ความคิดเห็นที่ 1 ลูกหนี้น้ำตานองดอกกู้ขึ้นพุ่งพรวด หวั่นเศรษฐกิจทรุดหนี้เน่าสะพัด ยก 2 ตั้งแต่ปี 47 เป็นต้นมา อัตราดอกเบี้ยในประเทศมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นและเริ่มปรับตัวอย่างชัดเจน ตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 48 จนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีการเหยียบ เบรกอัตราดอกเบี้ยเมื่อไหร่ ซึ่งภาวะเช่นนี้คงทำให้บรรดาผู้ที่ฝากเงินในธนาคารพาณิชย์เอา ไว้ โดยเฉพาะฝากประจำยิ้มร่าได้ไม่น้อย เพราะ จะได้รอรับดอกผลจากเงินเก็บหอมรอมริบมากขึ้น แต่สำหรับฟากคนกู้เงินแล้ว ดูจะเป็นข่าวร้ายพอสมควร เนื่องจากดอกเบี้ยอัตรา น้อย ๆ เมื่อปรับขึ้นมากเข้า ภาระในการจ่ายคืนหนี้ของคนที่กู้เงินมา ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว   ยิ่งคนที่กู้เงินแบบระยะยาว มาตั้งแต่ช่วงที่อัตราดอกเบี้ยยังนิ่งสนิท และธนาคารพาณิชย์คิดอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวแล้ว แทบไม่ต้องคิดเลยว่า ยอดดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจากปัจจุบันไปจนถึงในอนาคตจะดับเบิ้ลไปกี่ตลบ ซึ่งหากเศรษฐกิจของประเทศเกิดอาการฟุบกะทันหันอย่างเช่นที่เคยเป็นเมื่อ 8 ปีกว่าที่ผ่านมา ไม่แน่ว่าปรากฏการณ์หนี้เน่าสะพัดทั่วราชอาณาจักรอาจจะกลับมาให้เราได้เห็นกันอีกหน ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจนั้น ทั้งผู้ประกอบธุรกิจ และผู้บริโภคต่างประสบปัญหาด้านการเงิน ชักหน้าไม่ถึงหลังกันถ้วนทั่ว ผู้ที่กู้ยืมเงินไว้ก็ประสบภาวะขาดความสามารถในการจ่าย นานวันเข้าหนี้เหล่านี้ก็กลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือที่เรียกกันว่า เอ็นพีแอล โดยได้ทำลาย สถิติพุ่งขึ้นไปสูงปรี๊ดถึง 45.02% ต่อสินเชื่อรวม ในปี 41 ซึ่งก็หมายความว่า สินเชื่อที่สถาบันการเงินปล่อยไปมีปัญหาซะเกือบครึ่งหนึ่ง และเมื่อจำแนกตามประเภทสถาบันการเงินแล้ว ก็น่าตกตะลึงซะยิ่งกว่า เพราะบริษัทเงินทุนนั้น ได้คว้าแชมป์ครอบครองเอ็นพีแอล สูงสุดถึง 70.16% จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เหตุใดบริษัทเงินทุนหลายแห่งจึงต้องล้มไม่เป็นท่าในช่วงเวลานั้น ขณะที่ฝั่งธนาคารพาณิชย์นั้นมีเอ็นพีแอลอยู่ 42.90% ซึ่งก็เป็นปัญหาหนักอึ้งที่ทำให้บางแห่งต้องยอมควบรวมกันเพื่อความอยู่รอด     กว่าตัวเลขเอ็นพีแอลที่สูงอย่างน่าสะพรึงกลัวนี้ จะลดลงมาเหลือไม่ถึง 10% ในปัจจุบันได้นั้น ก็ต้องใช้กลยุทธ์มากพอดู อาทิ การปรับโครงสร้างหนี้ โดยที่เจ้าหนี้ยอมตัดใจลดอัตราดอกเบี้ย หรือยืดระยะเวลาการชำระให้ และการตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ขึ้นมาซื้อเอ็นพีแอลไปบริหาร ปรับปรุงโครงสร้างหนี้?คนกลางแก้วิกฤติ ที่มีส่วนสำคัญกับการลดหนี้เน่าในระบบไม่น้อย นับตั้งแต่วิกฤติ จนถึงปัจจุบันก็คือ ฝ่ายปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ของ ธปท. ที่เกิดมาเพื่อสางเรื่องหนี้ ๆ ที่น่าปวดหัวโดยเฉพาะ เพราะหากปล่อยให้ฝ่ายเจ้าหนี้ และลูกหนี้ตกลงกันเอง คงจะเป็นเรื่องที่ยาก เพราะแต่ละฝ่ายต่างไม่ลดราวาศอกยอมให้กันและกัน จึงจำเป็นต้องมีมือที่สามเข้ามาทำหน้าที่คนกลาง     ถ้าจะเปรียบไปแล้ว เอ็นพีแอล ก็เหมือน มะเร็งร้าย ที่เกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์ เพราะมะเร็งนั้น หากเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ยากที่จะรักษาให้หายดี ยิ่งที่คนป่วยถอดใจ มะเร็งก็สามารถแพร่กระจายได้เร็ว แต่หากคนป่วยรายใดสู้ไม่ถอย อย่างน้อยก็ยังมีลุ้นที่จะใช้ชีวิตได้อีกนาน เช่นเดียวกับเอ็นพีแอล ที่หากเกิดขึ้นกับลูกหนี้รายใด ที่เต็มใจจะปลดหนี้ ก็มีโอกาสที่จะทำให้ เอ็นพีแอลนั้นกลับมาเป็นหนี้ดีได้อีกครั้ง แต่หากไปเกิดกับลูกหนี้ที่ไม่ใส่ใจจะแก้ปัญหา ยึดหลักการที่ว่า ?ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย? แล้วละก็คงไม่ต่างอะไรไปจากคนเป็นมะเร็งที่ไม่ยอมใส่ใจกับสุขภาพเลย มาถึงวันนี้ แม้ตัวเลขเอ็นพีแอล จะลดลงมาอยู่ในระดับไม่ถึง 10% เป็นไปตามเป้าหมายที่ภาครัฐตั้งใจไว้ทีแรกแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่จุดสูงสุดของความพอใจ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่าจะลดเอ็นพีแอลลงอีกให้เหลือแค่ 2% ให้ได้ภายในกลางปี 50 นี้ ด้วยการงัดกลเม็ดเด็ดพิชิตเอ็นพีแอลออกมา หวั่นแนวคิดแฮร์คัทหนี้ทำคนล้มบนฟูกเหลิง ในช่วงแรกนั้น อดีตรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร 2 เคยวางแผนจะใช้แนวทางแก้กฎหมายล้มละลาย และให้ธนาคารพาณิชย์ลดหนี้ (แฮร์คัท) ให้กับลูกหนี้กันมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ทราบวิธีการที่แน่ชัดว่าเป็นเช่นไร ซึ่ง นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการสายเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. ก็เคยมองว่าเป็นเรื่องยากที่ธนาคารพาณิชย์จะยอมเสียประโยชน์ลดกำไรของตนเอง อีกทั้งธนาคารพาณิชย์ก็มิใช่หน่วยงานภาครัฐที่จะสามารถไปสั่งได้ ดังนั้นหากเกณฑ์ใดออกมาแล้วส่งผลกระทบ ก็คงต้องมองด้วยว่าบรรดาผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายจะยอมให้ทำหรือ จะเห็นได้ว่าหากใช้แนวคิดการบังคับตัดหนี้แล้ว ก็ดูจะเป็นหนทางที่เลือนรางพอสมควร และถ้านึกไปไกล ๆ อีกสิ่งที่ไม่ชวนให้ใช้มาตรการนี้เลยก็คือ ลูกหนี้จะยอมซื่อสัตย์ชำระหนี้ตามความสามารถของตัวเองหรือไม่ ถ้าหากยอมทำตามคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเกิดมีลูกหนี้รายไหนหัวใสแกล้งชำระหนี้น้อยกว่าความสามารถชำระหนี้จริง เช่น มีความสามารถชำระได้ 100 แต่บอกว่าชำระได้แค่ 70 บาท ก็คงเป็นเรื่องน่ากลัว เพราะอาจกลับกลายเป็นว่ามาตรการนี้ไปสนับสนุนให้คนเบี้ยวหนี้ได้ ส่วนอีกแนวคิดที่ออกมาเป็นรูปร่างและทำสำเร็จไปแล้วก็คือ การควบรวม บรรษัทบริหาร สินทรัพย์สถาบันการเงิน เข้ากับ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (บสก.) เพื่อไปรับซื้อหนี้จากสถาบันการเงินมาบริหาร ซึ่งภาคธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ต่างมั่นใจว่ามาตรการนี้ จะช่วยลดหนี้ในระบบลงได้ เมื่อทำพร้อม ๆ ไปกับการดำเนินการด้วยตนเอง อาทิ ธนาคารกรุงเทพ ที่มีแผนว่าจะแก้ไขเอ็นพีแอลจากปัจจุบันที่มีประมาณ 11% ของสินเชื่อรวมให้เหลือแค่ 7% แต่คาดว่าสำหรับปีนี้แล้วคงต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เพราะมีปัจจัยที่เป็นอุปสรรคสำคัญอยู่ ซึ่งก็คือ ปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อ รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ที่ปรับขึ้นไป ขณะที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ก็ตั้งเป้าหมายจะลดเอ็นพีแอลให้เหลือต่ำกว่า 7% ของสินเชื่อรวม ด้วยการขายหนี้ออกไปให้บริษัท บริหารสินทรัพย์รับหน้าที่บริหาร แม้จะมีมาตรการควบรวม บบส. และบสก. ออกมาแล้ว แต่ผู้ว่าการ ธปท. ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะทำให้เอ็นพีแอลลดเหลือแค่ 2% ได้ตามที่วาดฝันไว้จริง ล่าสุดจึงมีไอเดียจะคลอดมาตรการใหม่ออกมา แต่ก็ยังไม่มีเค้าโครงที่  แน่นอนว่าจะออกมาเป็นเช่นไร อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่งออกมาคาดการณ์แล้วว่า น่าจะเป็นการโอนหนี้ไปยังสถาบันกลาง หรือก็คือ บสก. ที่ควบรวมกับ บบส. แล้วนั่นเอง ด้านการตัดหนี้ด้อยคุณภาพนั้นก็เป็นเรื่องที่ธนาคารพาณิชย์ต้องดำเนินเองอยู่แล้ว แต่ ธปท. อาจจะมีของขวัญพิเศษ ด้วยการใช้มาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษีออกมา เป็นกำลังใจในความพยายามลดหนี้เน่าก็ได้ จากคุณ : GABLIEL - [ วันเถลิงศก (15) 09:58:52 ]

ความคิดเห็นที่ 2 สำหรับเป้าหมายการลดเอ็นพีแอล เหลือ 2% ด้วยสารพัดมาตรการ จะสำเร็จหรือไม่ คงต้องลุ้นด้วยว่ามาตรการที่ออกมาเป็นลักษณะบังคับใช้ หรือเป็นไปตามความสมัครใจ หากเป็นแบบแรกรับรองว่าลดได้ตามเป้าหมายแน่นอน เพราะผู้คุมกฎเหล็กสั่งมาทั้งที ผู้ปฏิบัติก็ต้องสนองนโยบายอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นแบบหลัง ก็อาจต้องลุ้นกันเหงื่อตกหน่อยว่าจะได้ตามเป้าหมายหรือไม่ รัฐกระตุ้นบริโภคทำยอดคนสร้างหนี้ทะลัก ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาหลังจากเศรษฐกิจ ฟื้นตัว ภาครัฐพยายามใส่นโยบายกระตุ้นเศรษฐ กิจ ทั้งจากการบริโภคของประชาชนและการลงทุน โดยการปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ จนไม่มีใครอยากฝาก และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ จนน่าเข้ามาใช้บริการอยู่นานพอดู ซึ่งก็   ได้ผลโดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ใช้ มาตรการภาษีเข้ามาช่วย จนทำให้กำลังซื้อ บ้านมากถล่มทลายในปี 47 ในช่วงเวลานั้น ต้องยอมรับว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำมาก แต่ การกู้ยืมเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ เป็นการกู้   เงินระยะยาว และส่วนใหญ่การปล่อยกู้ ก็มัก จะไม่ให้อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ตลอดปีตลอดชาติ แต่จะใช้อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากต้นทุนอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นในอนาคต ซึ่งหากการคำนวณความสามารถในการจ่ายของผู้ซื้อผิดพลาด ก็มีโอกาสที่ในอนาคต เอ็นพีแอลของกลุ่มคนที่ซื้อบ้านจะเกิดขึ้นได้ ที่น่ากังวลไม่แพ้กัน คือ ด้านการบริโภคครัวเรือน ที่มีทั้งสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งไม่มีทรัพย์สินใด ๆ มาเป็นหลักประกันการชำระหนี้ ที่ผ่านมาผู้ประกอบการ โดยเฉพาะบริษัทผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือนอนแบงก์ พยายามออกโปรโมชั่นล่อใจให้ประชาชนเข้าสู่วังวนแห่งการเป็นหนี้ ผสมผสานกับสินค้าฟุ่มเฟือยหลายชนิดได้บังเกิดขึ้นในสังคม เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตประจำวันของเรา จึงทำให้มีประชาชนจำนวนไม่น้อยยอมตบเท้าเข้ามารับฐานะลูกหนี้โดยดุษณี เพียงเพื่อได้สินค้าฟุ่มเฟือยมาสนองความต้องการ ทั้งที่ความจริงแล้วเขาเหล่านั้นอาจไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะหาเงินมาจ่าย ซึ่งหากเป็นกรณีนี้ สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ก็จะกลายเป็นดาบสองคม ไปทำลายวินัยการใช้เงินของประชาชน ที่ไม่เข้าใจสรรพคุณ หรือประโยชน์ที่แท้จริงของสินเชื่อเหล่านี้ หวั่นเอ็นพีแอลเก่าลดไม่เท่าเอ็นพีแอลใหม่เพิ่ม คล้าย ๆ กับว่า ประเทศไทย จะวนเข้าสู่จุดเดิมที่เคยเจ็บในอดีตอีกครั้ง หากบรรดาลูก หนี้มือเติบทั้งหลายยังใช้สินเชื่อกันอย่างเมามัน ซึ่งก็หมายความว่าระหว่างที่ภาครัฐกำลังดิ้นรนลดเอ็นพีแอลไป ก็มีเอ็นพีแอลใหม่ที่พร้อมจะเกิดขึ้นมาเสมอ ซึ่งเป็นผลพวงจากสารพัดนโยบายกระตุ้นการบริโภคนั่นเอง ดังนั้นคงต้องเตรียมใจกันแต่เนิ่น ๆ ว่า คนกลุ่มหนึ่งที่ใช้จ่ายจนลืมตัว จะมีโอกาสจะเบี้ยวหนี้และสร้างเอ็นพีแอลได้ เพราะที่ผ่านมาก่อนที่จะมีการเข้ามากู้ในระบบ บางส่วนก็เคยกู้นอกระบบและเบี้ยวหนี้แบบไม่มีความรู้สึกมาแล้ว แม้ว่าเวลานี้ทั้งฝ่ายที่ดูแลด้านนโยบาย และฝ่ายที่ปล่อยกู้อย่างสถาบันการเงิน จะยังออกมาการันตีกันพัลวันว่าหนี้เน่ามีแต่ลด ไม่น่าเป็นห่วง แต่เศรษฐกิจยุคข้าวยากหมากแพง เงินเฟ้อพุ่ง การเมืองไม่มีความแน่นอนเช่นนี้ โอกาสลุ้นที่เอ็นพีแอลจะมากขึ้นก็มีอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ปัญหาเอ็นพีแอล รอบที่ผ่านมา อาจจะทำให้ลูกหนี้บางรายที่เคยได้รับการประนอมหนี้ ลดดอกเบี้ยให้เกิดความรู้สึกชะล่าใจ ว่าหากเกิดปัญหารอบใหม่ จะได้รับความช่วยเหลืออย่างเก่า จนยอมปล่อยให้หนี้ที่ก่อเป็นหนี้เสียอย่างตั้งใจ ซึ่งถ้ามีจริงก็เป็นเรื่องที่ฝั่งคนปล่อยกู้ และฝ่ายนโยบาย คงต้องกุมขมับอย่างหนัก     อย่างไรก็ตาม ปัญหาน่ากังวลเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นฟักตัวเท่านั้น ยังไม่เกิดขึ้นจริง ดังนั้นจึงยังไม่สายหากจะรุกป้องกันอย่างจริงจังในเวลานี้ ซึ่งก็คงไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่ทั้งภาครัฐ สถาบันการเงิน นอน แบงก์และประชาชน ต้องร่วมมือกัน โดยในส่วนของภาครัฐนั้นก็ควรจะตอกย้ำให้ประชาชน ที่คิดเป็นหนี้ตระหนักว่าหากเบี้ยวหนี้และยอมปล่อยให้หนี้เป็นเอ็นพีแอล ก็จะส่งผลให้เครดิตในการกู้ยืมเงินในอนาคตต้องเสียไปด้วย ดังนั้นถ้ายังต้องการเงินกู้ไว้ใช้ในสภาวะจำเป็นในวันข้างหน้า ก็ไม่ควรจะยึดคติ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่ายในวันนี้ ขณะเดียวกันก็ไม่ควรจะใช้มาตรการ  กระตุ้นการบริโภคและการลงทุน ที่ทำให้เกิด ภาวะการใช้จ่ายเกินกว่าอำนาจซื้อจริง เพียงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะนั่นหมายถึงผลเสีย   ในระยะยาวต่อเศรษฐกิจของประเทศ หาก  เอ็นพีแอล เกิดขึ้นมาแล้ว เศรษฐกิจหลายภาคซึ่งมีความเกี่ยวพันกัน ก็จะได้รับผลกระทบพร้อม ๆ กัน     ในส่วนของสถาบันการเงิน และนอนแบงก์ ซึ่งทำหน้าที่ปล่อยกู้ ก็ควรให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง และดูความสามารถในการชำระหนี้อย่างจริงจัง ไม่เห็นประโยชน์แก่พวกพ้องอนุมัติเงินกู้กันง่าย ๆ เหมือนกับที่ในอดีตเคยเป็น ขณะที่ประชาชนเอง ก็ควรมีจิตสำนึกที่ดี ตระหนักอยู่เสมอว่าเป็นส่วนหนึ่งในสังคมที่ต้องช่วยกันดูแลเศรษฐกิจของประเทศ ชาติ หากยังต้องการให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองอยู่ ก็ควรจะรักษาวินัยทางการเงิน ไม่ก่อหนี้โดยไม่มีความจำเป็น หรือหากเป็นหนี้ ก็ต้องจ่ายให้ตรงเวลา     ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม หากทุกฝ่าย   ที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือกัน สิ่งที่ต้องการย่อม  เห็นผล เช่นเดียวกับปัญหาเอ็นพีแอล เมื่อทุกฝ่ายช่วยกันป้องกันอย่างจริงจัง ในอนาคตก็คงไม่ต้องมานั่งปาดน้ำตา เยียวยาหนี้เน่า บาดแผลใหม่ที่อาจจะใหญ่กว่าเก่า ถ้าไม่เริ่มตั้งแต่วันนี้. จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์ จากคุณ : GABLIEL - [ วันเถลิงศก (15) 09:59:43 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณ คุณหมอที่เอาข่าวมาบอกค่ะ จากคุณ : sea angel - [ วันเถลิงศก (15) 13:18:12 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สวัสดีปีใหม่ไทย พี่หมอกา กะเจ๊มะลุมด้วยครับ ไม่ได้ไปเที่ยวไหนหรือคับ? ผมอยู่โยงที่บ้านเหมือนกัน จากคุณ : ขอบฟ้า จันทรา ดาบ - [ วันเถลิงศก (15) 13:50:33 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สวัสดีครับ พี่sea พี่ขอบ ว่างๆผมเลยนั่งทำการบ้านครับ พร้อมรบวันจันทร์ จากคุณ : GABLIEL - [ วันเถลิงศก (15) 14:31:33 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ยังไงฝากถึงกลุ่มคุณวิชัย ทองแตง ช่วยไปซื้อ PICNI หน่อยเถอะ ไปช่วยทำให้บ.มันมีธรรมาภิบาล จะเป็นพระคุณมาก นะครับ ถือว่าช่วยแมงเม่าติดดอยตาดำๆ จากคุณ : 111111 - [ วันเถลิงศก (15) 15:53:18 A:58.8.137.24 X: TicketID:111111 ]

ความคิดเห็นที่ 7 งั้นก็ช่วยซื้อ  ไอทีวี  ให้เพื่อนผมด้วย  เตือนหลายครั้งว่าอย่าไปยุ่ง ๆ  ก็ไม่ค่อยจะฟัง  อ้อมแอ่ม ๆ  ไปแอบซื้อจนได้  เจ็บปวดน้ำตานอง   อีกบริษัที่อยากให้ช่วยก็  แอดว้านซ์  รอสัก 2-3 ปี  อาจได้ซากไปบริหาร  55 กลุ่มนี้เค้าเก่งนะได้กำไรจากซากบริษัทบางแห่งถึง สิบ ๆ เท่า  สงสัยมีแบ๊คอัพดีแน่ ๆ จากคุณ : amarywater - [ วันเถลิงศก (15) 16:55:16 ]

ความคิดเห็นที่ 8 โม้มั๊ง ออกมาสร้างเครดิตให้กลุ่ม ซื้อ รบ.พญาไทยยังเดี้ยงอยู่ ซื้อ ปุ่ยเเห่งชาติก็เดี้ยง ไดโดม่อน ก็เดี้ยง 3 บริษัทเเล้วที่เห็นๆ จากคุณ : โม้น่า - [ วันเถลิงศก (15) 17:03:49 A:58.9.160.143 X: TicketID:106693 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณครับพี่หมอ จากคุณ : helga - [ วันเถลิงศก (15) 18:59:10 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณครับ จากคุณ : Mr.X-ray - [ วันเถลิงศก (15) 19:52:50 ]

ความคิดเห็นที่ 11 รับเหมามึนงาน1.13แสนล.วุ่น >หวั่นรัฐไม่มีเงินจ่ายกลัวเจ๊งเหตุชวดเบิกค่างวด/วิกฤติแรงงานวันหยุดยาว     วงการรับเหมางานราชการกว่า1.13 เเสนล้านป่วนกระแสข่าวรัฐบ่จี๊ไม่มีตังส์จ่ายค่างวดงานก่อสร้าง แถมงานก่อสร้างโครงการใหม่ไม่เกิดชะงักรอท่ารัฐบาลใหม่ ซ้ำเจอวิกฤตแรงงานวันหยุดยาว/ค่าวัสดุพุ่ง /เครดิตลด รายใหญ่ฟันราคาชิงงาน แถมถูกเมินไม่ได้รับความช่วยเหลือ ชี้เริ่มเดือดร้อนหนัก เกิดภาวะขาดสภาพคล่อง เกรงเจ๊งทั้งระบบอีกรอบแนะทางรอดควรขยายเวลาก่อสร้างช่วยต่อลมหายใจ นายยรรยง โควศวนนท์ อุปนายก สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ" ถึงภาวะของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างโดยเฉพาะส่วนของงานราชการช่วงไตรมาสแรกพบว่า สถานการณ์ไม่ดีเท่าที่ควรแม้ว่าจะเป็นช่วงของการเร่งงานก่อสร้าง แต่ช่วงที่ผ่านมามีกระแสข่าวว่ารัฐบาลมีปัญหาเรื่องเงินคงคลัง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการจ่ายเงินค่างวดงานก่อสร้างของผู้รับเหมาที่อยู่ระหว่างการทำงาน ที่เฉพาะส่วนของกรมทางหลวง ที่เป็นโครงการก่อสร้างทางและบูรณะทางหลวงอาทิ การก่อสร้างทางหลวงพิเศษ การก่อสร้างทางหลวงแผ่นดิน การก่อสร้างส่วนสนับสนุนท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ การแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่กทม.และปริมณฑล เป็นต้น มีโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน 269 โครงการมีมูลค่างานตามสัญญา 87,509,298,540 บาท การก่อสร้างโครงการอื่นๆ อาทิ ส่วนของการแก้ไขพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ การแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่กทม.และปริมณฑลเป็นต้นซึ่งเป็นงบผูกพัน มีจำนวน 127 โครงการ มีมูลค่างานตามสัญญา 25,591,426,786 บาท รวมทั้งสองส่วนนี้มีมูลค่างานตามสัญญาสูงถึง 113,100,725,326 บาท ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและเตรียมส่งมอบงาน เพื่อวางฎีกาเบิกเงินกับกรมบัญชีกลาง แม้ว่าในช่วงนี้อาจจะยังไม่มีการส่งงวดงานเกิดขึ้นก็ตาม แต่จากกระแสข่าวดังกล่าว ส่งผลให้เกิดภาวะหวาดกลัวอย่างมากว่าจะไม่สามารถเบิกเงินค่างวดงานได้ สาเหตุที่ช่วงนี้กลุ่มผู้รับเหมายังไม่มีการส่งมอบงานเป็นเพราะ ประสบปัญหาวิกฤติด้านแรงงาน โดยเฉพาะเดือนเมษายนนี้ผู้รับเหมาส่วนใหญ่แทบจะไม่ได้ทำงาน เป็นช่วงที่มีวันหยุดจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นเทศกาลสงกรานต์ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์และสมาชิกสภาวุฒิสภา เป็นต้นเท่ากับว่าในช่วงเดือนเมษายนทั้งเดือนการทำงานแทบจะไม่เกิดขึ้น ปัญหาต่อไปที่ประสบคือเรื่องราคาวัสดุก่อสร้างที่ยังคงปรับราคาในส่วนของค่าขนส่ง เช่น ปูนซีเมนต์ ราคาน้ำมัน เป็นต้น ซึ่งทำให้ผู้รับเหมามีต้นทุนที่สูงขึ้น ขณะที่ราคาดัชนีราคาสินค้าของกระทรวงพาณิชย์ยังไม่เป็นไปตามราคาตลาด ผู้รับเหมาจึงไม่สามารถเบิกเงินค่าK ( ค่าชดเชยดัชนีค่าวัสดุก่อสร้าง ) จากราคาค่าวัสดุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งผู้รับเหมาที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่จะเป็นรายเล็กถึงรายกลาง ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่กระทบต่อการก่อสร้างคือ ภาวะทางการเมืองที่ยังถือว่ายังไม่นิ่งเท่าที่ควร ทำให้งานโครงการก่อสร้างของภาครัฐได้ชลอการประมูลออกไป หรือหากมีการประมูลงานส่วนใหญ่มีการนำระบบ e-auction เข้ามาใช้ ผู้ประมูลได้จะเป็นราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงสาเหตุจากราคากลางที่ต่ำกว่าความเป็นจริง แต่ปริมาณงานมีจำนวนไม่มาก ผู้ที่ประมูลไปส่วนใหญ่เป็นผู้รับเหมารายใหญ่ที่ยอมเฉือนราคาค่าก่อสร้างลงมา ทำให้ผู้รับเหมารายกลางถึงรายเล็กไม่มีงานส่วนผู้รับเหมารายที่ประมูลได้ต้องแบกภาระต้นทุนมากขึ้น เมื่อราคาวัสดุสูงกว่าราคาประมูลทำให้เกิดประสบภาวะขาดทุน นอกจากนี้แล้วเมื่อภาวะการเมืองผนวกกับภาวะเศรษฐกิจชลอตัวการซื้อวัสดุก่อสร้างระยะเวลาการให้เครดิตลดลง บางรายเป็นการซื้อเงินสด "ผู้รับเหมาที่ทำงานกับรัฐต้องแบกภาระมานาน ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก โดยที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐเลย ที่ผ่านมาก็มีการร้องขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่ได้รับการเหลียวแล และการที่เกิดภาวะแทรกเข้ามาอย่างเรื่องการเลือกตั้ง ถ้าผู้รับเหมาไม่หยุดให้คนงานไปเลือกตั้งก็มีความผิดอีก ดังนั้นเมื่อเดือนนี้ทำงานไม่ได้ งานล่าช้าโอกาสที่จะถูกปรับทำงานช้าจากเทศกาลต่างๆก็เกิดขึ้น และที่สำคัญต้องมีการปรับแผนงานก่อสร้างที่ดีเลย์มาด้วย แต่จะถูกจำกัดเรื่องระยะสัญญาเวลาก่อสร้างอีก ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผู้รับเหมาไม่สามารถรู้ถึงการเลือกตั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นเหตุสุดวิสัย หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้คิดว่าผู้รับเหมาคงเจ๊งกันหมด และสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นทางออกที่รัฐจะช่วยผู้รับเหมาได้คือการขยายเวลาสัญญาการก่อสร้างออกไประยะหนึ่ง เพราะหากผู้รับเหมาไม่ต้องแย่งกันซื้อวัสดุก็น่าที่จะพอช่วยได้บ้าง และอาจจะเป็นการดีหากรัฐไม่มีเงินจริงก็จะช่วยขยายเวลาออกไป ก็จะช่วยรัฐด้วย และยิ่งช่วงนี้โครงการรัฐก็ชลอไปหมดรอรัฐบาลใหม่ที่จะเกิดขึ้น ก็น่าที่จะใช้เรื่องนี้เข้ามาช่วยบรรเทาปัญหาไปได้ ทีผ่านมารัฐอาจจะไม่กล้าใช้ เพราะกลัวว่าผู้รับเหมาที่ก่อสร้างโครงการสนามบินสุวรรณภูมิจะถือโอกาสขอเข้ามาต่ออายุสัญญาออกไปด้วย แต่ตอนนี้งานส่วนใหญ่ก็เสร็จไปแล้ว แต่หากรัฐไม่ช่วยรายกลางถึงรายเล็กก็คงตายกันหมด ส่วนผู้รับเหมารายใหญ่ที่ประมูลงานไปแม้ว่าจะเป็นราคาที่ต่ำแต่ไม่ได้รับความเดือดร้อนอาจเป็นเพราะได้เรื่องความต่างของมูลค่าราคาหุ้นเข้ามาช่วยก็อาจจะไม่ได้รับความเดือดร้อนเหมอืนรายเล็ก และเรื่องนี้คงไม่ต้องรอรัฐบาล กรมบัญชีกลางสามารถที่จะทำประกาศออกมาได้เพราะตามระเบียบหากเป็นเหตุสุดวิสัยก็สามารถที่จะออกประกาศได้ ก็คงตอ้งขอให้มีการพิจารณากันโดยเร็ว" นายยรรยงกล่าวต่อว่าส่วนผู้รับเหมาที่ได้รับความเดือดร้อน ก็สามารถที่จะทำเรือ่งรอ้งเรียนของรับความช่วยเหลือมาที่ตนเองได้ เพราะระหว่างนี้ตนเองต้องการรวบรวมกลุ่มผู้รับเหมาที่ได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบที่เกิดขึ้นว่ามีจำนวนมากน้อยเพียงใด และมีมูลค่างานที่แท้จริงเป็นอย่างไร   http://www.thannews.th.com/detialNews.php?id=R3821052&issue=2105 จากคุณ : Mr.X-ray - [ วันเถลิงศก (15) 19:54:46 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณทุกท่านครับ จากคุณ : กุษาณ - [ 16 เม.ย. 49 10:00:31 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ... ขอบคุณครับ จากคุณ : roadtrip - [ 16 เม.ย. 49 20:13:47 ]