ผมคิดว่าอเมริกาได้ขึ้น ดบ. มามากเกินไปแล้ว...
อาจเป็นการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด (หากมองไปข้างหน้าอีก 1-2 ปี) การขึ้นดบ. เฟดเกินกว่า 4.5% เป็นการเดินไปสู่จุดตาย....
ตอนนี้ตลาดอสังหาฯ ในอเมริกา เริ่มส่อแววทรุดตัว จากตัวเลขล่าสุดหลายๆ ตัวได้บอกแบบนั้น
เพราะ ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีสูงมากถึง 4.85%
และมีผลต่อ อดบ.เงินกู้บ้านโดยตรง
ตลาดอสังหาฯ ดูไม่สดใสเลย หลังจากรุ่งเรืองมาหลายปีติดต่อกัน อาจทำให้กำลังซื้อของคนอเมริกา แย่ลงไปด้วย เพราะอาศัยบ้านเป็นเครือง ATM มานาน โดยการใช้ home equity เมื่อราคาบ้านสูงขึ้น ก็กู้ได้เงินสดมาใช้จ่ายได้มากขึ้น.... ฟองสบู่กำลังจะแตก
ยิ่งมีสัญญาณจาก inverted yield curve คือ ดบ.ระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว ด้วยแล้วยิ่งน่ากังวล เพราะนั่นหมายถึง
สัญญาณของ recession ได้ส่อแววขึ้นมาแล้ว
ที่จริงผมคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้น่าจะเกิดมาก่อนแล้วสัก 1-1.5 ปี แต่อเมริกาก็ยื้อมาได้ ด้วยแรงเงินสนับสนุนจาก จีน และ ญี่ปุ่น จึงไม่มี outflow อย่างรุนแรงให้เห็น เงินตรายังคงไหลเข้า เพราะส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย เพื่อมาอุดรูรั่วจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมหาศาลถึง 7% GDP เอาไว้ได้
ดบ.คงใกล้ peak เต็มที ที่จริงควรจะหยุดตรงนี้แล้วด้วยซ้ำ การขึ้น ดบ.ไปอีก 0.25% ถึงระดับ 5% อาจเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ควรให้เกิดขึ้น เพราะจะทำให้ตลาดหุ้น ตลาดอสังหาฯ ของอเมริกา อาจถึงขั้นพังพินาศ.....
ส่วนเงินเฟ้อ คงไม่มีอะไรต้องกังวลนักแล้ว กลัวแต่ recession มากกว่า... หากภาพของ recession ชัดขึ้นเรื่อยๆ ราคาน้ำมันก็น่าจะเริ่มอ่อนตัวลงเอง
ปัญหาก็คือ จะแก้ไขปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างไร.... โดยไม่ให้ ศก.อเมริกาต้องเข้าสู่ recession...
คงต้องลุ้นให้ จีน เข้ามาแบกรับภาระตรงนี้ไว้... ค่าเงินหยวนควรจะต้องแข็งขึ้นอีกมาก เพื่อทดแทนกำลังซื้อตรงนี้ของโลกที่อาจขาดหายไป
สำหรับ ศก.ไทยก็คงพอเดินไปได้ แม้จะไม่สวยหรูนัก เพราะงบด้านการลงทุนต่างชะลอออกไป รอรัฐบาลใหม่
การท่องเที่ยวก็ชะลอไปมากเพราะกลัวม็อบ
การส่งออกซึ่งเป็นตัวช่วย มาตั้งแต่ปีก่อนจนถึงไตรมาส 1 ของปีนี้ก็อย่าได้หวังมาก.... ศก.โลกกำลังจะมีปัญหา
ตลาดหุ้นถือว่าไม่แพง...เมื่อดูจาก p/e ที่อยู่ในระดับต่ำ แต่การเติบโตของกำไรก็น้อยด้วย... การลงทุนคงต้องเลือกเป็นตัวๆ ไม่ใช่ขึ้นทั้งกระดาน ตลาด MAI อาจดูน่าสนใจกว่า SET
สังเกตดูจะเห็นว่า เงินบางส่วนจากการขายหุ้น SHIN ที่ไม่ใช่ตระกูล "ชินวัตร" ส่วนใหญ่ถือโดยกองทุนต่างๆ ได้หันไปซื้อหุ้นในกลุ่มที่ไม่ใช่แบงก์ , สื่อสาร จึงทำให้หุ้นในกลุ่มอาหาร-เครื่องดื่ม, กลุ่มพาณิชย์ และ กลุ่มประกัน วิ่งขึ้นได้มาก
HMPRO, BIGC วิ่งจน p/e เกือบ 20 เท่า
BKI p/e 20 เท่า ขณะที่ THRE, SMG p/e ราว 15 เท่า
MINT p/e 22 เท่า TF ก็ขึ้นมาไม่น้อย.....
แม้ในสภาพตลาดไม่ดีนัก... แต่หุ้นพวกนี้แข็งแกร่งมาก
ยังมีหุ้นอีกหลายตัวที่น่าสนใจ "เล็ก" "ถูก" "โต"
คือประเด็นสำหรับ "หุ้นเงา" ครับ
จากคุณ :
เฟยหง
- [
2 เม.ย. 49 14:06:01
]