เห็นว่าน่าสนใจดีครับ...เลยโพสมาให้อ่าน
หลังจากเกิดกรณีศาลยกเลิกร่างพระราชกฤษฎีกาแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (กฟผ.) ก็เกิดกระแสการสนับสนุนให้มีการตรวจสอบรัฐวิสาหกิจต่างๆที่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปก่อนหน้า อาทิเช่น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (PTT), การบินไทย (THAI), องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (MCOT) เป็นต้น ซึ่งในช่วงสองถึงสามวันที่ผ่านมา การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเป็นอดีตรัฐวิสาหกิจแรกที่ถูกจับตามอง โดยประเด็นหลักๆที่ถูกนำมาวิพากษ์วิจารณ์กันคือ "การผูกขาดธุรกิจท่อก๊าซของปตท." เพราะในอดีตที่มีการพิจารณาให้ปตท.เข้าตลาดได้นั้น มีการระบุอย่างชัดเจนว่าจะต้องแยกกิจการท่อส่งก๊าซออกจากกิจการจัดหาและจำหน่าย ในลักษณะการแบ่งแยกตามบัญชี (Account Seperation) ก่อน และต้องแยกกิจการดังกล่าวตามกฎหมาย (Legal Seperation) ภายใน 1 ปี หลังจากที่ ปตท. เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์
แม้ว่าเวลาผ่านไป 4 ปีแล้ว ทางปตท.ก็ยังไม่ได้ดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าวแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ทีมงานทนายความกรณีการแปรรูป กฟผ. เตรียมยื่นฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของ ปตท.
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ควรจะให้ความสนใจ มี 2 ประเด็นคือ
1. หาก ปตท. ถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์จะเกิดอะไรขึ้น ?
รัฐบาล ซึ่งอาจจะมาในนามกระทรวงพลังงานหรืออย่างไรก็ตาม คงจะต้องทำการตั้งโต๊ะ ซื้อหุ้น ปตท. คืนจากในตลาดหลักทรัพย์ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งผลกระทบทางตรงต่อผู้ลงทุนคือ การขายคืนหุ้น ปตท. ซึ่งอาจจะไม่ได้ราคาที่ดีดังที่คาดหมายไว้ก็ได้ ส่วนผลกระทบในทางอ้อมคือ ปตท.สผ. และ ไทยออยล์ อาจถูกตั้งโต๊ะซื้อคืนเช่นกัน เนื่องจากเป็นบริษัทลูกที่ ปตท. ถือหุ้นใหญ่ ส่วนผลกระทบทางอ้อมอีกทางหนึ่งคือ มูลค่าตลาดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (Market Capitalize) จะลดลงสูงมาก เนื่องจากปัจจุบัน ปตท. และบริษัทในเครือมีมูลค่าตลาดสูงถึงกว่า 35% ของมูลค่าตลาดรวม ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนหายไป ความน่าสนใจในการลงทุน และการแบ่งสรรสินทรัพย์เพื่อการลงทุน (Asset Allocation) ของการลงทุนต่างชาติจะลดลงอีกด้วย
2. หากไม่ถูกเพิกถอน ปตท.ต้องทำอะไรบ้าง และจะกระทบต่อบริษัทอย่างไร ?
ปตท. คงจะต้องดำเนินการแยกธุรกิจท่อก๊าซออก เพื่อให้ระบบการแข่งขันเสรีเกิดขึ้นในกิจการก๊าซ เพื่อให้สามารถเกิดการซื้อขายโดยตรงระหว่างผู้ผลิต และผู้ใช้ก๊าซ เปิดโอกาสให้มีบริการขนส่งก๊าซทางท่อให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party) ได้ ซึ่งในปัจจุบัน พบว่าการผูกขาดธุรกิจท่อก๊าซเป็นจุดสำคัญในการสร้างกำไรให้กับ ปตท. ต่อเนื่อง โดยพบว่าหลังจากที่ ปตท. ได้แปรรูปเป็นบริษัทมหาฃนแล้ว ปตท.มีกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 8 หมื่นล้านบาท โดย 90% ของกำไรมาจากธุรกิจก๊าซ จาก 3 ส่วนหลักๆคือ
2.1 การกำหนดโครงสร้างการคิดราคาเนื้อก๊าซ
ราคาค่าเนื้อก๊าซ คำนวณโดยการใช้ราคาน้ำมันเป็นบรรทัดฐานในการคิด หากราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้น ราคาเนื้อก๊าซก็จะสูงขึ้นด้วย ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เนื่องจากต้นทุนการ จัดหาก๊าซไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ การจัดหาก๊าซภายใต้ระบบผูกขาดยังก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายเกินจริง เนื่องจากกำหนดเงื่อนไขการรับซื้อจากผู้รับสัมปทาน(ใช้ก๊าซหรือไม่ใช้ก๊าซก็ต้องจ่าย) ดังนั้น เชื่อว่าหาก ปตท. แยกธุรกิจท่อก๊าซออกมาแล้ว จะทำให้ระบบต่างๆที่กล่าวมามีความเป็นธรรมมากขึ้น
การวิเคราะห์ : หาก ปตท. ดำเนินการดังกล่าวจริง อาจทำให้รายได้ของ ปตท. ลดลงเนื่องจากอาจจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการคำนวณราคาค่าก๊าซ หรือปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการรับซื้อจากผู้รับสัมปทาน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับบริษัทคู่แข่งที่จะเข้ามาในธุรกิจ
2.2 ค่าบริหารจัดการ และ ค่าผ่านท่อ
2.2.1 ปัจจุบัน ปตท.ได้คิดค่าตอบแทนในการจัดหา และจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ในฐานะเป็นพ่อค้าคนกลางซึ่งรับซื้อก๊าซจากผู้รับสัมปทานขุดเจาะก๊าซ และจำหน่ายให้ผู้ใช้ก๊าซแต่เพียง รายเดียว โดยบวกค่าตอบแทนการบริหารจัดการในอัตรา 1.75 - 9.33% ของราคาเนื้อก๊าซเฉลี่ย ยกตัวอย่างกรณีที่เกิดขึ้นคือ การที่ กฟผ.ต้องติดต่อผู้ขุดเจาะก๊าซในการซื้อก๊าซผ่าน ปตท. ซึ่ง เป็นพ่อค้าคนกลางแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ต้องเสียค่าต่อบแทนในการจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ในอัตรา 1.75% ของราคาเนื้อก๊าซเฉลี่ย หรือตกประมาณ 2,000 - 3,000 ล้านบาทต่อปี
การวิเคราะห์ : หากผู้ใช้ก๊าซและผู้ขุดเจาะก๊าซสามารถเจรจาซื้อขายได้โดยตรง ปตท. ก็จะไม่ได้รับค่าตอบแทนการบริหารจัดการดังกล่าว ซึ่งแน่นอนว่าย่อมกระทบต่อโครงสร้างรายได้ของ บริษัทแน่นอน โดยอย่างน้อย ปตท.จะสูญเสียรายได้ที่ได้จากการคิดค่าตอบแทนในการจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซที่ได้รับจาก กฟผ. ปีละประมาณ 2,000 - 3,000 ล้านบาทต่อปีเป็นอย่างน้อย โดยยังไม่ได้รวมลูกค้ารายอื่นๆที่อาจจะสูญเสียรายได้จากค่าตอบแทนดังกล่าวอีกด้วย
2.2.2 ค่าบริการส่งก๊าซ (ค่าผ่านท่อ) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 19 บาทต่อล้านบีทียู โดยใช้เกณฑ์ผลตอบแทนการลงทุน (Internal Rate of Return: IRR) เป็นตัวกำหนด แต่ไม่ได้มีการปรับตามสถาณการ ที่เปลี่ยนแปลงไป คือ เดิมในปี 2544 ปตท.ได้กำหนดอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ที่ 16-18% บนฐานอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาวของ ปตท.ที่ 10.5% ต่อปี แต่ปัจจุบัน อัตรา ดอกบี้ยเงินกู้ของประเทศและของ ปตท. ลดลงเหลือเพียง 4.5% ในปี 2546 และ 4.25 - 7.4% ในปี 2547 - 2548 ซึ่งต่ำกว่าระดับที่ใช้ในการคำนวณในปี 2544 ส่งผลให้เกิดภาระส่วน เกินต่อผู้บริโภคที่สูงเกินจริง
การวิเคราะห์ : ประเด็นนี้ไม่น่าจะกระทบต่อรายได้จากการคิดค่าบริการส่งก๊าซของ ปตท. เนื่องจากเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า การคำนวณอัตราผลตอบแทนจาการลงทุน (IRR) นั้นใช้อัตราดอก เบี้ยเงินกู้ระยะยาว ซึ่งเสมือนหนึ่งเป็นต้นทุนที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วในการใช้จัดสร้างท่อก๊าซในขณะนั้น ดังนั้น แม้ว่าปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของบริษัทจะเปลี่ยนแปลงไป ก็ไม่ได้ส่งผลกระ ทบต่อการคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนสร้างท่อก๊าซในปี 2544 เพราะการกู้ยืมเงินเพื่อการก่อสร้างท่อก๊าซในขณะนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว เหมือนๆกับการตัดจ่ายค่าเสื่อมราคานั่นเอง
จากคุณ :
เศษเงิน
- [
3 เม.ย. 49 14:27:24
]