกระทู้นี้เลยก็ได้ครับ จากคุณ : sunsetbeach - [ 7 มี.ค. 49 17:50:10 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ตอนที่นายกโอนหุ้นของตัวเองไปไว้ที่ARIถึงแม้จะในราคาพาร์จะต้องมีการประเมินรายได้เพื่อเสียภาษีหรือไม่ครับ จากคุณ : มั่วๆ - [ 7 มี.ค. 49 18:41:35 A:58.64.123.175 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 ถามบ้างนะครับคุณ sunsetbeach กรณีที่เขาว่าต่างชาติซื้อที่ดินได้ 100 % กับกรณีที่ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นใหญ่ในบริษัทต่างๆในตลท.นี่คุณมองยังไงครับ ไม่ใช่นักลงทุนหรอกครับแต่อยากได้มุมมองของนักลงทุนครับ จากคุณ : ผีน่ารัก - [ 7 มี.ค. 49 18:42:47 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เรื่องซื้อที่ดิน   ถ้าในความเห็นผม  ก็แล้วแต่กรณีครับ  ไม่ปิดกั้น  แต่ก็ไม่ได้เปิดให้ทั้งหมด  ควรพิจารณากรณีที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการลงทุนเท่านั้น   เช่น   อนุญาติให้เฉพาะกิจการบางประเภท,   สามารถซื้อได้เฉพาะพื้นที่ที่กำหนดไว้ เช่น นิคมอุตรสาหกรรม  หรือพื้นที่ที่กำหนดไว้ ,  ซื้อได้เฉพาะในนามนิติบุคคล   และก็ให้รัฐสามารถเวนคืนได้  ในกรณีที่ใช้งานผิดวัตถุประสงค์ ส่วนเรื่องต่างชาติเข้ามาถือหุ้นใหญ่ในบริษัทต่างๆ  ได้นี่   ตราบใดเรายังอยู่ในประชาคมโลก  ก็คงต้องหาทางปรับตัวเราเองขึ้นมาแข่งขันกับเค้าให้ได้ครับ   การปิดกั้นตัวเองจากสังคมโลกไม่น่าจะใช่วิธีที่ถูกต้อง   แต่อย่างไรก็ตามเราจะแข่งขันกับเค้าได้หรือไม่นี่   เท่าที่ผมติดตามมา  ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอกเลย   ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยเราก็คือนิสัยของคนไทย   คนไทยเราไม่สามัคคีกัน   ไม่สนับสนุนคนไทยกันเอง   วิธีการแข่งขันของคนไทยไม่เหมือนชาติอื่น  ที่เค้าแข่งกันพัฒนาตัวเอง  เพื่อยกระดับไปให้ชนะคนอื่น   แต่คนไทยเรากลับใช้วิธีไปทำลายคนอื่น  เพื่อให้ตกลงมาอยู่ใต้เรา   และการทำลายกันนี่  ก็ใช้สารพัดวิธี  โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา  ขอให้ทำลายคู่แข่งได้ก็พอ     ตราบใดนิสัยนี้ยังไม่หายไป   สู้เค้าลำบากครับ จากคุณ : sunsetbeach - [ 7 มี.ค. 49 20:05:05 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ตอบคุณมั่วๆ  คห. 14 นะครับ หมายถึง ARI ได้รับหุ้นที่ราคาต่ำกว่าตลาดแล้วต้องเสียภาษีหรือไม่ใช่มั๊ยครับ ถ้าเป็นตรงนี้ก็ตอบได้ว่า ไม่ต้องเสียครับ   เพราะกฏหมายยังไม่มีข้อบัญญัติว่า   ในกรณีที่ได้ทรัพย์สินมาต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็น (ยกเว้นจากกรณีจ้างงาน)  ไม่ถือว่าเป็นรายได้   เพราะไม่งั้นจะเกิดความยุ่งยากแน่ๆ ครับ   เช่น เพื่อนคุณร้อนเงิน   จะขายรถป้ายแดงให้คุณในราคาถูกกว่าปกติ   แล้วเกิดต้องเอาส่วนต่างจากราคารถใหม่กับราคาที่คุณซื้อมาคิดเป็นรายได้เพื่อคิดภาษี  คุณคิดว่าจะเป็นไงล่ะครับ จากคุณ : sunsetbeach - [ 7 มี.ค. 49 20:19:18 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผมหมายถึงตัวนายกนะครับว่าควรจะต้องโดนสรรพากรไทยประเมินรายได้เพื่อเสียภาษีบุคคลธรรมดาหรือไม่(ราคาตลาดลบด้วยราคาพาร์)เหมือนกับกรณีบริษัทในประเทศไทยถูกประเมินเมื่อขายในราคาต่ำกว่าตลาด และถึงแม้ARIจะถือโดยนายก100%แต่ผมมองว่ามันน่าจะเป็นคนละส่วนกันครับ(ทั้งในแง่บุคคลธรรมดากับนิติบุคคลและในแง่สัญชาติ) จากคุณ : มั่วๆ - [ 7 มี.ค. 49 20:38:13 A:58.64.123.175 X: ]

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่ต้องเสียภาษีครับ   เกณฑ์บุคคลธรรมดา  กับนิติบุคคล  แตกต่างกัน   นิติบุคคลเสียภาษีจากกำไร  กฏหมายจึงต้องป้องกันการเจตนาทำให้กำไรลดลงเพื่อเลี่ยงภาษี     แต่สำหรับบุคคลธรรมดา  เสียภาษีจากรายได้   ไม่ว่าจะกำไร หรือขาดทุน   ถ้ามีรายได้และอยู่ในเกณฑ์ที่เป็นรายได้พึงประเมิน  ก็ต้องนำมาคิดภาษีครับ จากคุณ : sunsetbeach - [ 7 มี.ค. 49 21:32:29 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ข่าวดี ข่าวใหญ่ ดูเทปหลวงตามหาบัวกล่าวถึงท่าน ทากกกกกสินหรือยัง งานนี้อาการหนักแน่ สงสัย30 บาทรักษาทุกโรคก็ช่วยไม่ได้ ดี ถ้าเรื่องจบจริง รับรองหุ้นวิ่งแน่ ติดอยู่มากเหมือนกัน แต่ชาติต้องมาก่อน ทากกกกกกสิน.................. ขอยืมเงินเล่นหุ้นบ้างซิ จากคุณ : สีเขียว - [ 8 มี.ค. 49 01:15:28 A:203.118.113.40 X: TicketID:112008 ]

ความคิดเห็นที่ 21 "บุคคลธรรมดา เสียภาษีจากรายได้ ไม่ว่าจะกำไร หรือขาดทุน" ขอบคุณคุณ sunsetbeach ครับ อย่างนี้เรื่องที่ลูกนายกขายให้เทมาเซ็คถ้าเปลี่ยนเป็นการขายนอกตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่ต้องเสียภาษีด้วยใช่หรือไม่ครับ เพราะยังไงมันก็ไม่ถือเป็นรายได้ใช่หรือไม่ ผมเข้าใจว่าสรรพากรคงเห็นว่าการนำเงินมาลงทุนของบุคคลธรรมดาเป็นการเอาเงินที่ผ่านการเสียภาษีมาแล้ว (เช่นเงินเดือน) มาลงทุนต่อ ดังนั้นการขายเงินลงทุนหรือสินทรัพย์ต่อจึงไม่ถือเป็นรายได้ใช่มั้ยครับ จากคุณ : มั่ว ๆ - [ วันสตรีสากล 07:56:03 A:58.64.100.189 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 ถ้าขายนอกตลาดหลักทรัพย์   ไม่ได้รับการยกเว้นภาษีครับ   และน่าจะจัดอยู่ในรายได้ตาม มาตรา 40(8) 8) เงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) ถึง (7) แล้ว ซึ่งสามารถมองได้ว่าการซื้อขายหุ้นเป็นธุรกิจการซื้อขายสินค้าแบบหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นรายได้ตาม 40(8)  เงินได้ส่วนนี้สามารถหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายได้ดังนี้ครับ http://www.rd.go.th/publish/2375.0.html พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจาก เงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 มาตรา 8  เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2496 ยอมให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา ดังต่อไปนี้ (25) การขายของนอกจากที่ระบุไว้ในข้ออื่นซึ่งผู้ขายมิได้เป็นผู้ผลิต ร้อยละ 80 เว้นแต่ผู้มีเงินได้จากกิจการตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง แสดงหลักฐานต่อเจ้าพนักงานประเมิน และพิสูจน์ได้ว่ามีค่าใช้จ่ายมากกว่านั้น ก็ยอมให้หักค่าใช้จ่ายได้ตามความจำเป็นและสมควร ทั้งนี้ ให้นำมาตรา 65 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2517 และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2502 มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ถ้าตามหลักฐานที่นำมาพิสูจน์นั้นปรากฏว่า มีรายจ่ายที่หักได้ตามกฎหมายน้อยกว่าอัตราค่าใช้จ่ายที่กำหนดไว้ข้างต้น ก็ให้ถือว่ามีค่าใช้จ่ายเพียงเท่าหลักฐานที่นำมาพิสูจน์ จากคุณ : sunsetbeach - [ 8 มี.ค. 49 09:46:01 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เกรงใจจังขออีกคำถามเดียวละกัน อย่างนี้ตอนที่นายกโอนไปARIที่ราคาพาร์ก็ต้องเอาราคาที่ขายหรือราคาพาร์มารวมเป็นรายได้ตามม.40(8)ด้วยใช่มั้ยครับเพราะน่าจะถือว่าเป็นการขายนอกตลาด แต่เนื่องจากเป็นการขายของบุคคลธรรมดาก็เลยไม่ต้องประเมินราคาขายใหม่ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ ขอบคุณล่วงหน้าครับ จากคุณ : มั่วๆ - [ วันสตรีสากล 10:35:26 A:58.64.100.189 X: ]

ความคิดเห็นที่ 24 ถ้าเป็นการขาย  ก็ใช่ครับ   แต่ถ้าเป็นการโอนไปให้   ก็ไม่ใช่ครับ ต้องไปดูรายละเอียดธุรกรรมอีกทีว่า  เป็นการขาย    หรือการโอน จากคุณ : sunsetbeach - [ 8 มี.ค. 49 10:52:35 ]