CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ทำไมมูลค่าSHIN จึงเพิ่มขึ้นหลายเท่าในยุคนี้

    ลองมาฟังคนที่เคยสอบได้ที่หนึ่งของประเทศคิดดู
    ว่าคอรัปขันเชิงนโยบายเป็นอย่างไร
    ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย

    สมเกียรติ ฉะ 3 วิธีเอื้ออาทรธุรกิจครอบครัว



    กล่าวว่าจะอธิบายเฉพาะกรณีใหญ่ ๆ เนื่องจากการเอระโยชน์ต่อครอบครัวนายกฯ นั้นหากจะพูดกันจริง ๆ ทุกกรณีแล้ว พูดกัน 3 วันก็ไม่จบ



    จากนั้นนายสมเกียรติได้อธิบายถึงวิธีดำเนินการเอาประโยชน์ให้กับบริษัทในเครือญาติของตนเองว่าใช้วิธี มี 3 วิธีหลักคือ เมื่อบริษัทได้กำไรก็หลีกเลี่ยงภาษีโดยไปขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ เมื่อบริษัทขาดทุนก็ปรับสัญญาใหม่ และเมื่อไม่สมารถดำเนินการตาม 2 วิธีแรกได้ก็เปลี่ยนกติกาและกฎหมายเสียใหม่



    นายสมเกียรติกล่าวว่า สัมปทานที่บริษัทชินคอร์ปได้จากรัฐประกอบไปด้วย



    เอไอเอส                                     ได้รับสัมปทานระหว่างปี 2533-2558

    เทเลอินโฟ                                  ได้รับสัมปทานระหว่างปี 2539-2548

    แอดวานซ์เพจจิ้ง                           ได้รับสัมปทานระหว่างปี 2532-2537

    ชินแซท                                      ได้รับสัมปทานระหว่างปี 2535-2564

    ดีพีซี(โทรศัพท์มือถืออีกยี่ห้อหนึ่ง)    ได้รับสัมปทานระหว่างปี 2540-2556

    ไอทีวี                                         ได้รับสัมปทานระหว่างปี 2548-2568





    นายสมเกียรติกล่าวว่า เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั้นสลับซับซ้อนมาก “เรื่องเล็ก ๆ ประเภทรัฐบาลอนุญาตให้ข้าราชการสามารถใช้โทรศัพท์มือถือแล้วไปเบิกค่าใช้จ่ายจากรัฐได้โดยอ้างว่าเป็นนโยบายของซีอีโอ เรื่องอย่างนี้ผมจะไม่พูดถึงนะครับ เรื่องเล็ก ๆ ประเภทใช้อำนาจในการอำนวยความสะดวกให้กับบริษัทคนใกล้ชิดของตนเอง ผมก็จะไม่พูดนะครับ เนื่องจากเวลาจำกัด”



    “เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนนั้นมีได้หลายมาตรากรนะครับ มีตั้งแต่การออกกฎหมายเพื่อเอื้อกับธุรกิจของตัวเอง มีการแจกเงินแจกทองโดยหน่วยงานของรัฐ เช่น ใช้บีโอไอส่งเสริมการลงทุน เรื่องการให้เงินกู้กับรัฐบาลต่างประเทศโดยใช้เงินของประเทศไทย เรื่องการพานักธุรกิจที่ใกล้ชิดกับตัวเองไปเยือนต่างประเทศและอำนวยความสะดวกให้นักธุรกิจที่ใกล้ชิดกับตัวเองไปเจรจาค้าขาย



    “ธุรกิจทีเกี่ยวข้องกับครอบครัวตัวเองมีปัญหาไม่ปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานของรัฐก็จะมีการละเว้นไม่ปฏิบัติตามสัญญา บางกรณีก็ใช้การแก้สัญญาสัมปทานเพื่อเอื้อกระโยชน์ให้กับธุรกิจตัวเอง ถ้าธุรกิจไหนไปไม่ได้ก็แก้สัญญาให้รัฐมาอุ้ม



    “เรื่องการชะลอการเปิดเสรีการโทรคมนาคมจนกว่าตัวเองจะขายกิจการ การออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ธุรกิจของตัวเองผูกขาดได้ มีสารพัด”



    พร้อมกันนี้นายสมเกียรติได้อธิบายความหมายของสัมปทานว่า สัญญาสัมปทานจะเกี่ยวข้องกับคน 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือผู้ให้สัมปทานฝ่ายรัฐ และอีกฝ่ายหนึ่งคือเอกชนผู้รับสัมปทาน แนวคิดของสัญญาสัมปทานคือแนวคิดสัญญาต่างตอบแทน



    สิ่งที่รัฐให้เอกชนก็คือการให้สิทธิในการประกอบการ สิทธิในการปฏิบัติในการผูกขาดหลักสัญญาช่วงต้น ๆ เช่นห้ามคนอื่นเข้าดำเนินกิจการแข่งขัน



    การอำนวยความสะดวกให้ใช้อาคารสถานที่ ให้ใช้ถนนหนทางและที่ราชพัสดุต่าง ๆ ให้ใช้เลขหมายโทรคมนาคม ให้ใช้สัญญาณดาวเทียม



    เอกชนต้องตอบแทนรัฐอย่างน้อย 2 เรื่องคือ คือต้องให้ค่าสัมปทานตอบแทน คือรายได้ซึ่งต้องมีส่วนที่เป็นค่าสัมปทานขั้นต่ำ และอีกประการหนึ่งคือต้องมีการให้บริการแก่ประชาชน



    เอไอเอส ตัวอย่างใหญ่แก้กฎหมายเลี่ยงภาษี



    ตัวอย่างของสัมปทานเอไอเอสได้สัมปทานไปตั้งแต่ 2533-2558 ต้องจ่ายค่าตอบแทน 15 เปอร์เซ็นต์ให้กับรัฐ แล้วก็ค่อย ๆ ไต่ขึ้นมาเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ และกำลังจะต้องจ่ายถึง 30 เปอร์เซ็นต์ในอีกไม่กี่ปีที่จะถึง รวมทั้งต้องจ่ายค่าตอบแทนขั้นต่ำด้วย



    เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2546 รัฐบาลทักษิณได้ออกพระราชกำหนดให้จัดเก็บภาษีจากบริการโทรคมนาคม 2 ประเภทคือ บริการโทรศัพท์มือถือและบริการโทรศัพท์บ้าน โดยให้เก็บโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่งว่าหลังจากนั้น ในวันที่ 11 ก.พ. 2546 ก็มีมติคณะรัฐมนตรีอีกฉบับหนึ่งออกมาซึ่งเป็นประเด็นว่าจะผิดกฎหมายหรือไม่ โดยมติครม. ดังกล่าวระบุว่า



    ‘กิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ คู่สัญญาภาคเอกชนจะต้องชำระภาษีโดยคำนวณค่าภาษีสรรพสามิตจากรายรับและต้องจ่างผลประโยชน์ขั้นต่ำ แต่ว่าเมื่อชำระแล้วให้เอาภาษีที่ชำระไปหักออกจากค่าสัมปทานได้’



    ผลก็คือก่อนหน้านี้บริษัทเอไอเอสนั้นต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้กับองค์การโทรศัพท์ 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของการต่างตอบแทนเมื่อองค์การโทรศัพท์ให้ใช้เลขหมาย เอกชนก็ต้องจ่ายผลประโยชน์ต่างตอบแทน



    แต่เมื่อมีพระราชกำหนดจัดเก็บภาษีสรรพสามิต เอไอเอสก็ควรต้องจ่ายภาษี 10 เปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่รัฐบาลทำก็คือมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2546 บอกว่าการจ่ายภาษีนี้แล้วสามารถเอาไปหักลบกับค่าสัมปทาน ดังนั้นเอไอเอสจึงจ่ายค่าสัมปทานจริงแค่ 15 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ เป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน มติคณะรัฐมนตรีไปจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในลักษณะที่เป็นการเลือกปฏิบัติ จึงไม่น่าจะชอบด้วยกฎหมาย



    “คนที่ได้รับสัมปทานซึ่งควรจะเป็นผู้เสียภาษีสรรพสามิตก็กลายเป็นไม่ต้องเสียเพราะเอาไปหักจากค่าสัมปทานได้ แต่ถ้าเป็นคนอื่น เช่นมีบริษัทโทรศัพท์มือถือใหม่เข้ามาก็จะถูกหักภาษีเต็ม ๆ ไม่สามารถไปหักจากสัมปทานได้ ดังนั้นธุรกิจมือถือจึงถูกผูกขาดโดยครอบครัวของนายกรัฐมนตรี”



    ให้รัฐค้ำประกันเงินกู้พม่า การันตีบริษัทตัวเองไม่ขาดทุน



    นายสมเกียรติกล่าวต่อไปถึงกรณีเงินกู้พม่า โดยนายให้ข้อมูลว่ากระทรวงการสื่อสารของพม่ามาขอเงินกู้ธนาคารเพื่อการส่งออกและการลงทุน (เอ็กซิมแบงก์) โดยระบุว่าจะทำ 2 อย่างคือ เครือข่ายทางไกลและอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง



    “ศาลที่เคารพครับ คนไทยที่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงกับไฮสปีดอินเตอร์เน็ตยังมีเป็นส่วนน้อยนะครับ แต่วันดีคืนดี ประเทศพม่าซึ่งโทรศัพท์ธรรมดายังไม่มีใช้ อยากจะใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงขึ้นมา”



    จากนั้นประเทศพม่าได้มาขอกู้ธนาคารเอ็กซิมแบงก์ คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลไทยก็ได้มีมติครม. ค้ำประกันเอ็กซิมแบงก์ หมายความว่าหากรัฐบาลพม่ากู้แล้วไม่มีเงินจ่าย รัฐบาลไทยจะควักเงินจ่ายให้ จากนั้นเอ็กซิมแบงก์ก็ปล้อยเงินกู้จำนวน 4,000 ล้านบาทให้กับรัฐบาลพม่าด้วยอัตราดอกเบี้ย 3 เปอร์เซ็นต์ โดยกำหนดระยะเวลายากมาก



    “พม่าเป็นประเทศที่มีเครดิตเรตติ้งต่ำมาก คือไม่มีเครดิตเลย ไปขอกู้ที่ไหนก็ไม่มีใครให้ การได้เงินกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ย 3 เปอร์เซ็นต์ถือว่าเสี่ยงมาก”



    จากนั้นรัฐบาลพม่าจึงปล่อยเงินกู้ให้กับกระทรวงสื่อสารพม่าซึ่งนำเงินกู้นั้นมาซื้อสัญญาณดาวเทียมจากบริษัทชินแซท ซึ่งครอบครัวของนายกฯ เป็นเจ้าของ



    ด้วยเหตุนี้คนที่ได้ก็คือบริษัทชินแซทฯ เนื่องจากมั่นใจได้ว่าหนี้ของตนเองไม่สูญ หากหนี้สูญก็เป็นภาระของรัฐบาลไทย



    ขอสนุบสนุนการลงทุนจากบีโอไอ อีกมาตรการเลี่ยงภาษี

    นายสมเกียรติเบิกความต่อไปว่า การประคบประหงมบริษัทดาวเทียมไอพีสตาร์เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการเลี่ยงภาษี โดยที่โดยผู้บริหารของบริษัทดังกล่าวก็พูดว่าเพียงปีเดียวเท่านั้นบริษัมจะคืนทุน และเนื่องจากบริษัทจะคืนทุนก็ต้องเสียภาษี ก็มีวิธีหนึ่งที่จะไม่ต้องเสียภาษีก็คือการไปขอการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ หรือคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กำไร 24,000 ล้าน ก็ไม่ต้องส่งเสริมการลงทุนก็ได้ ทำไมต้องส่งเสริมเพราะกำไรอยู่แล้ว แต่บีโอไอก็ตัดสินใจส่งเสริมการลงทุนแค่ 16,459 ล้านไม่ส่งเสรอมทั้งหมด 24ม000 ล้าน เพราะกฎของบีโอไอก็คือ กิจการใหญ่แค่ไหนส่งเสริมแค่นั้น



    กรณีนี้บริษัทลงทุนแค่ 16,459 ล้าน ก็ส่งเสริมได้แค่ 16,549 ล้าน และปีต่อ ๆ ไป ถ้าบริษัทมีกำไรก็ไม่ต้องเสียภาษี



    “เวลาที่ท่านนายกฯ บอกว่าครอบครัวของท่านเสียภาษีมาเยอะแยะขนาดไหนแต่ท่านไม่ได้พูดว่าแล้วที่ท่านยหลีกเลี่ยงภาษีนั้นเยอะแค่ไหน ใหญ่กว่าที่ท่านจ่ายไปแค่ไหน”



    และไม่ใช่เฉพาะโครงการนี้เท่านั้น กรณีสายการบิน และดาวเทียมดวงใหม่อีกดวงหนึ่งก็มีข่าวว่าจะไปขอรับการส่งเสริมการลงทุนเหมือนกัน



    “นี่แปลว่ากำไรก็ไม่ต้องเสียภาษี ประเด็นคือว่าถ้าธุรกิจกำไรอยู่แล้ว มีนักลงทุนที่ไหนจะไม่ไปลงทุน เพราะกำไรเห็น ๆ การส่งเสริมการลงทุนจึงไม่ได้เพิ่มการลงทุนเลย



    “การส่งเสริมการลงทุนของไทยจึงเป็นนโยบายที่แปลกมากคือ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ส่งเสริมการลงทุนเพื่อจะไม่ต้องลงทุนเพิ่ม เพราะแม้จะลงทุนเพิ่มก็ไม่ได้ ดาวเทียมก็ลงทุนเพิ่มไม่ได้ เพราะวงโคจรมีจำกัด ถือเป็นการโยกเงินที่ควรจะเข้ากระทรวงการคลังไปยังผู้ถือหุ้น และเหตุการณ์ครั้งนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีผลประโยชน์ทับซ้อนชัดเจน เพราะขณะนั้นท่านเป็นประธานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนโดยตำแหน่ง”



    นายสมเกียรติระบุด้วยว่า หลังจากมีข่าวเรื่องนี้อออกมาคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนก็ไม่เผยแพร่ข้อมูลเรื่องการส่งเสริมการลงทุนอีกเลย



    ด้าน ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันสหสวรรษ ให้การว่า การประเมินทรัพย์สินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตก่อนการแปรรูปนั้นต่ำกว่าความเป็นจริงมาก เนื่องจากมีการประเมินมูลค่าของเขื่อนต่าง ๆ ที่การไฟฟ้าฯ มีอยู่กว่าทั้งสิ้น 21 เขื่อนซึ่งมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 13,000 ล้านหน่วย มีมูลค่ารวมกันกว่า 1.8 ล้านล้านบาท แต่การกลับถูกประเมินราคาเพียง 9400 ล้านบาท โดยคิดคำนวณจากที่ดินและสิ่งก่อสร้างเท่านั้นไม่เอากำลังผลิตไฟฟ้ามารวมด้วย



    ดังนั้นหากมีการขายหุ้นในตลาดหุ้นได้ คาดว่าผู้ถือหุ้นจะมีกำไรกว่า 1.8 ล้านล้านบาท และคาดว่าในอนาคตหุ้นของ กฟผ. ก็จะตกอยู่ในมือของสิงคโปร์เช่นกัน เนื่องจากก่อนหน้านี้ เมื่อแปรรูป ปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์ก็ปรากฏว่ามี 2 กองทุนจากสิงคโปร์ที่ช้อนซื้อหุ้นของปตท. โดยนายวุฒิพงษ์กล่าวว่าสำหรับกรณีกฟผ. นั้นถือว่าสวรรค์ยังมีตา เนื่องจากศาลปกครองได้มีคำสั่งชั่วคราวระงับขายหุ้น กฟผ. ไปก่อน


    อ่านฉบับเต็มที่
    http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=2911&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai

    จากคุณ : อ่านขาด - [ 9 มี.ค. 49 08:55:51 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป