ผ่าโครงสร้างรายได้-กำไร ปตท. 5 ปีเอกชนโกย 2.8 แสนล้าน
สุทธิพันธ์ ภู่ระหงษ์
บริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทมหาชนจำกัด เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2544 ซึ่งเป็นการแปลงสภาพมาจากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542
ปตท. จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อ 6 ธันวาคม 2544 ขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรกในราคาหุ้นละ 35 บาท เทียบกับราคาปัจจุบันที่ประมาณ 250 บาท เท่ากับว่า เพียงเวลาไม่ถึง 5 ปี ราคาหุ้น ปตท.ขยับขึ้นมาถึงหุ้นละ 250 บาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 585%
ราคาหุ้น ปตท.ที่ทะยานสูงลิ่ว นอกจากจะได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานแล้ว ประเด็นการผูกขาดในธุรกิจพลังงานก็เป็นปัจจัยสนับสนุนด้านหนึ่ง
ธุรกิจหลักของบริษัทปตท. ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่ ธุรกิจด้านก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น โดยรายได้ส่วนใหญ่ของปตท. มาจากธุรกิจน้ำมัน แต่ส่วนที่เป็นกำไรหลักจริงๆ นั้น มาจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติ
อย่างไรก็ตามประเด็นที่ถูกจับตามองจากสังคมถึงความไม่โปร่งใสในการกระจายหุ้นบริษัทปตท.ในขณะนั้น ภายหลังพบว่า มีเครือข่ายและเครือญาติของนักการเมืองในซีกรัฐบาล ได้รับการจัดสรรหุ้นปตท.จำนวนมาก และทุกวันนี้บุคคลเหล่านี้ก็ยังถือหุ้นอยู่
5 ปีกวาดรายได้ 2.94 ล้านล้านบาท
บริษัทปตท.กวาดรายได้รวม (รายได้จากการขายและรายได้อื่นๆ) ในระยะ 5 ปีนับจากการแปรรูป หรือระหว่างปี 2544-2548 รวมกันทั้งสิ้นกว่า 2,940,374.28 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิรวมกันมากถึง 233,659.38 ล้านบาท
หากจำแนกรายได้บริษัทปตท.ในแต่ละช่วงปี พบว่าในปี 2544 บริษัทมีรายได้รวม 376,843.42 ล้านบาท 62% จากธุรกิจกลุ่มน้ำมัน หรือ จำนวน 238,417.65 ล้านบาท จากธุรกิจก๊าซ 36.32% หรือ 139,484.18 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ
ปี 2545 มีรายได้รวม 409,334.63 ล้านบาท และรายได้จากการขาย 396,551 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ 60% จากธุรกิจกลุ่มน้ำมันจำนวน 265,378 ล้านบาท รายได้ 37% จากกลุ่มก๊าซ 164,917 ล้านบาท และรายได้จากปิโตรเคมีและโรงกลั่น สัดส่วน 3% หรือ 13,242 ล้านบาท
ปี 2546 บริษัท ปตท.มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเป็น 512,743.18 ล้านบาท เป็นรายได้จากการขายจำนวน 489,713 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการกลุ่มธุรกิจน้ำมัน สัดส่วน 62% หรือ 341,892 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจก๊าซ จำนวน 189,900 ล้านบาท หรือ 35% และธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น จำนวน 14,868 ล้านบาท หรือ 3%
ในปี 2547 รายได้ของ ปตท.ก้าวกระโดดเป็น 680,650.03 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขาย 644,673 ล้านบาทซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้รายได้จากธุรกิจน้ำมันของปตท.ได้ขยับขึ้นเป็น 469,113 ล้านบาท หรือ 66%
ส่วนรายได้จากธุรกิจก๊าซ สัดส่วนลดลงมาเหลือ 30% แต่ยอดรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเป็น 217,108 ล้านบาท และรายได้จากปิโตรเคมีและการกลั่น เพิ่มขึ้นเช่นกันเป็น 27,377 ล้านบาท หรือ 4%
ส่วนปี 2548 ที่เพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ รายได้รวมของปตท.ก้าวกระโดดขึ้นไปแตะ 960,803.02 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายจำนวน 929,716 ล้านบาท เป็นรายได้จากการขายน้ำมันมากถึง 811,928 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 73% หรือ 342,795 ล้านบาท ส่วนรายได้จากก๊าซธรรมชาติ จำนวน 208,930 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33,949 ล้านบาท หรือ 19% และรายได้จากการธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นจำนวน 160,017 ล้านบาท
รายได้ที่แยกตามธุรกิจดังกล่าว เป็นรายได้ที่ยังไม่ได้หักรายการระหว่างกัน ที่ยังเหลื่อมกันอยู่ เนื่องจากในปี 2548 บริษัทปตท. เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) (RRC) จาก 36% เป็น 100% ซึ่งส่งผลให้บริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) เปลี่ยนสถานะจากบริษัทร่วมมาเป็นบริษัทย่อยของปตท.
กำไรหลักมาจากธุรกิจก๊าซ
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ในรอบหลายปีที่ผ่านมา มีความพยายามจากบริษัทปตท.ให้รัฐบาลประกาศใช้นโยบายลอยตัวค่าก๊าซธรรมชาติ ให้ขึ้น-ลง ตามกลไกตลาด เช่นเดียวกับการลอยตัวราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นข้อเคลือบแคลงเหตุใดบริษัทปตท.จึงดำเนินการเช่นนั้น
จะตอบข้อสงสัยนี้ได้ต้องย้อนกลับไปดูกำไรของบริษัทปตท.ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา
ในแง่ของกำไรสุทธิของบริษัท ปตท.ในระยะเวลาเดียวกันตั้งแต่ปี 2545-2548 เป็นที่น่าสังเกตว่า รายได้จากธุรกิจน้ำมันมีสัดส่วนสูงถึง 60% ของยอดรายได้รวมในแต่ละปี แต่ปรากฏว่า เมื่อพิจารณาจากตัวเลขกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) โดยเฉลี่ย 90% มาจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ขณะที่ EBITDA จากธุรกิจน้ำมัน ซึ่งเป็นรายได้ใหญ่ มีสัดส่วนเพียง 7-10% เท่านั้น
บริษัทปตท. แสดง EBITDA ในปี 2545 แยกตามธุรกิจดังนี้ กลุ่มธุรกิจก๊าซ มีจำนวน 46,323 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 85% ของ EBITDA กลุ่มธุรกิจน้ำมัน ที่มีรายได้สูงที่สุด แต่ EBITDA มีจำนวนเพียง 6,236 ล้านบาท หรือ 11.4% และกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น มีจำนวน 1,964 ล้านบาท หรือ 3.6%
ในปี 2546 โครงสร้าง EBITDA ยังไม่เปลี่ยนแปลง กลุ่มธุรกิจก๊าซ มีจำนวน 54,174 ล้านบาท สัดส่วนเพิ่มเป็น 86.70% กลุ่มธุรกิจน้ำมัน มีจำนวน 5,581 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าเหลือ 8.90% และกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น มีจำนวน 2,744 ล้านบาท หรือ 4.4%
ในปี 2547 โครงสร้าง EBITDA เปลี่ยนโฉมไปจากเดิม เมื่อคิดเป็นจำนวนเงิน ในธุรกิจก๊าซเพิ่มขึ้นเป็น 72,959 ล้านบาท และสัดส่วนขยับขึ้นเป็น 92% กลุ่มธุรกิจน้ำมัน สัดส่วนลดลงเหลือเพียง 7.10% ขณะที่ยอดเงินเพิ่มจากปีก่อนหน้าไม่มาก มาอยู่ที่ 5,643 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น มีจำนวน 735 ล้านบาท หรือ 0.9% เท่านั้น
ในปี 2548 EBITDA ของบริษัทปตท.ก้าวกระโดดขึ้นจาก 79,296 ล้านบาท เป็น 114,045 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 44%
ในโครงสร้าง EBITDA มาจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติ จำนวน 92,161 ล้านบาท แต่สัดส่วนลดลงเหลือ 80.81% ธุรกิจน้ำมันเพิ่มขึ้นจาก 5,641 ล้านบาท เป็น 7,252 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% สัดส่วนลดลงเหลือ 6.3% และกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น มีจำนวน 14,945 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 1,930% และสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 13.10%
โครงสร้าง EBITDA ข้างต้น สะท้อนว่า บริษัทปตท.ซึ่งเป็นผู้ผูกขาดรายเดียวของประเทศในการดำเนินการธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ได้ประโยชน์จากการผูกขาดจัดหาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งผลิตเพื่อจำหน่ายต่อให้แก่ผู้ใช้ก๊าซกลุ่มต่างๆ คือ กฟผ. โรงไฟฟ้าอิสระขนาด (IPP) และโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) และภาคอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจต้นน้ำ คือการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ บริษัทปตท. ก็มีบริษัทลูกคือ ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) เป็นผู้ประกอบการสำรวจและขุดเจาะก๊าซปิโตรเลียม โดยปัจจุบัน ปตท.สผ. เป็นผู้มีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติมากที่สุดในประเทศไทย
เห็นได้ชัดว่าหลังการแปรรูป วัตถุประสงค์ขององค์กรของ ปตท.เปลี่ยนแปลงไป จากการเป็นรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการสาธารณูปโภคเพื่อประชาชน กลายเป็นบริษัทจำกัด (มหาชน) ที่ดำเนินธุรกิจเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ
แกะรอยส่วนแบ่งกำไร
กำไรสุทธิของปตท.ในตลอด 5 ปีที่ผ่านมาซึ่งมีรวมกันมากถึง 233,659.38 ล้านบาท ถูกปันไปที่กระเป๋าใคร
เมื่อจำแนกพัฒนาการของกำไรสุทธิในแต่ละปีจะพบว่า อัตราการทำกำไรสุทธิของ ปตท.เพิ่มขึ้นในอัตราสูงทุกปี
โดยปี 2544 ปีแรกที่มีการแปรรูป ปตท. มีกำไรสุทธิ 21,564 ล้านบาท หรือ 7.71 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 12,279 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 75%
ต่อมาในปี 2545 กำไรสุทธิของปตท.เพิ่มขึ้นเป็น 24,506 ล้านบาท หรือ 8.76 บาทต่อหุ้น ปี 2546 กำไรก้าวกระโดดขึ้นเป็น 39,400 ล้านบาท หรือ 14.09 บาทต่อหุ้น ขณะที่ปี 2547 กำไรของปตท.ได้เพิ่มขึ้นเป็น 62,666 ล้านบาท หรือ 22.40 บาทต่อหุ้น และล่าสุดในปี 2548 ปตท.กวาดกำไรสุทธิรวมกันถึง 85,521 ล้านบาท หรือ 30.57 บาทต่อหุ้น
ปันผล 5 ปีกว่า 7 หมื่นล้าน
ด้วยผลประกอบการที่โดดเด่น โดยได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น และยอดขายก๊าซธรรมชาติขยายตัวสูง นับตั้งแต่ปี 2544 บริษัทปตท.จ่ายปันผลคืนให้กับผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยในปี 2544 จ่ายปันผลหุ้นละ 2.50 บาท
ปี 2545 จ่ายปันผลหุ้นละ 2.85 บาท ปี 2546 จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นหุ้นละ 4 บาท ส่วนปี 2547 ที่กำไรก้าวกระโดด การจ่ายปันผลก็เพิ่มขึ้นเป็นหุ้นละ 6.75 บาท ส่วนล่าสุดในปี 2548 การจ่ายเงินปันผลได้ขยับเพิ่มขึ้นเป็นหุ้นละ 9.25 บาทเลยทีเดียว
หากคิดเป็นเม็ดเงินการจ่ายเงินปันผลทั้งหมดตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ของบริษัทปตท.มีจำนวนรวมกัน 25.35 บาทต่อหุ้น และหากคำนวณโดยจำนวนหุ้นจดทะเบียนเรียกชำระทั้งหมดของปตท.ที่ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาไม่มีการเปลี่ยนแปลงโดยอยู่ที่ 2,792.46 ล้านหุ้นแล้ว จำนวนเงินที่ปตท.จ่ายปันผลจึงเท่ากับ 70,788.86 ล้านบาท
ปตท.เจริญงอกงาม เงินเข้ากระเป๋าใคร
คำถามที่ตามมาแล้วเม็ดเงินจำนวน 70,788.86 ล้านบาท ไปเข้ากระเป๋าใคร
คำตอบคือ เม็ดเงินส่วนใหญ่ หรือมากกว่า 50% จะไปอยู่ในกระเป๋าของกระทรวงการคลัง โดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กระทรวงการคลังถือหุ้นในบริษัทปตท.ทั้งทางตรงและทางอ้อม จำนวน 1,598,490,743 หุ้น หรือ 57.24% โดยถือหุ้นทางตรงจำนวน 1,467,750,743 หุ้น หรือ 52.48% และถือหุ้นทางอ้อมโดยผ่านกองทุนวายุภักษ์ 1 อีกจำนวน 130 ล้านหุ้น ทำให้ตลอด 5 ปี กระทรวงการคลังได้รับเงินปันผลจากปตท.แล้วจำนวน 40,521,740,335 บาท
ส่วนที่เหลือจำนวน 30,267 ล้านบาท จะเป็นผลตอบแทนที่รัฐบาลเต็มใจแบ่งปันให้กับนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะนักลงทุนรายใหญ่ ที่ปรากฏว่า ณ วันที่ 20 กรกฎาคม 2548 มีผู้ถือหุ้นบริษัทปตท.ที่เป็นเอกชนรายใหญ่ในต่างประเทศ และที่เป็นนอมินี เกือบ 23% ส่วนที่เหลือเป็นนักลงทุนรายย่อย
ยังไม่นับรวมมูลค่าหุ้นของบริษัทปตท.ที่ขยับเพิ่มขึ้นมาจาก 35 บาทในเดือนตุลาคม 2544 เป็น 250 บาทในต้นเดือนเมษายน
เมื่อคูณด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด ราคาหุ้นของบริษัทได้เพิ่มขึ้นถึง 572,454 ล้านบาท ซึ่งเป็นความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นในทางบัญชี โดยมีภาคเอกชนมาเอี่ยวด้วยอย่างน้อย 42% หรือขั้นต่ำประมาณ 250,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
จากคุณ :
อ่านขาด
- [
16 เม.ย. 49 15:35:38
]