ความคิดเห็นที่ 1 ความคิดเห็นที่ 1   LIVEDOOR HORIE โมโนกะตะริ.....บทเรียนคนรุ่นใหม่ “จากสูงเสียดฟ้า ..ถลาลงสู่เรือนจำ...” ห่างจากอาคาร โร็ปปองกิฮิลล์  (ซึ่งเป็นที่ตั้งของ LIVEDOOR ในปัจจุบัน) ไม่กี่ร้อยเมตร.. ณ.อาคารเล็กๆแห่งหนึ่ง เมื่อราวๆปี 1996 บัณฑิตหนุ่มผมยาว Takafumi Horie  ที่เพิ่งก้าวออกจากรั้ว TODAI กลางคัน ขณะกำลังศึกษาอยู่คณะอักษรศาสตร์ สาขาศาสนา..คงนึกไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร จึงยืมเงินบิดา มา6ล้านเยน เพื่อมาตั้งบริษัทเล็กๆ ..รับจ้างออกแบบพัฒนาระบบ ออกแบบเว็ปไซต์ และบริการอื่นๆเกี่ยวกับ ไอที.. ทุกอย่างไปได้สวย เพราะเป็นช่วงที่อินเตอร์เน็ตเฟื่องฟู..จากพนักงานไม่กี่คน กลายเป็นหลายสิบคน พร้อมรายได้ที่โตมากมาย ในปี 1999.. ณ.ตอนนั้น Horie อายุได้เพียง 26 ปี..นับเป็นคนหนุ่มที่น่าจับตามองมากที่สุดคนหนึ่ง ของวงการไอทีญี่ปุ่น ในตอนนั้นก็ว่าได้..ซึ่งก็เริ่มมีนักลงทุนหลายๆรายเริ่มให้ความสนใจเด็กหนุ่มคนนี้.. ในปี 2000 ..ด้วยความเย้ายวนของเงินตรา อำนาจ และชื่อเสียงฐานะทางสังคม..เด็กหนุ่ม Horie จึงรีบคว้าโอกาสทองนี้ มาครอบครอง..ด้วยการนำ บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์..ท่ามกลางความเฟื่องฟูของยุคไอที ที่กำลังพุ่งแรงแซงเหนือธุรกิจอื่นใด ทั้งรายได้และชื่อเสียง อย่างยากที่จะเทียบได้..ทั้งๆที่ตัว Horie ยังไม่ได้มีความรู้หรือศึกษาเกี่ยวกับเรื่องตลาดหลักทรัพย์และการเงินมากมายนัก.. เข้าตลาดในปีแรก..มูลค่าตลาดรวมของ LIVEDOOR ก็ทะยานขึ้นสูงกว่า  5หมื่นกว่าล้านเยน ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก.. และในปี 2000 นั่นเอง..ก็ได้เกิดวิกฤตการณ์ฟองสบู่ไอทีแตก..หุ้นบ.ไอทีต่างๆที่เคยทะยานสูงสียดฟ้า..ก็ต่างร่วงไม่เป็นท่า ไม่เว้นแม้แต่หุ้น LIVEDOOR ที่ตกลงมากว่า 90% ..จากมูลค่าตลาดรวม 5หมื่นกว่าล้านเยน..ลดลงมาเหลือ ประมาณ 4 พันกว่าล้านเยน..ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว... แก้ไขเมื่อ 24 มี.ค. 49 12:58:40 แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 49 14:34:17 จากคุณ : Carpenters  - [ 23 มี.ค. 49 14:02:25 ] จากคุณ : น้องส้มเด็กดี - [ 28 มี.ค. 49 16:46:57 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ความคิดเห็นที่ 2   ช่วงนี้เองที่ทำให้ Horie เริ่มเปลี่ยนไปมากขึ้น..เขามักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเงินๆทองๆ ราคาหุ้นมาก..จากคำให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ ฝ่ายการตลาดและอื่นๆว่า..แม้กระทั่งเวลาประชุมเรื่องงาน Horie มักจะกระวนกระวาย คอยเป็นห่วงเป็นใย ติดตามราคาหุ้นอยู่ตลอดเวลา..จนในบางครั้งทำให้การประชุมด้อยประสิทธิภาพลงไป.. Horie ตัดสินใจว่าจ้างทีมกุนซือคู่กาย..มารับตำแหน่งกุนซือทางการเงินและกุนซือเทคนิคในตลาดหลักทรัพย์.. เท่าที่จำได้น่าจะมี.. Miyauchi, Okamoto และ Nakamura ...ทั้งทีมมีหน้าที่ ทำอะไรก็ได้ทุกวิถีทาง เพื่อให้ราคาหุ้นของ LIVEDOOR สูงขึ้น..และสูงขึ้นเรื่อยๆ ..ไม่มีที่สิ้นสุด.. วิธีการที่กุนซือเหล่านี้ทำมีมากมาย..ยกตัวอย่างเช่น การเข้าซื้อกิจการที่ไม่เกี่ยวข้อง ทั้งในและนอกประเทศ..เพื่อมาเพิ่มจำนวนสินทรัพย์ที่มีอยู่ ให้ดูว่าบริษัทมีการเติบโตของทรัพย์สิน หรือใหญ่ขึ้นนั่นเอง..การตกแต่งทางบัญชี ..ขายหุ้นเพิ่มทุน จนถึงโยกหุ้นที่ติดไซเลนท์พีเรียต(หุ้นที่ห้ามขายก่อนระยะเวลากำหนด)..โดยการแลกหุ้นกับบริษัทอื่นๆ(ที่เอามาบังหน้า)..แล้วทำการโอนต่อเป็นทอดๆ เพื่อแปลงเป็นเงินสดในที่สุด..เป็นต้น... ในสารคดี ได้เห็นตัวอย่างบริษัทกระดาษบริษัทหนึ่งในฮ่องกง..ที่ทาง LIVEDOOR ได้ส่ง โนกุจิ (ซึ่งได้ฆ่าตัวตายไปแล้ว ก่อน Horie จะถูกจับ)..ร่วมมือกับบ.หลักทรัพย์แห่งหนึ่งในฮ่องกง..เปิด บ.กระดาษ ขึ้นเพื่อทำธุระกรรมหุ้นของ LIVEDOOR นอกประเทศนั่นเอง..เพราะ กลต.ของญี่ปุ่น ไม่ตรวจสอบถึง.. และด้วยเทคนิค เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวของทีมกุนซือเหล่านี้..หุ้นของ LIVEDOOR ก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ..และก็สามารถขึ้นไปสูงกว่าในปี 2000 ถึงกว่า 100 เท่า หรือ 10000% หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดรวมราวๆ 5แสนกว่าล้านเยนได้ในราวๆปี  2003-2004 (จำไม่ค่อยแน่).. Horie ยังไม่พอใจเพียงแค่นั้น..เค้าเริ่มมีความคิดที่จะใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือโปรโมท เพื่อสร้างราคาหุ้นให้สูงขึ้นๆอีกเรื่อยๆ..เขาเริ่มออกประกฏตัวในที่สาธารณะ เริ่มทำตัวเด่นดัง เริ่มเกี่ยวข้องกับการเมืองมากขึ้น..และอีกหลายๆวิธีที่สามารถทำได้.. ในการที่จะให้ประชาชนชาวญี่ปุ่น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ หันมาสนใจ และนิยมชมชอบในตัวเขา..ซึ่ง Horie มั่นใจว่า..นี่คือวิธีที่จะทำให้หุ้นของ LIVEDOOR สูงขึ้นเรื่อยๆ... Horie ทำสำเร็จ..กระแสความนิยมในตัวเขาสูงขึ้นมาก..จนสื่อมวลชนขนานนามว่า HORIEMON BOOM กันเลยทีเดียว..โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ ที่ต่างนิยมชมชอบ และมากมายที่คิดว่า Horie เป็นฮีโร่ในดวงใจของเขาเลยทีเดียว..ไม่เว้นแม้กระทั่งคนวัยเกษียณ ที่เอาเงินบำเหน็ดส่วนใหญ่เข้าลงทุน ในหุ้นของ LIVEDOOR เพราะเชื่อมั่นในตัว Horie เดี่ยวจะมาเล่าเรื่องลุงคนนี้ให้ฟัง.. ในปลายปี 2005 จนเข้าต้นปี 2006 หุ้นของ LIVEDOOR ได้ทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง..จนในที่สุด ต้นเดือนมกราปี 2006 .... Horie กลายเป็น ประธานหนุ่มที่อายุเพียง 32 ปี ..แต่บริหาร  LIVEDOOR ..ที่มูลค่าตลาดรวมถึง..8 แสนกว่าล้านเยน.. แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือ? ..ขอพักก่อน ไว้มาเล่าต่อ... แก้ไขเมื่อ 24 มี.ค. 49 09:22:11 แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 49 14:59:40 แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 49 14:35:19 จากคุณ : Carpenters  - [ 23 มี.ค. 49 14:07:36 ] จากคุณ : น้องส้มเด็กดี - [ 28 มี.ค. 49 16:47:34 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ความคิดเห็นที่ 3   ในวันประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น..เพียงแค่ 3 สัปดาห์ก่อนที่ Horie จะถูกจับคุม..ขณะที่ Horie กำลังแถลงผลประกอบการให้กับผู้ถือหุ้นอยู่นั้น..ในช่วงซักถาม ได้มีผู้ถือหุ้นหญิงคนหนึ่ง เข้าใจว่าถามจากทางโทรศัพท์..ได้กล่าวต่อว่า Horie เกี่ยวกับเรื่องเงินปันผลที่เหล่าผู้ถือหุ้นรอคอย..เพราะเธอเชื่อว่า การลงทุน นอกจากราคาหุ้นที่สูงขึ้นแล้ว บริษัทที่ดีและมั่นคงควรจะต้องมีดอกผลบ้างไม่มากก็น้อย..ไม่ใช่สักแต่ว่าขยายบริษัทไปเรื่อยๆ..โดยไม่คิดที่จะปันผลให้แกผู้ถือหุ้น.. Horie เริ่มหน้าเสีย..ใน Hall ทุกคนเงียบสนิท..แต่ Horie สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ด้วยหยาดน้ำตาและคารมที่กินใจ..พลิกสถานการณ์ เรียกเสียงปรบมือได้ลั่น Hall เลยทีเดียว... เหตุการณ์นี้หรือเปล่า ? ที่อาจเป็นเหตุให้อีกหลายๆคนเริ่มคลางแคลงใจในตัว Horie ..จนเป็นสาเหตุให้เกิดการตรวจสอบ จนถึงขั้นจับคุมเขาในที่สุด..หรือว่ามีการตรวจสอบอย่างเงียบๆอยู่นานแล้ว.. ข่าวการถูกจับคุณของ Horie และพรรคพวก..ทำให้ตลาดหุ้นนิเคอิตกลงถึงกว่า 1000 จุดในแค่ 3 วันทำการ..และแน่นอน นั่นหมายถึงราคาหุ้นของ LIVEDOOR ที่ดิ่งลงเหว อย่างไม่มีใครตั้งตัวทัน.. จากมูลค่าตลาดรวมกว่า 8 แสนกว่าล้านเยน ก่อนถูกจับ..ปัจจุบัน LIVEDOOR ..เหลือมูลค่าตลาดรวม เพียง 6 หมื่นกว่าล้านเยน... เพียงแค่พริบตา..ผู้ลงทุนที่เชื่อมั่นในตัว Horie ต้องเสียหายไปกับการณ์นี้ถึงกว่า 90% .ไม่เว้นแม้แต่คุณลุงวัย 62 คนหนึ่ง ที่ผมกล่าวถึงในตอนต้น..คุณลุงแกนำเงินเก็บส่วนใหญ่ที่ได้จากการเกษียณ มาลงทุนในหุ้นของ LIVEDOOR ถึง 5 ล้านเยน..เพราะเชื่อมั่นในตัว Horie อย่างยิ่ง.. “ผมว่าความรู้สึก มันไม่ใช่เหมือนถูกหักหลังเรื่องเงิน หรือถูกโกงเงิน..แต่ผมมีความรู้สึกว่า เหมือนถูกหักหลังกับความไว้วางใจที่ให้ไปในตัว Horie มากว่า” เป็นคำกล่าวของคุณลุง..ด้วยสีหน้าผิดหวังอย่างมาก..พร้อมราคาหุ้นที่เหลือมูลค่าไม่ถึง 5 แสนเยน.. และแน่นอน ไม่เพียงแค่คุณลุงคนนี้..ยังมีผู้ถือหุ้น และประชาชนอีกมากมาย ที่ต้องเสียทั้งเงินและเสียความรู้สึก ให้กับคนที่เขาเรียกว่า ฮีโร่..ผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากพวกเขามาตลอด.. แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 49 15:09:47 จากคุณ : Carpenters  - [ 23 มี.ค. 49 15:06:38 ] จากคุณ : น้องส้มเด็กดี - [ 28 มี.ค. 49 16:47:55 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ความคิดเห็นที่ 7   มาติดขอบจอรออ่านด้วยคนค่ะ กรณีของโนกุจิที่ว่าฆ่าตัวตายนั้นมันมีอะไรแอบแฝงรึเปล่า คือ กรีดข้อมือ 2 ข้าง กรีดท้องเป็นแนวขวาง และก็กรีดคอตัวเองด้วย แถมยังกดปุ่มฉุกเฉินขอความช่วยเหลือ..... คือถ้าเป็นหนังก็อาจจะคาดเดาว่ายากุซ่ามาเก็บป่าวเนี่ย อันนี้คิดเองเออเองนะคะ แบบเข้ามาเสริมให้ระทึกเฉยๆ ค่ะ จากคุณ : รักสีส้มอมเปรี้ยว  - [ 23 มี.ค. 49 20:46:24 ] ความคิดเห็นที่ 9   ขอบคุณมากค่ะ ที่เข้ามาเล่าให้ฟัง ติดตามข่าวของคน คนนี้ตลอดค่ะ  รู้สึกว่าเป็นข่าวใหญ่เลย  แต่ไม่รู้เรื่องเลย  สามีก้ไม่เล่ารายละเอียดให้ฟัง  เค้าเพียงแค่อธิบายคร่าว ๆ ว่า  คนนี้เค้าโกงให้ราคาหุ้นสูงกว่าความเป็นจริงเท่านั้นค่ะ ( ความจริงอยากรู้เรื่องราวมากกว่านั้น  แต่คุณสามีเค้าคงขี้เกียจอฺธิบายค่ะ และดิฉันก็เพิ่งมาอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่น ภาษาก็ไม่ได้ความเลยล่ะค่ะ )  ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ จากคุณ : LilyAi   - [ 23 มี.ค. 49 21:31:39 ] ความคิดเห็นที่ 10   Horiemon...จอมtakeoverตัวจริง ต้นแบบคนรุ่นใหม่ที่อยากรวยเร็วๆ สุดท้ายก็ไปไม่รอด ขอบคุณที่เอามาให้อ่านครับ จากคุณ : bm - [ 23 มี.ค. 49 21:51:20 A:58.8.53.92 X: TicketID:108818 ]     ความคิดเห็นที่ 11   คลับคลายคลับคลากับคดีของราเกซ แล้วก็คดีคุณสอง (จำนามสกุลไม่ได้) ที่ปั่นหุ้นเหมือนกันเลย เค้าโครงก็ประมาณนี้ อยากหาหนังสือมาอ่านจัง พี่ช่างไม้แนะนำด้วยได้มั้ยครับ น่าจะทำเป็นหนังสือบ้างนะ จากคุณ : ชัย (Chaibangkok)  - [ 23 มี.ค. 49 22:34:13 ] จากคุณ : น้องส้มเด็กดี - [ 28 มี.ค. 49 16:49:18 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ความคิดเห็นที่ 15   ขอบคุณสำหรับขอ้มูลครับ..อดีตนักกินจุก ..และคุณfudge-a-mania ..ตรงต้นๆนี้แหละครับ ที่ถูกพวกลิงๆที่บ้านกวน..อิอิอิ..เลยไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน..แต่ได้ยินคล้ายๆว่าออกจากมหาลัย ก็เหมาไปก่อนว่าจบ..ส่วนในสารคดีก็ได้ยินเหมือนว่าเป็น สาขาคอมฯ หรือ โจโฮชูริอะไรทำนองนี้.. เช้านี้ก็เลยเช็คดู..ปรากฏว่า ใช่อย่างที่คุณทั้งสองสงสัยจริงๆ..เรียนคณะอักษรศาสตร์ สาขาศาสนาซะด้วย..แล้วก็ไม่จบจริงๆด้วยครับ.. แหะๆๆ..ข้อมูลผิดพลาดนิดหน่อย..ขออภัย.. ช่วงนี้ต้องสางงานก่อนเดินทางยาว..คงมีโอกาสเขียนอีกไม่มาก โดยเฉพาะเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของคนรุ่นใหม่ในญี่ปุ่น..ไว้กลับจากญี่ปุ่นอีกที ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นข้อมูลกับบริษัทที่เกี่ยวข้องต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้..แล้วจะเอามาเล่าสู่กันฟัง ว่าคนญี่ปุ่นเอง เขามีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร.. มาต่ออีกหน่อย.. HORIEMON BOOM คืออะไร..ทำไมถึงมีอิทธิพลกับตลาดทุน นักลงทุนและประชาชนชาวญี่ปุ่นขนาดนี้..?? HORIEMON BOOM ก็เปรียบเสมือนความเชื่อ คงไม่น่าจะหนักถึงขั้นลัทธิ..แต่ก็เป็นความเชื่อที่ค่อนข้างเหนี่ยวแน่น ที่ Horie ได้สร้างขึ้น และพยายามถ่ายทอด โน้มน้าวความคิดของคนรุ่นใหม่ว่า การทำงานหาเงินให้ได้มากๆแบบสมัยใหม่ไม่ยากเลย เพียงแค่คุณมีสมอง มีความกล้า แล้วหาโอกาส จังหวะในการโปรโมทสิ่งที่คุณมี เพื่อนำเข้าตลาดทุน และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้น.. นี่แหละคือแหล่งเงินมหาศาลที่จะได้รับ..โดยไม่จำเป็นต้องไปนั่งหลังขดหลังแข็งทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบแต่ก่อน..และนี่แหละคือความเชื่อที่ Horie มี และพยายามโน้มน้าวให้คนจำนวนมากเห็นคล้อยตาม ..และนี่ก็คือ “MONEY GAME” ของเขานั่นเอง.. “MONEY GAME” ก็คือเกมที่ผู้เล่นต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เป็นผู้ชนะ..และผู้ชนะในเกมนี้ก็คือ ผู้ที่มีทรัพย์สินเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาลในเวลาอันสั้น..โดยไม่สนใจว่าจะมาด้วยวิธีการใด ผิดถูกขนาดไหน..และนี่ก็คือ “MONEY GAME” ของ Horie.. Horie มีห้องบัญชาการส่วนตัว สำหรับทีมกุนซือ MONEY GAME นี้..เป็นห้องบัญชาการที่อยู่ชั้นเดียวกับ สนง.ใหญ่ LIVEDOOR นั่นแหละ ..แต่แยกออกไปข้างๆ มีการรักษาการแน่นหนา..ให้เข้าออกได้เฉพาะกลุ่มทีมกุนซือเท่านั้น..และที่นี่ คือที่ๆเจ้าหน้าที่ พบหลักฐานความผิดของ  Horie มากที่สุด.. จากคุณ : Carpenters  - [ 24 มี.ค. 49 09:39:50 ] จากคุณ : น้องส้มเด็กดี - [ 28 มี.ค. 49 16:49:52 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ความคิดเห็นที่ 16   นอกจากการประกฏตัวต่อสาธารณะในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง เพื่อราคาหุ้นแล้ว.. Horie ยังคิดว่า มันจะเป็นบันไดสู่อำนาจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเป็นเกราะป้องกันเขาเองในอนาคต..การสร้างความเชื่อแบบใหม่ของเขา โน้มน้าวคนรุ่นใหม่ ไม่เว้นแม้แต่รุ่นเก่าหลายๆคนให้เห็นดีด้วย..จนกลายเป็นการเลียบแบบ ยึด Horie เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต..เขาก็จะกลายเป็น “ฮีโร่” ของมหาชน ..ซึ่งนั่นก็คือเกราะใหญ่ของเขานั่นเอง.. “ชะโจ้ นิคคิ” คือบันทึกการดำเนินชีวิตส่วนตัวของ Horie ..ที่เขียนขึ้นทุกวันในเว็ป LIVEDOOR ..เพื่อให้คนที่นิยมชมชอบและติดตามเขาอยู่ได้อ่าน..ได้เห็นว่าเขามีชีวิตที่สุขสบายได้ขนาดไหน จาก MONEY GAME..ทุกๆวันเขาจะเขียนเล่าเรื่องราว การทำงาน การกินอยู่..วันนี้กินอาหารเลิศหรู ราคาแพงลิบลิ่ว..อยู่อาพาร์ตเมนท์ค่าเช่าหลายแสนเยน..มีรถราคาแพงขับหลายคัน ต่างๆนาๆ..อ่านแล้วคงฝันเฟื่องกันน่าดูชม.. “MONEY GAME” มันเล่นกันง่ายๆขนาดนี้หรือ?..ตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น หละหลวมขนาดปล่อยให้เกิดเรื่องอย่างนี้จริงหรือ?..แล้วที่ Horie พร่ำโม้จะให้คนรุ่นใหม่เอาหุ้นเข้าตลาดกันมากๆ มันง่ายขนาดนั่นจริงหรือ?..คำตอบทั้งหมด คงอยู่ที่ตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น ว่าเขาจะมีมารตการอย่างไร หลังจากเกิดเรื่องนี้..และที่ผ่านมา เขาได้ปล่อยประละเลยอะไรไป จนเกิดเรื่องแบบนี้..ซึ่งจะไม่ขอวิจารณ์ในที่นี้.. แต่ที่เห็นแน่ๆก็คือ MONEY GAME ไม่สามารถทำให้ใครอยู่ค้ำฟ้าได้..เปรียบเสมือนแก้วเบียร์ เมื่อเรารินเบียร์แรง มันก็จะเกิดฟองเยอะกว่า 70% ของแก้ว..เราดื่มไปหน่อยเดียวก็ใกล้หมด ก็เติมเข้าไปใหม่ ฟองก็จะมีปริมาณที่เยอะขึ้นๆ..ดื่มๆเติมๆอยู่อย่างนั้น ..จนเมื่อไหร่ที่คุณเผลอ คุยเพลินหรือหยุดดื่ม..ฟองก็จะค่อยๆยุบตัวลง แลเห็นเพียงแค่ปริมาณเบียร์อันน้อยนิด ติดก้นแก้วอยู่เท่านั้น..ใครๆก็มองเห็นได้ในที่สุด.. Horie คงไม่ใช่คนสุดท้ายที่จะทำเรื่องช๊อควงการแบบนี้..ตราบใดที่คนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นยังคงมีแนวคิดแบบเดิมๆ ที่เกริ่นไว้ในข้างต้น..ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ ก็จะมี  Horie No.2  No.3 ขึ้นมาใหม่อีกก็เป็นได้.. ขอแค่นี้ก่อน..มีประชุมครับ.. จากคุณ : Carpenters  - [ 24 มี.ค. 49 09:49:47 ] จากคุณ : น้องส้มเด็กดี - [ 28 มี.ค. 49 16:50:11 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ความคิดเห็นที่ 17   มาต่อๆๆ... มีนักวิชาการหลายๆท่าน.. เริ่มผูกพฤติกรรมและแนวคิดของคนรุ่นใหม่ในญี่ปุ่น ให้เข้ากับการศึกษา..ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ประถม มัธยม จนถึงระดับมหาวิทยาลัย..ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกับการระบบศึกษาของญี่ปุ่น..และมีผลอย่างไรต่อพฤติกรรมและความคิดของเด็กๆและคนรุ่นใหม่ๆ..เรื่องนี้ถ้าเกริ่นแล้ว คงต้องว่ากันยาววว..เลย.. แน่นอน การศึกษาต้องเริ่มจากประชากรศาสตร์..จากข้อมูลจะเห็นได้ชัดว่า การเติบโตของประชากรในญี่ปุ่นกำลังนิ่ง หรืออาจเป็นลบแล้วด้วยซ้ำ..อัตราการเกิดทดแทน ซึ่งคำนวณจากประชากรที่มีอายุในเกณฑ์แต่งงาน ต่อจำนวนการเกิดของประชากรใหม่..ตอนนี้ทั้งญี่ปุ่นและไทยอัตราทดแทนต่างติดลบแล้วครับ..คือนับจากครอบครับหนึ่งมีสามีกับภรรยานับเป็น 2 อัตราทดแทนที่ไม่ลบก็คือ ต้องมีประชากรเกิดใหม่ 2 เช่นกัน..แต่เนื่องจากคนในวัยนี้เริ่มอยู่เป็นโสดมากขึ้น แต่งงานแล้วก็มีบุตรแค่คนเดียว หรือไม่มีบุตร..ทำให้อัตราทดแทนในภาพรวมเป็นลบ..สำหรับไทยคือประมาณ 2:1.7 ...แต่ญี่ปุ่น กำลังจะเป็น  2:1 อยู่แล้ว.. ประชากรเกิดน้อยลง จากช่วงหลังสงครามโลก ที่เกิดปีละถึง 2 ล้าน..ปัจจุบัน มีเด็กเกิดปีละแค่ 5 แสนกว่าคนในญี่ปุ่น..นี่แหละคือต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ระบบการศึกษาและลามมาถึงพฤติกรรมของเด็กในญี่ปุ่นเปลี่ยนไป..เป็นเรื่องที่เมืองไทยต้องศึกษาให้ดี..เพราะเราก็ตามมาติดๆ.. เด็กเกิดน้อยลง..การแข่งขันของสถาบันเอกชนก็ทวีความรุนแรงขึ้น เป็นธุรกิจมากขึ้น..เด็กเริ่มเปลี่ยนจากนักเรียน กลายเป็นลูกค้ามากขึ้น..ความเข้มงวดของโรงเรียนและครูที่เคยช่วยขัดเกราหล่อหลอมให้เด็กญี่ปุ่น มีความเป็นระเบียบวินัย อดทน เริ่มน้อยลง..เด็กถูกเอาใจมากขึ้น ทั้งจากโรงเรียนและครอบครัว..เพราะถือว่าเป็นประชากรส่วนน้อยที่เริ่มหาได้ยากเต็มทน ต้องทะนุถนอม.. จากคุณ : Carpenters  - [ 24 มี.ค. 49 11:28:46 ] จากคุณ : น้องส้มเด็กดี - [ 28 มี.ค. 49 16:50:24 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ความคิดเห็นที่ 18   ผมเคยเห็นพ่อลูกคู่หนึ่งที่สวนสาธารณะ ..ลูกกำลังแกล้งคางคกอยู่ กำลังถึงขั้นจะเอาชีวิตทีเดียว..พ่อก็เอ่ยห้ามว่า ทำอย่างนั้นไม่ได้..ลูกก็เลยถามพ่อว่า ทำไมทำไม่ได้ ขอเหตุผล..พ่อคนนั้นยืนอึ้ง คงนึกเหตุผลไม่ออก..ซักพักก็เลยบอกลูกว่า ตามใจ อยากทำก็ทำไป พร้อมเดินหนีไป.. ถ้าเป็นคนไทย เราคงหาคำตอบให้ลูกได้ไม่ยากใช่ไม๊ครับ..เพราะเรามีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใต..อย่างน้อยคำว่า “บาปบุญคุณโทษ” คงช่วยให้คำตอบเหล่านี้กับเด็กๆได้ ไม่ว่าจะศาสนาอะไรก็ตาม..ไม่ใช่ผมจะว่าคนญี่ปุ่นไม่มีศาสนาน๊ะครับ..แน่นอนเป็นเมืองพุธเหมือนกัน ..แต่ตอนนี้คนรุ่นใหม่ที่นับถือศาสนา มีน้อยเต็มที..ความเชื่อใน"ตัวเอง" และลัทธิต่างๆก็เข้ามาแทนที่เสียเยอะแล้ว..ขอข้ามตรงนี้ไปดีกว่า คุยเรื่องนี้แล้วไม่ค่อยปลอดภัย.. การเคลื่อนตัวของประชากรเริ่มลามขึ้นมาจาก อนุบาล สู่ประถม มัธยม..และในตอนนี้มันได้ลามมาสู่ระดับอุดมศึกษาแล้ว..จะเห็นได้จากมหาวิทยาลัยเอกชนหลายๆแห่ง เริ่มมีกิจการที่แย่ลง จากจำนวนนักศึกษาที่ลดลง..แม้กระทั่งมหาวิทยาลัยของรัฐเองก็ตามก็ไม่วายถูกกระทบ..จากการที่เด็กจำนวนมากมีพฤติกรรมและแนวคิดที่เปลี่ยนไป  ทำให้การเลือกเรียนเปลี่ยนไปด้วย..เด็กๆเริ่มหันไปเรียนวิชาที่เรียนไม่ยาก เรียนแล้วจบง่าย หาเงินได้ง่ายในยุคไอที และการเงินที่เฟื่องฟู..วิชาที่เป็นพื้นฐานสร้างชาติและสร้างชื่อเสียงให้กับญี่ปุ่นมาตลอด มาตั้งแต่หลังสงครามโลกถูกเมินจากเด็กจำนวนมาก.. เช่น วิศวสาขาต่างๆ กำลังถูกลดความสำคัญลง(แต่ก็ยังได้รับความนิยมมากอยู่นะครับ แต่เริ่มลดลงเรื่อยๆ).. มีเรื่องน่าแปลกก็คือ TOKYO UNIVERSITY หรือ โตได ที่เราเรียกติดปาก..มหาลัยอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น..ซึ่งเคยติดอันดับ TOP 10 ของมหาวิทยาลัยทั่วโลกมานานแสนนาน (ซึ่งน่าจะวัดจากผลงานวิจัย ผลงานประดิษฐ์คิดค้นของนักศึกษาเป็นหลัก ในการจัดอันดับ)..ได้หลุดจาก TOP 10 มาเป็นอันดับ 12 ในปี 2004 ...และที่น่าตกใจก็คือ จากการจัดอันดับปีที่แล้ว (เห็นจะได้ หรือไม่ก็ต้นปีนี้)..โตได ได้หล่นจากอันดับที่ 12 มาอยู่ที่อันดับ16 ...และที่น่าตกใจและแปลกใจไปกว่านั้นอีกก็คือ..มหาวิทยาลัย ปักกิ่ง..ที่เคยอยู่อันดับที่ 17 (หรือ18 นี่แหละ) ได้แซงหน้า โตได มายืนอยู่ที่ 15 .. เกิดอะไรขึ้นกับ ระบบการศึกษาของญี่ปุ่น..?????? จากคุณ : Carpenters  - [ 24 มี.ค. 49 11:32:31 ] จากคุณ : น้องส้มเด็กดี - [ 28 มี.ค. 49 16:50:40 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ความคิดเห็นที่ 20   อูยยย..นี่เราไปไกลเกินไปหรือเปล่า..ไปก้าวล้ำเรื่องการศึกษาเลย..เอาเป็นว่าอยากเชื่อมให้เห็นว่า..ประชากรศาสตร์ การศึกษา พฤติกรรมความคิด ทัศนคติ เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มันเชื่อมถึงกันจริงๆ ไม่ใช่ไม่เกี่ยว... จุดประสงค์หลักของกระทู้นี้..ผมไม่อยากเน้นไปที่เรื่องเบื้องลึกของ Horie นัก..เพียงแค่เอาเรื่องราวความเป็นมาคร่าวๆ..เพื่อนำมาเป็นตัวอย่างในการบอกคนรุ่นใหม่ๆว่า..การที่จะมีฐานะที่มั่นคง มีความเป็นอยู่ที่ดีและยั่งยืนนั้น..คุณต้องมีรากฐานที่มั่นคงเช่นกัน.. ในธุรกิจ..ก็หมายถึง คุณต้องมีรากฐานของสินค้า ผลิตภัณฑ์ การบริการที่ดี มีคุณภาพ และราคาที่เหมาะสม มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทันโลกทันสมัย..ไม่ใช้สักแต่ว่าสร้างภาพลักษณ์ เพื่อสร้างราคาหุ้นหรือความงอกเงยของปริมาณเงินอย่างรวดเร็วแต่ไร้ซึ่งทิศทาง... ในชีวิต..ก็หมายถึง นอกจากวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาแล้ว..ประสบการณ์รวมถึงการเรียนรู้เพิ่มเติมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นเรื่องสำคัญ..คงยากที่จะมีตำราไหน ที่เขียนวิธีการทำงาน ทำธุรกิจและชีวิตให้สำเร็จ และคุณก็ได้ใช้ตำรานั้นดำเนินชีวิตได้สำเร็จเลย โดยไม่ต้องพึ่งประสบการณ์ของตัวเอง..หรือถ้ามีจริง จะมีตำราไหนไม๊ ที่สำเร็จรูปขนาดบอกวิธีแก้ปัญหา ป้องกันปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น หรือกำลังจะเกิดขึ้นในภายหน้า ได้อย่างครอบคลุมและปลอดภัยสำหรับผู้เรียน.. ใครว่า บิลล์ เกตต์ เป็นหมาเศรษฐี อันดับหนึ่งของโลกมาได้อย่างง่ายดาย..ก่อนหน้านี้ เขาล้มลุคลุกคลานขนาดไหน..เขาให้ความสำคัญกับคำว่าผลิตภัณฑ์ และการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ขนาดไหน...แล้วทำไมเขาถึงยอมสละตำแหน่ง ซีอีโอแสนสบาย..ลงมานั่งหลังขดหลังแข็งในตำแหน่ง ซีโอโอ ..เพื่อที่จะได้ทีเวลาดูแลผลิตภัณฑ์ และการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ ไมโครซอฟต์อย่างเต็มที่..นี่แหละคือวิถีการสร้างองค์กรให้ร่ำรวยอย่างมั่นคง..ไม่ใช่หนทางแบบ  “MONEY GAME”  ของ HORIEMON . จากคุณ : Carpenters  - [ 24 มี.ค. 49 12:08:14 ] จากคุณ : น้องส้มเด็กดี - [ 28 มี.ค. 49 16:51:00 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ความคิดเห็นที่ 21   ผมได้เห็นข่าวเรื่องบริษัท Live door และนาย โฮริเอะ ในทีวีบ่อยมาก ตั้งแต่เรื่องการเข้าไปเทกโอเวอร์ บริษัทต่างๆ จนกระทั่งถูกจับ แต่เนื่องจากภาษาญี่ปุ่นที่งูๆปลาๆของผม ก็ไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก ต้องขอขอบคุณเจ้าของกระทู้เป็นอย่างสูงครับ เคยคุยกับเพื่อนคนญี่ปุ่นหลายคนก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้านายโฮริเอะคนนี้มากนักหรอกครับ คนที่ชอบนายโฮริเอะ คิดว่าน่าจะเป็นพวกที่ทะเยอทะยานอยากประสพความสำเร็จในชีวิตโดยเฉพาะด้านทรัพย์สินเงินทองอย่างโฮริเอะมากกว่า สังคมญี่ปุ่นปัจจุบันเป็นสังคมวัตถุนิยมสูงมากทีเดียวจึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีเยาวชนคนรุ่นใหม่จะตีค่าความหมายของชีวิตเป็นวัตถุทรัพย์สินเงินทอง ใช้วัตถุเป็นเครื่องวัดความนับถือและเกียรติยศ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะครับ เยาวชนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ที่ไม่ได้เห็นว่าวัตถุเงินทองคือทั้งหมดของชีวิตก็มีเยอะเช่นกัน จากคุณ : Bombarder  - [ 24 มี.ค. 49 12:56:02 ] จากคุณ : น้องส้มเด็กดี - [ 28 มี.ค. 49 16:51:28 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ความคิดเห็นที่ 33   อ่านเพลินครับ ได้ความรู้ และแง่คิดดี แต่มีมุข ขำขำ ที่ใครอ่านเร็วๆ จะไม่เจอนะครับ ต้องค่อยๆอ่าน อย่างผม ในคห.20 ย่อหน้าสุดท้าย ใครว่า บิลล์ เกตต์ เป็น.....หมา....เศรษฐี จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน - [ 25 มี.ค. 49 06:13:02 A:58.8.25.165 X: TicketID:106249 ]     ความคิดเห็นที่ 34   ขอบคุณหลายหลายครับ....... ตอนนี้กำลังรอคำตอบจากนักเรียนเก่าทุนญี่ปุ่น......เรื่องแบ็คกราวด์เพิ่มเติมสำหรับลิฟดอร์...... ถ้ามีอะไรดีดีจะมาแปะ....... แก่นของเรื่องนี้อยู่ที่.......จริยธรรม.....ใช่หรือเปล่าครับพี่ช่างไม้????...... จากคุณ : 190อีสีขาว  - [ 25 มี.ค. 49 08:36:36 ] จากคุณ : น้องส้มเด็กดี - [ 28 มี.ค. 49 16:52:32 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ความคิดเห็นที่ 35   สวัสดียามเช้าครับ..เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกๆท่าน ..และขอบคุณที่แวะเข้ามาทักทายพูดคุยกัน.. ก็คงจบแค่นี้ก่อนครับ..ยิ่งเขียนมากยิ่งซีเรียสมากขึ้น..เดี๋ยวมันจะไปเรื่องโน้นเรื่องนี้..ผูกกันไม่รู้จบ.. สุดท้าย มันจะเผยถึงความรู้ไม่จริงของผมออกมา อายเขาแย่เลย แหะๆๆๆ..ความรู้แค่หางอึ่งอย่างผม คงต้องหมั่นเรียนรู้อะไรอีกมาก..ในโลกนี้ยังมีเรื่องอะไรๆ ต้องให้ศึกษากันอีกมากมายมหาศาลนัก.. อยากจะศึกษาเรื่องเกี่ยวกับ ประชากรศาสตร์..การเคลื่อนตัวของประชากร ที่มีผลต่อเศรษฐกิจ พฤติกรรมการบริโภค และเชื่อมโยงถึงรูปแบบการทำธุรกิจ และการทำการตลาดในอนาคตอันใกล้ ให้มากกว่านี้ครับ.. ใครพอมีเวลา ลองหาข้อมูลของประชากรดูซิครับ..แล้วจะเห็นว่า ประชากรของเรามีรูปร่างเป็นอย่างไร..อ้วนบน อ้วนกลาง หรืออ้วนช่วงล่าง..ใครคือกลุ่มประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ.. ทำไมคนที่คิดจะเปิดโรงเรียนอนุบาล..ถึงกลายเป็นคนที่กำลังวิ่งหาขวากหนาม..ทำไมเฮล์ทแอนด์สปา ถึงเปิดกันได้เปิดกันดี เปิดกี่ที่กี่ที่ ก็ยังไม่มีที่ท่าว่าจะเจ๊ง..เป็นต้น.. เพราะกลุ่มผู้บริโภค กำลังซื้อและจำนวนประชากรในกลุ่ม หรือเปล่า??... ปล. จ๊ากกกกก..เขียนคำว่า มหา ทีไร..มันจะกลายเป็นอย่างนี้ทุกที..ขอโทษพี่บิลล์ด้วยน๊ะครับ.. แก้ไขเมื่อ 25 มี.ค. 49 08:56:28 จากคุณ : Carpenters  - [ 25 มี.ค. 49 08:55:20 ] จากคุณ : น้องส้มเด็กดี - [ 28 มี.ค. 49 16:53:03 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ความคิดเห็นที่ 37   ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ดี คงต้องบอกว่าความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกันจริงๆ ต้องถามตัวเองละครับว่าเมื่อไหร่จึงมีความสุขอย่างแท้จริง จากบทความนี้ เงินไม่ใช่คำตอบของความสุข แต่มันเป็นเกมส์ครับ จากคุณ : โฆษิต   - [ 25 มี.ค. 49 09:28:07 ] ความคิดเห็นที่ 38   ขอบคุณค่ะพี่ช่างไม้ อ่านแล้วรู้สึกได้ความรู้ขึ้นเยอะ โดยเฉพาะประเด็นที่พี่ วิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มของเด็กรุ่นใหม่ในสังคมญป ใช่เลยพี่...เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่ไม่มีระเบียบ ไม่มีวินัย และไม่ มีความกระตือรือร้น เพราะตัวเองสัมผัสโดยตรง เดี๋ยวนี้ครู บาอาจารย์ พ่อแม่เลิกทำโทษเด็กแล้ว ทั้ง ๆ ที่ตัวเองชอบวิธี "รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี" ซึ่งคิดว่าได้ ผลกว่าการพูดปาว ๆ เป็นกอง จากคุณ : fudge-a-mania   - [ 25 มี.ค. 49 09:50:15 ]     ความคิดเห็นที่ 39   Takafumi Horie ไม่ได้ศึกษาวิธีการโกงของอดีตนักโกงแชร์อย่าง เอกยุทธ อัญชัญบุตร ที่โกงแชร์ระดับประเทศแล้ว ยังไม่ถูกลงโทษ ปัจจุบันกลับมาเสนอหน้าเป็นผู้สนับสนุนม๊อบในสังคมไทยทำร้ายเศรษฐกิจได้ใหม่อีก ถ้าTakafumi Horie เลี้ยงนักการเมืองไว้คอยช่วยอย่างเอกยุทธ อาจรอดตัวได้ จากคุณ : ทำชั่วได้ดีมีหรือ? - [ 25 มี.ค. 49 10:32:39 A:124.120.10.50 X: TicketID:109001 ] จากคุณ : น้องส้มเด็กดี - [ 28 มี.ค. 49 16:53:44 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ความคิดเห็นที่ 50   เอกยุทธ เจ๋งกว่านายนี่เยอะครับ ตอนนี้ยังลอยนวลอยู่เลย แต่วิธีปลุกปั่นของตายุ่นคนนี้แจ๋วดีจริงๆ ทำเด็กหลงผิดได้นี่...ง จากคุณ : เบื่อความเกลียดชัง (kung lee)  - [ 27 มี.ค. 49 04:01:24 ความคิดเห็นที่ 51   ตกลง ไลว์ดอร์ นี่ต้องการจะบอกว่าอะไรครับ เก่งแต่เรื่องโกง ไม่มีจริยธรรม กลไกการตรวจสอบของรัฐไม่ดีพอ แต่ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะที่ใดในโลกนี้ใช้กับไทยได้บ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ฟังเพื่อความรู้ได้ แต่อย่านำมาบอกให้ดูเป็นตัวอย่าง ของการทำงานที่ไม่มีแก่นสารของคนรุ่นใหม่ คนเราถ้าจะไม่เอาถ่าน ก็ไม่ได้เรื่องอยู่ดี คนที่ไหนในโลกนี้ก็เหมือนกันครับ ถ้าพ่อแม่หาไว้ให้มากมายแล้ว ลูกๆก็จะไม่ค่อยอยากได้อยากดีอะไร ผมว่าสิ่งที่ควรสร้างอย่างมากๆเลยสำหรับคนบ้านเรานะ ความเป็นลูกผู้ชายครับ เรามีความเป็นลูกผู้ชายไม่พอ ผมก็ยังมีไม่พอ หลายคนไม่ยอมรับว่าเราเห็นแก่ตัว เรื่องที่เกิดที่ญี่ปุ่น ไม่แน่ว่าจะให้ข้อคิดกับเราได้เสมอไป สังคมเราต่างกัน แค่เขาโกงหุ้น เราได้อะไรจากบทเรียนนี้ครับ ไม่มีอะไร ตอนนี้บ้านเราถ้าต้องการจะบอกว่าทำดีต้องได้ดีนี่นะตัวอย่างมีมาก เรากับญี่ปุ่นต่างกันอย่างมากในทุกๆเรื่อง ตำรวจของเขา 2 คนวิ่งหนีคนร้ายคนเดียวที่ไม่มีอะไรเลย มีแต่ไม้ จนต้องปฎิรูประบบตำรวจใหม่เมื่อปีที่แล้ว ผมขับรถในชนบทเวลากลางคืนตรงสี่แยกผมต้องดับไฟหน้ารถด้วย ภรรยาบอกว่าเรายังจอดรอไฟแดงอยู่ ไม่ต้องเปิดไฟหน้าก็ได้ ไฟรถเราจะทำให้คันอื่นๆรำคาญ มองถนนไม่ถนัด บางอย่างเขาดีเราก็ทำตาม แต่เรื่องการใช้ชีวิต ความทะเยอทะยาน ผมว่าไม่ควรคิดแทนคนของเรา เราไม่เป็นเด็กพวกนั้นเราไม่รู้หรอกครับ ว่าเขาต้องพบกับอะไรบ้างเมื่อตื่นเช้ามา เรายังเป็นตัวอย่างให้เขาไม่ได้ แล้วจะห้ามเขาคิดเพื่อหาที่ยืนให้ตัวเอง ผมว่าเขายังต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด ผมไม่เห็นด้วยถ้าจะบอกว่า ให้ดูตัวอย่างจาก    ไลว์ดอร์ ที่ทำงานแบบนั้นแล้วผลคืออะไร ลองไปบอกพวกเดินขบวนอยู่ซิ ว่าชาวบ้านเขาเดือดร้อน คนพวกนั้นจะว่าอย่างไร ไม่รู้นะอีก 40 ปีจากนี้ไม่มีแบ่งผ่ายแล้ว ผมว่าเองนะ เงินใช้สกุลเดียวทั้งโลก ไม่ต้องพูดเรื่องการขอวีซ่าอีกต่อไป แล้วเราจะอยู่อย่างไร ผมยังเห็นว่าไม่ควรเอาตัวอย่างของคนที่อื่น มาเป็นตัวตั้งเพื่อจะบอกคนของเราว่า เฮ้ย แบบนี้ไม่ดีนะ ถ้าอยากเห็นเด็กบ้านเราไปในทางที่ดีๆ ก็ เลิกลงหน้าหนึ่งรูปโป้ๆ นักกีฬาก็ต้องเลือกรูปที่มองแล้วโป้นิดหน่อย แบบนี้เราทำได้อย่างไร เราไม่ลูกผู้ชายไงครับ ผมขอโทษทุกท่านด้วย ผมก็ทำไม่ค่อยถูกนักที่เข้ามาเขียนไร้สาระในนี้ ทุกคนกำลังสนุก มีแต่ผมที่เข้ามาแล้วทำให้เซ็งเลย ก็ขอโทษอีกครั้งครับท่านเจ้าของกระทู้ไม่ได้มีอะไรไม่ชอบ แต่ไม่เห็นด้วยที่จะนำเรื่องประเทศอื่นมาเป็นบรรทัดแก่คนของเรา เราต้องหาเรื่องที่เป็นอย่างเรานี่แหล่ะมาพูดกัน แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 49 09:32:20 จากคุณ : chiangraiplus  - [ 27 มี.ค. 49 09:28:29 ] ความคิดเห็นที่ 52   "การที่จะมีฐานะที่มั่นคง มีความเป็นอยู่ที่ดีและยั่งยืนนั้น..คุณต้องมีรากฐานที่มั่นคงเช่นกัน.." เป็นแนวคิดที่เป็นสัจจธรรม  และเป็นสากลจริงๆ...  อยากให้ จขกท ตั้งกระทู้คุณภาพอย่างนี้ที่นี่บ่อยๆ  ขอบคุณล่วงหน้าจ้ะ... จากคุณ : แพรร่ำ  - [ 27 มี.ค. 49 12:10:30 ] จากคุณ : น้องส้มเด็กดี - [ 28 มี.ค. 49 16:55:08 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ความคิดเห็นที่ 53   ขอบคุณครับ..คุณchiangraiplus..ยินดีที่มาช่วยกันแสดงความคิดเห็นในแง่มุมหลายๆมุมมอง ที่แตกต่างออกไป..น้อมรับครับ.. แต่แปลกใจนิดๆ ..ที่บอกผมเขียนให้เอาตัวอย่างญี่ปุ่น หรือใช้เป็นบรรทัดฐาน..ผมลองกลับไปนั่งอ่านดูสามรอบ..ก็ยังไม่เจอที่ผมเขียนว่าให้เอาอย่าง..นอกจากให้ศึกษาเป็นไว้เป็นตัวอย่าง..นั่นไม่ได้หมายถึงใช้เป็นบรรทัดฐานหรือเอาแบบอย่าง.. ถ้าอ่านที่ผมเขียนให้ครบ..คุณคงเจอคำตอบที่ถามว่า..ผมต้องการบอกอะไรจากเรื่องLivedoor ..ผมไม่ได้ต้องการให้เห็นตามที่คุณchiangraiplus กล่าวมาเลยครับ..อ่านดูดีๆอีกรอบแล้วคุณคงเข้าใจว่าผมต้องการสื่ออะไร.. และคงเจอว่าผมก็ได้เขียนแทรกไว้แล้วในบางตัวอย่าง ถึงความไม่เหมือน ระหว่างเราและญี่ปุ่นอยู่ด้วย.. ยอมรับโดยดุษฎีครับ..สิ่งที่ผมเขียนไปอาจมีผิดพลาดได้..อันนี้ถ้าเกิดขึ้นต้องขออภัยไว้อย่างสูง..และก็ไม่ได้ทำให้ผมโกรธหรือไม่พอใจกับความเห็นของคุณchiangraiplus เลยครับ..ในทางกลับกัน กับดีใจที่ได้รับทราบความคิดเห็นมุมมองที่แตกต่างบ้าง..ใครจะไปคิดเหมือนกันได้หมดใช่ไม๊ครับ.. ผมยังยืนยันเรื่องประชากรศาสตร์ และการเคลื่อนตัวของกลุ่มประชากร มีผลกระทบต่อสิ่งที่ผมได้กล่าวๆมา โดยเฉพาะพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่..แต่ก็แน่นอนครับ เราคงไม่เหมือนญี่ปุ่น เพราะต่างกันในหลายๆอย่างตามที่คุณchiangraiplus บอกจริงๆ..เช่นอย่างที่ผมเขียนไว้ใน คห.ที่ 18 คือเรื่องศาสนา ความเชื่อและวัฒนธรรม.. เรื่องการเคลื่อนตัวของกลุ่มประชากร ที่จริงแล้วผมได้คำแนะนำครั้งแรก จากนักวิชาการคนไทยครับ..และก็ได้เริ่มศึกษาหาความรู้จากเมืองไทยก่อนญี่ปุ่นหลายปีเลยครับ..ของญี่ปุ่นนี่ผมทำเพราะเกี่ยวกับงานครับ.. ขอบคุณอีกครั้งครับ.. จากคุณ : Carpenters  - [ 27 มี.ค. 49 21:06:25 ] จากคุณ : น้องส้มเด็กดี - [ 28 มี.ค. 49 16:55:50 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ความคิดเห็นที่ 54   อ้อ..ลืมไปเรื่องนึงครับ..ว่าจะเขียนแล้วลืม.. คือเรื่องการสื่อสารครับ..เน้นการสื่อนะครับ ไม่ใช่การสอน..ผมคงไม่มีวุฒิพอที่จะไปสอนใคร..การสื่อสารเพื่อให้คนสนใจ หรืออ่านสิ่งที่เราต้องการสื่อให้ตลอดรอดฝั่ง ต้องมีเทคนิคชักจูงครับ..และก็สำคัญมากด้วย ถ้าต้องการให้เขาคิดตาม ..และก็สำคัญอีกเหมือนกัน ต้องทำให้เขาคิดตามแล้วใส่ความคิดเขาลงไปด้วย..ถึงจะเกิดปัญญา หรือความรู้ความกระจ่างอย่างเต็มที่ ในเรื่องที่เรากล่าวถึงกัน.. การนำเรื่องที่กำลังอยู่ในความสนใจ..มาผูกเข้ากับเรื่องที่คุณกำลังต้องการจะสื่อ..ก็ถือเป็นเทคนิคหนึ่งในการชักจูงความสนใจ ให้ผู้อ่านติดตามและคิดตามครับ.. ในที่นี่ถ้าผมอยู่ดีๆก็ตั้งกระทู้โพล่งๆขึ้นมาว่า.."ประชากรศาสตร์กับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่" คงจะมีซักกี่คนที่อ่านแล้วพยายามทำความเข้าใจ ..คงมีแค่คนที่สนใจเรื่องนี้เท่านั้นที่มานั่งถกกัน..นอกนั้นก็อ่านผ่านๆ..ตอบกระทู้ขอบคุณกันตามมารยาท..แล้วผมจะไปตั้งกระทู้ทำไม พิมพ์ให้เมื่อย เสียเวลาทำมาหากิน..ถ้าไม่บรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้.. จุดประสงค์ของผมไม่ใช่อยากดัง หรืออยากให้ใครยอมรับความสามารถ หรือมาชมเชย..แต่อยากให้เกิดการคิดตาม แล้วลองคิดในรูปแบบของตนเอง คิดต่างมุมเหมือนของคุณchiangraiplus เป็นต้น.. มีคนไม่เห็นด้วย มีมุมมองต่างกัน ผมก็ถือว่าสำเร็จแล้วครับ..แต่มีบางครั้ง เทคนิคก็ไม่สำเร็จ ทำให้คนอ่านไม่ตลอดรอดฝั่ง อ่านแล้วไม่คิดตาม อ่านแล้วไม่เปิดใจมีแต่อคติ..อาจทำให้เกิดปัญหาการเข้าใจคลาดเคลื่อนได้เหมือนกัน.. แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 49 22:44:26 จากคุณ : Carpenters  - [ 27 มี.ค. 49 22:37:10 ] จากคุณ : น้องส้มเด็กดี - [ 28 มี.ค. 49 16:56:24 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ... ขอบคุณครับพี่น้องส้ม จากคุณ : roadtrip - [ 28 มี.ค. 49 18:03:59 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณครับ จากคุณ : พ่อไก่โต้ง - [ 28 มี.ค. 49 18:06:47 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : Vprawat - [ 28 มี.ค. 49 18:21:56 ]

ความคิดเห็นที่ 20 สรุปง่ายๆ เหมือนปิ่น  เจ้าของหุ้นกลุ่มเอกธนกิจ แต่จองเราหนีทัน  555 จากคุณ : prettypetite - [ 28 มี.ค. 49 20:29:04 ]

ความคิดเห็นที่ 21 :) ขอบคุณครับ คุณน้องส้ม และ พี่ช่างไม้ เนื้อหาดีมากเลยครับ ว่าแล้วก็ VOTE ... :) จากคุณ : BeSmile - [ 29 มี.ค. 49 09:07:15 ]

ความคิดเห็นที่ 22 555 ของเราหนีไม่ทัน โดนซะ ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ ที่เอามาเตือนความจำ จากคุณ : สำออย - [ 29 มี.ค. 49 09:25:00 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณมากๆๆครับ เป็นกระทู้ที่ดีมากครับ จากคุณ : ซุนหวู่ - [ 29 มี.ค. 49 14:19:43 ]

ความคิดเห็นที่ 24 มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิต สำเร็จรูปมากใช้ได้ทุกสถานะการณ์ Bible ครับ จากคุณ : trakulsom (trakulsom) - [ 30 มี.ค. 49 07:35:14 ]