ความคิดเห็นที่ 1 ประเด็นไม่ใช่อยู่ที่เสียภาษีอย่างเดียว แต่อยู่ที่ผู้นำที่อยู่ในตำเหน่งที่มีอำนาจมาก ผลประโยชน์สูง ที่จะทำอะไรก็ได้ให้แก่ประเทศไทย ถ้าไม่มีจริยธรรมเราจะใว้ใจได้หรือ ให้เขาถือกำปั่นเงินของประเทศ ในเมื่อเรื่องเล็กๆเขายังทำไม่ได้เลย แล้วเรื่องใหญ่ๆจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าสมภารไม่แอบเซ้งวัดให้คนอื่น จากคุณ : ไทไท - [ วันเถลิงศก (15) 13:09:33 ] ชัดเจนมากๆ ครับ จากคุณ : 1111 - [ 17 เม.ย. 49 14:45:12 A:61.90.164.27 X: TicketID:111667 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่เบื่อบ้างหรือครับ เรื่องภาษีนี่เค้าอธิบายกันมาเป็นร้อยกระทู้แล้วมั้ง ลองไปค้นที่ราชดำเนินซิครับ จขกท ต้องหาข้อมูลจากหลายๆ ด้าน นะครับ ข้อมูลที่ได้มาจากฟอร์เวิร์ดเมล์มันเชื่อถือไม่ได้ครับ แอมเพิลริชเป็นบริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศครับ ประเทศไทยไม่มีสิทธิไปเรียกเก็บภาษีนอกราชอณาจักร ที่แอมเพิลริชขายให้กับเทมาเซกไม่ได้ เพราะติดเงื่อนไขของเทมาเซกครับ ส่วนนายเรืองไกรขอลบความเห็นส่วนตัวครับ ไปดูคำแถลงของสรรพากรดีกว่า เชื่อหรือไม่เชื่อก้ออีกเรื่องนึง ********* วันที่ 19 ธ.ค. 2548 นางไพฑูรย์ พงษ์เกษร รองอธิบดีกรมสรรพากร แถลงยืนยันว่า การที่กรมสรรพากรไม่เรียกเก็บภาษีเงินได้จากการที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขายหุ้นให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวโดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และการที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ขายหุ้นให้นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายโดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน มิใช่เป็นการเลือกปฏิบัติ แต่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย นางไพฑูรย์กล่าวว่า กรมสรรพากรมีแนวทางปฏิบัติที่ต้องทำตามกฎหมาย เทียบเคียงกับแนวคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ผ่านมา ซึ่งมีอยู่ 3 กรอบหลักๆ ไม่ว่าคุณจะโอนแบบไหน โอนให้ใคร โอนอย่างไร ก็อยู่ภายในกรอบ 3 ประเด็นนี้ คือ กรอบที่ 1 กรณีบุคคลธรรมดาได้รับหุ้นโดยเสน่หา ผู้ได้รับหุ้นมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่มีข้อยกเว้น หากได้รับหุ้นหรือสินทรัพย์ใดๆ ในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีหรือได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ ตามมาตรา 39 และมาตรา 42 (10) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ก็มีข้อแม้ว่า กรมสรรพากรจะต้องเข้าไปพิสูจน์ตรวจสอบพยานเอกสารหลักฐานในอดีตว่า ระหว่างผู้ให้กับผู้รับมีความเกี่ยวพันกันด้วยจริงไม่ กรอบที่ 2 กรณีบุคคลธรรมดาซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ผลต่างจากราคาซื้อกับราคาตลาดดังกล่าวในปีที่ซื้อยังไม่ถือเป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษี เนื่องจากเงินได้ของบุคคลธรรมดาเกิดขึ้นเมื่อได้รับเงินจริงในแต่ละปีภาษี เมื่อปีภาษีใดมีการขายหุ้นนั้นออกไปในราคาที่สูงกว่าที่ซื้อมาและได้รับเงินจริง ผลต่างดังกล่าวจึงถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษีนั้น แต่ในประเด็นที่ 2 ก็ยังมีข้อยกเว้น คือการขายหุ้นทุกกรณีในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของบุคคลธรรมดาให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 39 และมาตรา 40 (4) แห่งประมวลรัษฎากร กรอบที่ 3 กรณีพนักงาน ลูกจ้าง กรรมการ ที่ปรึกษา ได้รับแจกหุ้นจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือได้ซื้อหุ้นจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดตามข้อตกลงพิเศษ ถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับจริงตามสัญญาจ้างแรงงาน ดังนั้นลูกจ้าง กรรมการ ที่ปรึกษา ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีที่ได้รับกรรมสิทธิ์ในหุ้นนั้น ทั้งนี้ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 เรื่อง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการเสียในกรณีได้รับแจกหุ้นหรือได้ซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาดตามข้อตกลงพิเศษ ลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 ทั้งนี้จากการวินิจฉัยของกรมสรรพากร พบว่าในกรณีการซื้อขายหุ้นของนายเรืองไกรเข้าข่ายกรอบที่ 2 คือซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด แต่นายเรืองไกรไม่ทราบว่า กรมสรรพากรยึดการพิจารณาเงินได้พึงประเมินของบุคคลธรรมดาตามเกณฑ์เงินสด หากได้รับซื้อหุ้นมาแล้วยังไม่ขายหุ้นออกไป ก็ยังไม่ถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี ดังนั้นนายเรืองไกรจึงได้ยื่นแบบเสียภาษีผิดไป โดยนำเงินได้จากการซื้อหุ้นในครั้งนั้นมากรอกในแบบเสียภาษีด้วย จึงทำให้เครื่องประมวลผลออกมาว่าจะต้องเสียภาษีเพิ่ม ซึ่งนายเรืองไกรก็รีบจ่ายเงินให้กรมสรรพากรและไม่ได้อุทธรณ์ กรมสรรพากรจึงไม่รู้ และไม่สามารถแก้ไขให้ได้ตั้งแต่ต้น แต่ภายหลังเกิดเป็นประเด็นข่าวขึ้น กรมก็ได้เรียกนายเรืองไกรมาชี้แจงว่าการซื้อหุ้นดังกล่าวไม่เข้าข่ายที่จะต้องเสียภาษี และจ่ายเงินคืนไป นางไพฑูรย์ ยังกล่าวถึงกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ซื้อหุ้นต่อจากนายกรัฐมนตรีว่า กรมสรรพากรวินิจฉัยตามเงื่อนไขที่มีพบว่า เข้าข่ายการรับซื้อขายหุ้นในกรอบที่ 2 เช่นเดียวกับนายเรืองไกร คือมีการซื้อหุ้นต่ำกว่าราคาตลาดจริง โดยตามหลักจะต้องเสียภาษี แต่จะเสียก็ต่อเมื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะผู้รับโอนได้ขายหุ้นหรือโอนหุ้นไปให้คนอื่น และมีส่วนต่างของราคา จึงนำส่วนต่างของราคามาคิดคำนวณเสียภาษี เว้นแต่จะโอนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ก็ไม่จำเป็นจะต้องเสียภาษีเพราะถือเป็นส่วนหนึ่งในมาตรการตลาดทุน "การซื้อขายหุ้นในตลาดทุนฯทุกคนก็ไม่เสียภาษีอยู่แล้ว ใครขายก็ไม่เสีย จะโอนกันกี่ร้อยรอบก็ไม่เสีย ตรงนี้กรมสรรพากรไม่ได้ปล่อย เราพิจารณาตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ ใครก็ตามที่เข้าเกณฑ์ก็ให้ทุกคน ไม่ได้เลือกปฏิบัติ ถ้าคุณเป็นนาย ก. แล้วให้ ส่วนนาย ข. ไม่ให้ เราไม่เคยทำอย่างนั้น" รองอธิบดีกรมสรรพากรกล่าว สำหรับกรณีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่โอนหุ้นชินคอร์ปให้นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชาย โดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์นั้น นางไพฑูรย์กล่าวว่า กรมสรรพากรวินิจฉัยแล้ว จัดเป็นการโอนหุ้นโดยเสน่หา ตามกรอบที่ 1 แม้ตามกรอบนี้ผู้ที่ได้รับหุ้นมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่เนื่องจากมีข้อยกเว้นว่าหากได้รับโอนหุ้นตามพิธีหรือตามโอกาสก็จะมีสิทธิยกเว้นการเสียภาษีได้ ซึ่งในกรณีนี้กรมสรรพากรได้ทำการพิสูจน์พยานหลักฐานและเอกสารแล้ว พบว่า ผู้ให้กับผู้รับหุ้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องเป็นพี่น้องกัน และทั้งคู่ก็เคยมีประวัติการช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างชัดเจน อย่างเรื่องการค้ำประกันเงินกู้ในอดีต ซึ่งมีเอกสารชัดเจน ดังนั้นจึงเข้าสิทธิการรับโอนหุ้นโดยเสน่หาได้ พร้อมกันนี้การโอนหุ้นชินคอร์ปในครั้งนั้น ก็พบว่าเป็นการโอนให้ในพิธีแต่งงานของนายบรรณพจน์ถือว่าเข้าสิทธิการได้รับยกเว้นภาษีตามกรอบที่ 1 อย่างชัดเจน นางไพฑูรย์ กล่าวอีกว่า เรื่องที่กมธ.วุฒิสภาที่ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้าตรวจสอบการทำงานของกรมสรรพากรนั้น กรมสรรพากรพร้อมที่จะให้ตรวจสอบ แต่เนื่องจากเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. จึงไม่สามารถตอบแทนอะไรมากนัก แก้ไขเมื่อ 17 เม.ย. 49 17:27:45 แก้ไขเมื่อ 17 เม.ย. 49 16:32:28 จากคุณ : nat1234 - [ 17 เม.ย. 49 16:31:05 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ยืนยันว่าต้องเสียภาษีจริงๆ แต่ขี้เกียจอธิบายแล้ว คนไม่เชื่อยังไงก็ไม่เชื่ออยู่ดี ตอนนี้ปัญหาคือ ฟ้องนายกฯ ไม่ได้ เพราะผู้เสียหายคือรัฐ หรือสรรพากร เป็นหน้าที่สรรพากรจะต้องไปประเมินเรียกเก็บภาษี คนอื่นไม่เกี่ยว แต่สรรพากรผิดเต็มๆ ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ แต่ผมก็โคตรงงเลยที่ไม่มีใครเอาจริงกับสรรพากรซักราย ทั้งพันธมิตร ทั้งสภาทนายความ ฯลฯ สุดท้ายก็กลายเป็นแค่ปาหี่การเมือง จากคุณ : TingTing - [ 17 เม.ย. 49 17:31:18 ]

ความคิดเห็นที่ 4 #3 ครับ พอดีผมขอแก้ คคห เรื่องนายเรืองไกรโดยเอาคำแถลงของสรรพากรมาลงเพิ่มให้ครับ ตามข่าวที่โพสมา ตอนนี้ ป.ป.ช เค้ากำลังสอบอยู่ครับ ให้เป็นเรื่องกฏหมายบ้านเมืองดีกว่าครับ ถ้าผิดก้อต้องว่ากันไปตามผิด ถ้าไม่ผิดก้อต้องยอมรับว่าไม่ผิด จากคุณ : nat1234 - [ 17 เม.ย. 49 17:50:27 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้ามีหลักฐานะว่า สรรพากร ละเว้นหรือไม่ทำหน้าที่ คุณก็สามารถฟ้องได้ครับ แต่ผมเบื่อตรงที่ จกกท. นั่นนะครับ  ส่วนใหญ่จะใช้คำว่า ครับ   แต่บางครั้งมีคำว่า คะ ขา ด้วย  แฮ่ม......อยากรู้จริง ????????? จากคุณ : j (jonathan w.) - [ 17 เม.ย. 49 17:59:20 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผมไม่อยากอธิบายแล้วเหมือนกัน  แต่ผมเห็นว่านายกทักษิณซึ่งตอนนี้ไม่ได้ทำหน้าที่นี้แล้วไม่สมควรเป็นนายกครับ  เพราะไม่เคลียร์ในหลายเรื่อง สำหรับผมไม่ชอบนายกคนนี้ถือเป็นว่าผมอัคติก็แล้วกัน  นายสนธินายจำลองนายอภิสิทธิ์  สามคนนี้ผมก็ไม่ชอบและไม่สนับสนุนเหมือนกัน  ต่างคนต่างเชื่อแล้วกันทุกคนที่อยู่ในสินธรผมเชื่อว่ามีความรู้ทั้งสิ้น  โน้มน้าวกันไม่ได้หรอก   คุยเรื่องความเชื่อทางศาสนา  ทางเชื้อชาติ  ทางการเมือง  มีแต่จะทะเลาะกันแม้ว่าทุก ๆ คนจะมีเหตุผลก็ตาม สรุปเอาเป็นว่าผมเชื่อตาม  จขกท  คคห.3  และอีกหลาย ๆ ท่านในสินธร  สำหรับคนที่เห็นไม่ตรงก็ไม่ว่ากันเพราะเราอาจเห็นตรงกันในเรื่องอื่น ๆ ก็ได้ เช่นเรื่องการเล่นหุ้น  55  ผมชอบเล่นหุ้นแบบถือยาว ๆ เน้นเล่นรอบยาว ๆ และที่สำคัญหุ้นมากกว่า 70% ในพอร์ตเป็นหุ้นปันผลเพื่อการลงทุน (ขึ้นไปมาก ๆ  ไร้เหตุผลก็ขายซะเลยก็มีแบบตะบะแตกน่ะ  เมื่อขายหุ้นแบบนี้ไปแล้วก็จะไม่ไปเล่นมันอีกจนกว่าราคาจะสมเหตุสมผล) ไปกันใหญ่แล้วผมคุยเรื่องภาษีไปจบที่เรื่องหุ้นซะได้  55 ์ จากคุณ : amarywater - [ 17 เม.ย. 49 20:18:40 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าผมเป็นทนายด้วยผมก็คงฟ้องไปแล้วล่ะ เหอ ๆ ๆ แต่ผมก็พอเข้าใจกรอบความคิดของคนที่เกี่ยวข้องอยู่บ้าง 1. พอไม่มีใครฟ้อง ก็เลยมีคนหลายๆ คน ไม่เชื่อว่าผิด  "แน่จริงทำไมไม่ฟ้องวะ???" ผมเข้าใจคุณครับ  เรื่องแบบนี้มันอธิบายให้เข้าใจยากจริงๆ  แล้วดันไม่มีใครฟ้องซะอีก เลยดูไม่มีน้ำหนัก 2. ปชป. พรรคเฮงซวยพึ่งพาไม่ได้  ทำทุกอย่างเพื่อหวังผลการเมืองเท่านั้น ทำมากไม่ได้ เพราะตัวเองก็มีแผลเหมือนกัน 3. จำลอง/สนธิไม่ฟ้อง เพราะมันไม่ได้ทำเพื่อชาติ 4. คนอื่นๆ ไม่ฟ้อง เพราะ - ไม่มีความสามารถจะฟ้องได้     คือไม่มีความสามารถทางกำลังทรัพย์ ทางความรู้ ฯลฯ - เกรงกลัวอำนาจ อยู่ดีๆ ใครจะอยากมีเรื่องกับอำนาจรัฐ ******************** พูดไปก็จะยาว แต่ผมลองเถียงคำชี้แจงของสรรพากรให้ดูบางเรื่องก็แล้วกัน "กรอบที่ 1 กรณีบุคคลธรรมดาได้รับหุ้นโดยเสน่หา ........... มีข้อยกเว้น หากได้รับหุ้นหรือสินทรัพย์ใดๆ ในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี หรือได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา" "สำหรับกรณีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่โอนหุ้นชินคอร์ปให้นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชาย โดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์นั้น นางไพฑูรย์กล่าวว่า กรมสรรพากรวินิจฉัยแล้ว จัดเป็นการโอนหุ้นโดยเสน่หา ตามกรอบที่ 1" ขอเถียงหน่อยนะครับว่า การโอนหุ้นให้พี่ชายเป็นการโอนในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีตรงไหนครับ??? หรือว่าเข้าข่ายอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา???  (อันนี้โดยปกติหมายถึงพ่อแม่เลี้ยงดูลูก / ลูกเลี้ยงดูพ่อแม่) พี่ชายท่านแต่งงานหรือไง ถึงบอกว่าให้ตามโอกาสพิธี   หรือว่าเป็นการให้ของขวัญกันตอนปีใหม่  คริสมาสต์ หรือว่าพี่ชายท่านอดมื้อกินมื้อ ท่านจึงต้องอุปการะ ************************************ "กรอบที่ 2 กรณีบุคคลธรรมดาซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ผลต่างจากราคาซื้อกับราคาตลาดดังกล่าวในปีที่ซื้อยังไม่ถือเป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษี  เนื่องจากเงินได้ของบุคคลธรรมดาเกิดขึ้นเมื่อได้รับเงินจริงในแต่ละปีภาษี............" "กรอบที่ 3 กรณีพนักงาน ลูกจ้าง กรรมการ ที่ปรึกษา ....ได้ซื้อหุ้นจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดตามข้อตกลงพิเศษ....." กรอบที่สอง ขัดกับกรอบที่สามอย่างชัดเจน กรอบที่สองบอกว่ายังไม่เป็นเงินได้ เพราะยังไม่ได้รับเงิน ไม่ต้องเสียภาษี กรอบที่สามบอกว่าต้องเสียภาษีนะ เพราะเป็นการได้ประโยชน์ "ตามข้อตกลงพิเศษ" จริงๆ ถ้ามีกรอบที่สองแล้ว  กรอบที่สามก็ไร้ความหมายไปเลยนะครับ  ไม่ต้องมีก็ได้ แต่บังเอิญว่ากรอบที่สามมันเกิดขึ้นมาก่อน  และมันถูกบังคับใช้เป็นกฎหมายมานานเป็นสิบปีแล้ว กรมสรรพากรเลยไปลบทิ้งไม่ได้ ท่านกรมสรรพากรก็เลยดิ้น ดันทุรังสร้างกรอบที่สองออกมา   มาดูของจริงก็แล้วกัน  มาตรา 39 ที่ท่านสรรพากรชอบเอามาดำน้ำอยู่บ่อยๆ บอกไว้อย่างนี้ " เงินได้พึงประเมิน " หมายความว่า เงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดนี้ เงินได้ที่กล่าวนี้ให้หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้" http://www.rd.go.th/publish/5937.0.html#mata39 ม.39 บอกว่ารวมหมดทุกอย่างครับ ถ้าคุณได้รับผลประโยชน์ และตีค่าเป็นเงินได้   ก็ต้องถือว่าคุณได้รับเงินได้ ดูแล้วพิจารณาเอาเองเถิดว่า มันขัดกับกรอบที่สองที่ท่านสรรพากรดันทุรังสร้างขึ้นมาไว้มั้ยครับ จากคุณ : TingTing - [ 17 เม.ย. 49 20:26:30 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ดิฉันรับโอนหุ้นมาจากคุณพ่อนอกตลาด  แต่ทำใบหุ้นหายไป  (จึงขายไม่ได้)  แต่ยังคงสิทธิ์รับปันผล และในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนหลายครั้งในราคาพาร์   และหลังจากที่คุณแม่เสียไปแล้วตั้ง 10 ปี  จึงทำเรื่องโอนชื่อในใบหุ้น พร้อมหุ้นเพิ่มทุน โดยเอาปันผลสะสม 6 ปีที่ได้มาจ่ายค่าหุ้น (เช็คจ่ายชื่อคุณแม่ และหมดอายุแล้ว) หุ้นทั้ง 2 ตัว  เป็นหุ้นที่คุณพ่อ และคุณแม่ได้รับมาในราคาพาร์  ตอนนี้เป็น หุ้น blueship ใน set50  ดิฉันก็นำใบหุ้นทั้งหมดเข้ามาฝากโบรก และขายไปในตลาดหลักทรัพย์   ตัวแรกขายได้กำไร 700%  และตัวที่สองกำไรเกือบ 5000%  ไม่เห็นว่าจะต้องเสียภาษีเลย จากคุณ : prettypetite - [ 17 เม.ย. 49 20:48:06 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าขายในตลาดตอนแรกก็ไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว  ไม่ว่าจะขายเท่าไหร่  แต่ที่โอนขายนอกตลาดในราคาพาร์ เพราะต้องการประหยัดค่านายหน้าให้โบรกเกอร์และVAT 7% ต่างหาก  ถ้ายอมเสียค่าโบรกตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องมาโดนจับผิดอย่างนี้  แต่ก็คงโดนเรื่องอื่นอีกนั่นแหละ จากคุณ : candlestick - [ 17 เม.ย. 49 22:27:30 ]

ความคิดเห็นที่ 10 นั่นไง ถึงบอกว่าคนไม่เชื่อ ยังไงก็ไม่เชื่ออยู่ดี - ประเทศไทยยังไม่มีการเก็บภาษีจากมรดก  คุณรับโอนมาจากพ่อแม่ จะในหรือนอกตลาดก็ไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว   นั่นเพราะประเทศไทยคนรวยเป็นคนออกกฎหมาย   กฎหมายภาษีมรดกถึงไม่ได้คลอดเสียที - คุณได้หุ้นมาเอาไปขายตลาด   ต่อให้กำไรแสนเท่าก็ไม่ต้องเสียภาษี ก็รู้กันอยู่แล้ว ไม่ได้ผิดอะไร จากคุณ : TingTing - [ 17 เม.ย. 49 23:30:57 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คุณprettypetite เข้าใจผิดแล้วคับ หุ้นที่คุณได้จากบิดามารดาเป็นมรดก สรรพากรเค้าไม่มาเก็บภาษีหรอกเพราะประเทศไทยยังไม่มีเรื่องนี้ อนุโลมคับ แต่กรณีที่หญิงอ้อโอนให้พี่ชายแล้วบอกว่าเป็นของขวัญงานแต่งงานเนี่ยเป็นการเลี่ยงภาษีชัดๆถ้านายกไม่ใช่สามีหญิงอ้อ สรรพากรคงไม่ตีความแบบนี้หรอกครับ จากคุณ : bar-b'gon - [ 18 เม.ย. 49 08:17:08 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เฮ้อ เหนื่อยแทนครับ เพราะเคย post หลายครั้งแล้วเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ ทุกๆท่านก่อนจะพิจารณาเรื่องนี้ ลองถอดความเป็นตัวตนออกก่อน แล้วลองใส่ความเป็นตัวตนของ "ประเทศไทย" ดูสิครับ ลืมเรื่อง ตาสนธิ จำลอง ปชป. อภิสิทธิ์ แล้วลองตอบผมว่า ในฐานะ "ประเทศไทย" คุณจะใว้ใจได้หรือ? ที่ให้เขาถือเงินของประเทศไทยไว้ ด้วยพฤติกรรมนาๆนับประการ อย่าให้พูดเลย จากคุณ : 1111 - [ 18 เม.ย. 49 12:11:27 A:203.146.9.27 X: TicketID:111667 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อ้อ ลืมบอกไปว่า ไอ้ 3 กรอบที่ว่าน่ะ สรรพากรไปตีเอาเองนะ ถ้าจะให้ดี ไปดูที่ มาตรา 39 ทั้ง 8 วรรค ดีกว่า ว่าเข้าข้อไหนน่ะ จากคุณ : 1111 - [ 18 เม.ย. 49 12:17:14 A:203.146.9.27 X: TicketID:111667 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 19 เม.ย. 49 07:21:55 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ก็แค่ฮิตเลอร์ลาพักร้อน ตอนนี้ให้ลูกน้องกวาดล้างศ้ตรู และให้คณะกรรมการโกงการลากตั้งโกงให้เสร็จก่อน ........วะ จากคุณ : (สีเขียว) - [ 19 เม.ย. 49 11:51:50 A:203.118.68.242 X: TicketID:112008 ]