ความคิดเห็นที่ 1 ตราสารอนุพันธ์ คือกระดาษครับ เพียงแต่เป็นกระดาษที่มีข้อผูกมัดหรือสิทธิ อะไรบางอย่าง ที่ไปสัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่น เอาง่าย ๆ คือ ใบจองรถเป็นตราสารอนุพันธ์ของรถครับ ถ้าท่านจองรถ 10000 บาท หมายความว่า ท่านอยู่ในคิวและมีสิทธิที่จะซื้อรถนั้นได้ (โดยจ่ายที่เหลือ) บางครั้งรถนั้นอาจเป็นที่นิยมมาก ทำให้ใบจองมีราคาสูงกว่า ที่ท่านซื้อมา เช่น อาจมีการขอซื้อ 2-3หมื่นบาท  เพื่อให้ได้รถเร็วขึ้น ท่านก็สามารถทำกำไรได้แบบเป็นเท่าตัว (ถ้าท่านซื้อรถมา แล้วไปขายต่อให้เสี่ยที่ใจร้อน อย่างมากท่านก็ได้กำไร 1-2 หมื่นบาทจากต้นทุนเป็นล้านบาท แต่ท่านขายใบจอง ท่านได้กำไร เท่ากันแต่ลงทุนแค่หมื่นบาท หรือกำไร 100%) และในทางกลับกัน ถ้ารถนั้นเกิดมีข่าวแย่ ๆ ขึ้นมาทำให้ไม่มีใครสนใจ บางครั้งท่านเอาใบจองไปขาย 2พันบาท ยังไม่มีคนเอาเลย หรือท่านจะขาดทุนอย่างมโหฬาร เมื่อเทียบกับเงินหมื่นที่ลงทุนไป จากคุณ : krit587 - [ 8 มี.ค. 49 08:28:45 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ตราสารอนุพันธ์มีหลายประเภท เอาแบบที่ง่าย ๆ และฮิต ๆ ก็เริ่มที่ option ก่อนนะครับ จริง ๆ แล้ว option ในไทยยังไม่มี แต่มีตัวที่ประพฤติตัวคล้าย ๆ กันคือ warrant  ก็คงคล้าย ๆ ใบจองรถที่อธิบายแต่ต้นครับ เพียงแต่เป็นใบจองหุ้นเช่น kk-w4 เป็นอนุพันธ์ของ kk ท่านสามารถใช้เงินเพียงเล็กน้อยเพื่อซื้อสิทธิในการซื้อหุ้น kk ได้โดยการซื้อ warrantดังกล่าว เมื่อถืงกำหนดให้แปลงสภาพ ท่านมีสิทธิที่จะเลือกที่จะแปลงเป็นสินทรัพย์ (คือหุ้น kk) หรือไม่แปลงก็ได้ จากคุณ : krit587 - [ 8 มี.ค. 49 08:38:20 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อธิบายได้แจ่มจริงๆครับ จากคุณ : ** jj-Ocu ** - [ 8 มี.ค. 49 09:10:10 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ยิ่งอธิบายก้อ ยิ่งงง จากคุณ : janwitko - [ 8 มี.ค. 49 09:33:45 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คือการผนัน อีกชนิดหนึ่ง เป็นการคาดการว่าในอนาคต มันจะมีค่าขึ้น หรือมีค่าลดลง เล่นได้ทั้งขาขึ้น และขาลง มันส์ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไมไม่เปิดบ่อนไปเลยละ เวรกรรม จริง มาบอกว่านี้คือการลงทุน จากคุณ : Sprite_Zaa - [ 8 มี.ค. 49 11:34:50 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ไม่ใช่การพนันเป็นจุดประสงค์ครับ เอาไว้hedgeลดความเสี่ยง จากคุณ : Mollusk - [ 8 มี.ค. 49 14:34:17 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ต่อนะครับ ไอ้ตัวอย่าง warrant หรือใบจองหุ้นเนี่ย เป็น รูปแบบหนึ่งของ option ที่เรียกว่า call option  จริง ๆ แล้วมี option อีกแบบเรียกว่า put option เช่น หุ้น A มีราคาในตลาด 10 บาท ผมอาจออกใบสัญญาว่าจะซื้อคืนหุ้น A ที่ราคา 15 บาท (ไม่ว่าราคาหุ้น A จะมีค่าเท่าใด) โดยผมขายใบสัญญานี้ที่ 5 บาท ถ้า จขกท ซื้อ และหุ้น A ราคาลดลงเป็น 3 บาท จขกท ก็ไปซื้อหุ้นในตลาด ที่ราคา 3 บาท มาขายผม ๆ ก็จะให้เงินจขกท 15 บาท สิริรวมว่าจขกท เสียเงินค่าซื้อสัญญา ( put option) 5 บาท และซื้อหุ้นในตลาด 3 บาท รวมเป็นเงิน 8 บาท แต่ได้เงินจากผม 15 บาท รวมได้กำไร 7 บาท จากการลงทุนเริ่มต้น ที่ 5 บาท หรือ 120% ในกรณีที่ไม่เป็นอย่างที่คาด หุ้นราคาเพิ่มเป็น 20 บาท จขกท คงไม่ไปซื้อหุ้นในตลาดแล้วเอามาขายผมที่ 15 บาทหรอกนะครับ นั่นหมายถึงการจำกัดความเสี่ยงฝั่งขาขึ้นที่ 5 บาท คือค่าสัญญาที่จ่ายตอนแรก เท่านั้น จากคุณ : krit587 - [ 8 มี.ค. 49 15:07:32 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ย้อนกลับมาที่ call option อีกหน่อยนะครับ เอาเรือง warrant แล้วกัน สมมุติว่า warrant หุ้น a ราคา 1บาท ตัวหุ้น a ราคา 5 บาท ค่าแปลงสภาพ 4 บาท ถ้าท่านซื้อ warrant หุ้นa ที่ราคา 1 บาท แล้วราคาหุ้น a ตก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ท่านจะขาดทุนไม่เกิน 1 บาท คือค่า warrant นั้น แต่ ถ้าหุ้นขึ้น เป็น 10 บาท ท่านก็จะกำไร 5 บาท จากการเอา warrant ไปแปลงสภาพ เสียเงิน 1+4 =5  แต่เอาไปขายได้ 10 บาท ขอรับ สรุปว่า ทั้ง call option (หรือ warrant) และ put option สามารถมาใช้ป้องกันความเสี่ยงได้ โดย callใช้เมื่อเราคิดว่าหุ้นจะขึ้น และ put ใช้เมื่อหุ้นจะลง เมื่อราคาไม่เป็นดังที่เราคาด เราก็จะจำกัดความสูญเสียได้ แต่ปัญหาคือ เวลาเรามีเงิน 1 ล้าน ถ้าจริง ๆ ต้องการจำกัดความเสี่ยง เราควรซื้อ warrant ซัก 2 แสน อีก 8 แสนเก็บไว้ convert แต่ที่นักลงทุนทำ กลับกลายเป็นว่าลงเงินทั้ง 1 ล้านไปซื้อ warrant ก็เลยเป็นการเพิ่ม(หรือทวีคูณ)ความเสี่ยงครับ จากคุณ : krit587 - [ 8 มี.ค. 49 15:15:48 ]

ความคิดเห็นที่ 9 มึนหรือยังครับ อ่านช้า ๆ นะครับ คราวนี้มาเรื่อง future และ forward จะพยายามอธิบายแบบง่าย ๆ นะครับ สมมุตว่า ชาวนาทำนา ขายข้าวได้ กก.ละ 10 บาท ผมเป็นพ่อค้า ผมอยากได้ข้าวอีก 7 เดือนข้างหน้า แต่ผมรู้ว่าราคาข้าวมันน่าจะสูงขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเท่าไร แต่มี order ว่าอยากได้ 10 ตัน โดยรับซื้อจากสิงค์โปรที่ 15  บาท/กก. ผมไม่อยากเสี่ยงไปรอตอน 6 เดือนข้างหน้าว่า ราคาข้าวจะเท่าไร ผมจะหาราคาข้าวที่ได้กำไรไปขายให้สิงค์โปรได้หรือไม่ ผมเลยไปบอกกับชาวนาว่า ทำสัญญากับผมไหมว่า อีก  6 เดือนขายข้าวให้ผม 1 ตัน  กก ละ 12 บาท ชาวนาไปหักกลบลบหนี้ ดูต้นทุนแล้ว พบว่าต้นทุน อยู่ที่ 7 บาท ก็เลยคิดว่า เอาว่ะ กำไร 5 บาทชัวร์ ๆ ดีกว่าไปรออีก 6 เดือน ถ้าราคามันตก เหลือกก.ละ 6 บาท จะขาดทุนเปล่า ๆ ก็เลยทำสัญญากับผม สัญญานี้เรียกว่า forward ครับ มีโอกาสที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้กำไรหรือขาดทุนได้ ขึ้นอยู่กับว่าราคาจริงเมื่อสิ้นสุดอายุสัญญาจะเข้าข้างฝ่ายใด ----------------------------------------------------------- คำถาม  :::::: ทำไมผมไม่ซื้อเข้าเดือนนี้ที่ 10 บาทแล้วรออีก 6- 7 เดือนละ คำตอบ::::::: ผมจะทำอย่างนั้นถ้า ค่าเก็บ(ค่าเช่าโกดัง  6 เดือน ) และดอกเบี้ยของเงินที่จะมาซื้อข้าววันนี้แล้วเก็บไว้ 6 เดือน น้อยกว่า 2 บาท/กก เพราะถ้ามากกว่า 2 บาท  ผมทำสัญญาดังกล่าวกับชาวนา คุ้มกว่าครับ แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 49 15:58:40 แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 49 15:29:47 จากคุณ : krit587 - [ 8 มี.ค. 49 15:23:38 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ปัญหาของ forward ก็คือ เราจะเชื่อใจกันได้อย่างไรว่าผม หรือชาวนาจะไม่เบี้ยวเมื่อครบกำหนด (ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งเสียประโยชน์ใช่ไหม่ครับ) ก็เลยเป็นที่มาของ future future คือ forward ที่มีการออกแบบให้เป็นมาตรฐาน เช่น 1 หน่วยเท่ากับ ข้าว 1 ตัน และมีการกำหนดอายุที่ชัดเจน เช่น วันส่งมอบคือเดือนธันวาคม 49  และมีองค์กรกลางควบคุม (กันเบี้ยว) ดังนั้น  future นี้ก็จะมีซื้อขายในตลาดได้ ไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะเบี้ยว ขอรับ จากคุณ : krit587 - [ 8 มี.ค. 49 15:27:12 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ทำไม future ถึงเป็นการเก็งกำไร หรือการพนันได้ ก็เพราะว่า ในตลาด future เขาจะให้ลงเงินเพียงบางส่วน เช่น 5-10% ของราคาเต็ม คราวนี้ก็มันส์นะสิครับ ลงเงิน นิดนึง พอราคาขยับก็จะได้กำไรเยอะ ก็เลยเป็นที่มาของเพื่อน ๆ บางคนที่บอกว่า มันบ่อนชัด ๆ จากคุณ : krit587 - [ 8 มี.ค. 49 15:32:33 ]

ความคิดเห็นที่ 12 future เอามาป้องกันความเสี่ยงได้อย่างไร วิธีแรกก็คงเป็นแบบที่ผมยกตัวอย่างเรื่องชาวนาแหละครับ วิธีอีกอันหนึ่งก็คงเป็นกรณีหุ้น สมมุตว่าท่านเป็น ผจก.กองทุน ที่ลงทุนในหุ้นที่อยู่ใน set50 ทั้งหมด (ตามหนังสือชี้ชวน) วันร้ายคืนร้ายดัชนี set 50 เริ่มหักหัวลง (แน่นอนว่า กองทุนท่านกำลังจะมีตัวแดง) ท่านไม่อยากให้กองทุนท่านมีผลงานที่ไม่ดี (แม้ว่าจริง ๆ แล้วมันควรจะล้อตามดัชนี) สมมุติเริ่มต้นว่า ตอนตั้งกองทุน ดัชนีเท่ากับ 500 ท่านลงเงินไป 10 ล้านบาท มีเงินสดพอควร พอดัชนีลดลง 5% ท่านคิดว่า ไม่ไหวแล้วโว้ย ขึนขาดทุนกว่านี้มีหวังโดนด่าแน่นอน ท่านก็ไป ขาย(short) future set50 (สมมุตว่าตอนนั้นอาจเป็น 475) ในมูลค่าเท่ากับ port ของท่าน (10 ล้านบาท )แต่จริง ๆ ท่านลงเงินแค่ 10% หรือ 1 ล้านบาท ตอนนี้ port ท่านก็จะถูกแช่แข็ง คือไม่ว่ามันจะขึ้นหรือลงอย่างไร ท่านก็จะไม่ได้ไม่เสีย (นอกจาก 5% ที่เสียไปแล้ว) คือ ถ้า ดัชนีลดอีก 10% ท่านก็จะเสียจากหุ้นที่ลดไป 10 % แต่ ท่านจะได้กำไรจาก future ที่ท่าน short 10% มาหักกลบลบหนี้กันเรียบร้อย และในทางกลับกัน ปัญหาก็เหมือนเดิมครับ มีแต่กองทุน ผจกกองทุน ที่ใช้ future เพื่อป้องกันความเสียง (พวกนี้มันคิดมาก ประสาทผวาง่าย ) นักลงทุนบุคคล ไม่สนใจหรอก เอามาเล่นเก็งกำไรดีกว่า รวยเร็วดี (และอาจเจ๊งเร็วดีเหมือนกัน) จากคุณ : krit587 - [ 8 มี.ค. 49 15:42:26 ]

ความคิดเห็นที่ 13 มาอ่านเอาความรู้ด้วยคน  อธิบายเข้าใจง่ายดีค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : มิคกี้เม้ง - [ 9 มี.ค. 49 11:19:29 ]

ความคิดเห็นที่ 14 พอดีไปเจอมาครับเอามาฝาก http://www.tsi-thailand.org/ProfessionalEdu/knowledge/knowledge_1.pdf จากคุณ : ยมก - [ 12 มี.ค. 49 23:08:23 ]