ความคิดเห็นที่ 1 ลองมองว่าบ้านหลังนี้ อีกสิบปีข้างหน้า ราคาควรจะเป็นเท่าไร เพราะบ้านส่วนใหญ่ราคาจะขึ้นไปเรื่อยๆทุกปี ในอัตราที่สูงกว่าดอกเบี้ย เมื่อเราผ่อนหมด ราคาบ้านจะสูงกว่าราคาเงินต้นบวกดอกเบี้ย นึกเสียว่า กำลังหยอดกระปุกก็แล้วกัน มองโลกในแง่ดีไว้ดีกว่า อย่างน้อยก็ปลอดโรคกระเพาะ 5555 จากคุณ : Livestock - [ 18 เม.ย. 49 22:18:58 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ง่ายที่สุดคือ การเปลี่ยนความคิด ....................................................... ลอง list รายการ 2 คอลัมเปรียบเทียบกัน ระหว่าง ข้อดี กับ ข้อเสีย ดูครับ แล้วจะมองเห็นอะไรที่ดีๆ อีกเยอะ ...................................................... แต่ท้ายสุดคงต้องหาทาง เพิ่มรายรับ เข้ามาด้วยครับ จะได้ไม่เหนื่อย ^.^ จากคุณ : สมาร์ท อินเวสเทอร์ - [ 18 เม.ย. 49 22:47:03 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ที่น่ากลัวคือดอกเบี้ยคงยังไม่หยุดขึ้น อาจจะทำให้ต้องส่งเงินมากขึ้นเพราะดอกจะมากกว่า 23000 บาทก็ได้ถ้าธนาคารยังแย่งเงินฝากกันขนาดนี้ ถ้ายอดหนี้ตอนนี้ สมมุติ 3,000,000 บาทหารด้วยหักต้น 6,000 บาทจะต้องส่งอีก 500 เดือนเท่ากับ 41 ปีจากเดิม 15 ปี ต้องขอโทษลืมอ่านหัวข้อกระทู้ว่าคิดยังไงถึงจะมีกำลังใจ แก้ไขเมื่อ 18 เม.ย. 49 23:44:19 แก้ไขเมื่อ 18 เม.ย. 49 23:29:34 จากคุณ : solarplexus - [ 18 เม.ย. 49 23:26:57 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คิดถึงสมัยก่อนสิครับ ดอกเบี้ย15% คนรุ่นก่อนยังผ่านมาได้ เราก็ต้องทำได้ จากคุณ : +Scapel+ - [ 19 เม.ย. 49 00:57:58 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สู้ครับ เพื่อบ้านของเราเอง วันนี้มีคุณเรี่ยวแรงอยู่ หนี้สินเพื่ออนาคต คุณสู้ได้แน่นอน ไม่ใช่หนี้สินที่เกิดจากการพนันที่สูญเปล่า สู้ให้ผ่านพ้นครั้งนี้ไป คุณอาจมีลู่ทางทำมาหากินมากขึ้น เพราะหนี้สินก้อนหนี้ ทำให้เราต้องขวนขวายมากขึ้น จัดระบบบริหารค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย ตัดออกไป วันหนึ่งเมื่อถึงวัยชรา ทรัพย์สินส่วนหนี้จะเป็นสิ่งมีค่ามากขึ้นหลายเท่า เพื่อส่งต่อให้ลูกหลานที่คุณรัก ด้วยความภาคภูมิใจและเรื่องราวความเป็นมากว่าจะได้ บ้านหลังนี้มาเป็นทรัพย์สิน.... จากคุณ : . (Discovery A2Z) - [ 19 เม.ย. 49 02:19:12 ]

ความคิดเห็นที่ 7 บ้านหลังแรกที่ผมผ่อนดอก 14% ครับ ถูกที่สุดตอนนั้นแล้ว คิดว่าคงผ่อนกันจนแก่ แต่โชคดีเจอดอกเบี้ยขาลง refinance ไปสองครั้ง ดอกถูกลงมาก แต่สุดท้ายก็ยังมาอยู่ที่ 5% ตอนนี้ผ่อนหมดแล้ว ได้บ้านแสนสุขสำหรับครอบครัว แต่ของคุณจขกท. ดูตัวเลขแล้ว น่าจะหาทางเพิ่มรายได้หน่อยนะครับ จะได้รู้สึกดีขึ้น ผมเข้าใจความรู้สึกครับ มันอยู่ที่การบริหารจัดการเงินด้วย จะโปะมากก็ทำให้การเงินฝืดเคือง เพราะฉะนั้นต้องทำอีกอย่างด้วยครับคือตัดรายจ่าย รายจ่ายที่ไม่แน่นอนคือเรื่องสุขภาพและอุบัติเหตุก็คงทำให้กังวล เพราะฉะนั้นการตัดรายจ่ายมันยังรวมไปถึงการรักษาสุขภาพกาย สุขภาพจิตด้วยนะ และยังรวมไปถึงการใช้ชีวิตอย่างระวังอย่าให้ผิดพลาด มีอุบัติเหตุ เวลาผ่านไปเหมือนติดปีกครับ ถ้าชีวิตเราราบรื่น เรื่องเงินทองเดี๋ยวมันก็ดีไปเอง ................... เวลาผมมีปัญหาทางด้านอารมณ์ ผมจะคิดแต่เรื่องทำหน้าที่ไปด้วยความระมัดระวังไปวัน ๆ โดยไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น คิดวางแผนแค่วันต่อวัน เวลามีปัญหามาก ๆ เคยคิดแม้แต่เพียงว่า "just keep breathing" พอมันผ่านไป เราจะแกร่งขึ้นครับ ................... อิ อิ มาแนวซีเรียสนะเนี่ย จากคุณ : ขุนอิน - [ 19 เม.ย. 49 05:08:39 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ชอบความคิดเห็นพี่ขุนอินมาก จนไม่รู้จะแนะนำอะไรเพิ่มเติม แต่ก็อยากพูดอ้ะนะ  ถ้าถูกใจเก็บไว้ ถ้าไม่ตรงใจ ก็ถือว่าสายลมพัดผ่านละกันนะคะ มองในแง่รูปธรรม คงรู้ๆ กันอยู่ เพิ่มรายได้ ถ้าทำไม่ได้ ก็ลดรายจ่าย ส่วนกำลังใจของคุณ จขกท. อยู่ที่มุมมองต่อการดำเนินชีวิตนะคะ พยายามมองว่า "เราโชคดีแค่ไหนที่...." มากกว่าที่จะมองว่า "เราโชคร้ายจังเลยที่..." หาความสุขเล็กๆ น้อยๆ  ราคาถูก แล้วเติมความสุขลงไปในใจให้เต็ม ความสุข..  หาได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะได้จากคนรอบกาย เพื่อนฝูง คนที่คุณรัก หรือแม้แต่ เป้าหมายใหญ่โต ที่คุณกำลังฟันฝ่าอยู่ น่าภูมิใจหยอกซะที่ไหน นะ... เหตุการณ์ สร้างผู้กล้านะคะ ถึงเวลาเราต้องเดิน ก็ต้องเดิน คุณเป็นผู้เลือก ว่าจะเดินไปพร้อมรอยยิ้ม หรือเดินไปพร้อมหยาดน้ำตา มีความสุขกับทุกวันนะคะ อ้อ ดอกเบี้ยที่พุ่งทะยานแบบนี้ ไม่ใช่โชคร้ายของเราคนเดียว เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทุกคนต้องเผชิญมันเช่นกัน ระบบเงินกู้ มีเหตุผลของมันที่ดีพอ เพื่อเปิดโอกาสให้คนไม่มีเงินก้อน อย่างไร บ้านที่อยู่ ก็ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า มีความมั่นคงนะคะ สู้ๆๆๆๆๆ จากคุณ : ส้มสีส้ม - [ 19 เม.ย. 49 05:43:15 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ผมผ่อนบ้านหลังที่ ๒ (ขายหลังแรกแล้วมาซื้อใหม่)เมื่อ ๑๖ ปีก่อนกับธนาคารเอเชีย อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕-๑๖ ต้องรีไฟแนนซ์ใช้สิทธิเงินกู้สวัสดิการกับ ธอส ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๒ กว่าๆ จนสุดท้ายดอกเบี้ยลงเรื่อยๆเหลือร้อยละ ๗.๒๕ ปัจจุบันหมดแล้ว เลยเอาเงินที่ว่างจากการผ่อนบ้านมาเล่นหุ้น..5555555...... บ้านหลังแรกซื้อสมัยป๋า เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกฯ   ป๋า สมหมาย    ฮุนตระกูล เป็นรมว.คลัง  ผ่อนอัตราดอกเ้บี้ยร้อยละ ๑๘ กับธนาคารไทยพาณิชย์ ผ่อนจนหมดเหมือนกัลลล์ และชาตินี้คงไม่มีโอกาสผ่อนหลังที่ ๓ แล้วครับ ...เหนื่อยสุดยอดครับ จากคุณ : กุษาณ - [ 19 เม.ย. 49 07:39:29 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ตอนนั้นมือถือไม่มี คนใช้จ่ายเฉพาะที่จำเป็น ไม่เจ๊าะแจ๊ะ คุณลองไม่ใช้มือถือดูรายรับเพิ่มขึ้นเองอื้อเลย ไม่ก็ซื้อซิมรับอย่างเดียว เอาเงินเทมาเซกมาผ่อนบ้านซะ ... จากคุณ : หลังเขา - [ 19 เม.ย. 49 09:37:49 A:146.23.250.18 X: TicketID:051024 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณทุกความเห็น ครับ เรื่องผ่อน หน่ะ ไหวอยู่แล้ว กำลังใจเต็มเปี่ยม มองล่วงหน้าไว้แล้วครับ ว่าต้องมากแน่ๆ สำหรับดอกเบี้ยลอยตัว ถ้าไม่ไหวยังมี พี่สาว อีกคน ( อยู่ด้วยกัน 2 คนพี่น้อง ) ตอนนี้อยากเป็นพระเอกครับ เลยผ่อนคนเดียว ไม่ได้เอยให้ช่วย เพียงแต่จะเลือกมองมันอย่างไรดีแค่นั้น ล่ะครับ  เผื่อคนอื่นที่ผ่านมาอ่านเจอแล้วเหตุการณ์ใกล้กันอาจจะประยุกต์กันได้ ขอบคุณอีกครั้ง ( คห 2 ของผมไปไหนหว่า โดนซะแล้ว ) จากคุณ : MK_RED - [ 19 เม.ย. 49 12:00:19 ]

ความคิดเห็นที่ 12 สู้ต่อไป 1.อีกหน่อยบ้านก็เป็นของเรา 2.เงิน 23000 แป๊บเดียวก็หมด นี่จะได้บ้านเชียวนะ 3.เมื่อหลุดจะภูมิใจสุดๆ จากคุณ : เริ่มใหม่ก็ได้ - [ 20 เม.ย. 49 13:00:07 ]

ความคิดเห็นที่ 13 never give up จากคุณ : plusfondue - [ 20 เม.ย. 49 14:04:01 ]