ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการ จะรู้ว่าการรับบัตรเครดิตมันมีค่าใช้จ่าย เค้าก็มาบวกส่วนนี้เพิ่มในค่าสินค้า หรือบริการ ใครใช้ก็ชาร์ต ใครไม่ใช้ก็ไม่ชาร์ต แฟร์จะตายไป บางร้านไม่ชาร์ตเพิ่ม 3% แต่บวกไปเรียบร้อยแล้วในราคา คนจ่ายเงินสดก็โดนไปด้วย ไม่อยากโดนชาร์ตก็จ่ายเงินสดไปซิครับ จากคุณ : s7014249 - [ 8 พ.ค. 49 11:04:13 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ชาร์จ เพิ่มจะได้มีกำไร จากคุณ : finding - [ 8 พ.ค. 49 11:48:36 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ร้านค้าที่จะเข้าระบบนี้ ก็เพราะว่า ต้องการให้ลูกค้าสะดวกในการชำระค่าสินค้า และมีโอกาสเพิ่มยอดขาย เพราะว่ามีการรับบัตรเครดิต ร้านที่ชาร์จเพิ่ม หรือ 300 บาทขึ้นไปถึงรับบัตร ผมไม่กล้าซื้อของร้านพวกนี้เลยครับ ผมคิดว่า เรื่องแค่นี้ยังขนาดนี้ แล้วเรื่องตัวสินค้า คุณภาพ ราคาตั้ง ฯลฯ จะขนาดไหน สมมติว่า ถ้าติดป้ายไว้ว่า ซื้อเงินสด ลดอีก 5% ทำแบบนี้จะดูมีน้ำใจกว่าอีก แม้ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเหมือนกัน ไม่ใช่ว่า ป้ายหน้าร้าน ติดป้ายรับบัตร พอลูกค้าจะซื้อ กำลังจะให้รูดบัตร กลับบอกว่า ต้อง 300 ขึ้นไป ไม่ก็ ขอชาร์จเพิ่ม ลูกค้าเสียเวลาครับ เพราะบางคนในจังหวะนั้นเขาก็ไม่ได้พกเงินสด หรือ มีไม่เพียงพอ ** กล้าเข้าระบบบัตรเครดิต แต่ ไม่กล้ารับบัตร ** จากคุณ : ตาดำๆ - [ 8 พ.ค. 49 11:50:43 A:125.25.131.158 X: TicketID:038237 ]

ความคิดเห็นที่ 4 "Cash is the KING" ครับ แต่ก็เคยรู้สึกเห็นใจตัวเองครับ เวลาที่ควักเงินสดจ่าย เทีบกับคนที่จ่ายบัตร แต่ไม่โดนชาร์จ สงสารตัวเองครับ ผมไม่มีบัตรสักใบ แต่เวลาจะซื้อของชิ้นใหญ่ จะต้องหลอกถามก่อนว่ารับบัตรมั้ย แล้วจ่ายบัตรชาร์จเพิ่มหรือเปล่า ถ้าไม่ชาร์จ ผมจะต่อราคาลงอีกประมาณ 3% ไม่ลดให้ก็ไม่ซื้อ โหดมาก็ต้องโหดไปครับ จากคุณ : Capo - [ 8 พ.ค. 49 12:02:25 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ร้องเรียนไม่ได้ครับ อย่าเข้าข้างตัวเองมากเกินไป ผู้ขายที่ charge เพิ่ม เขาคิดราคาสินค้าไม่ได้บวกความสะดวกส่วนนี้ไว้ จากคุณ : ชนชนะ - [ 8 พ.ค. 49 12:53:00 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผมว่าระบบนี้แฟร์ดีแล้วล่ะครับ เพราะถ้าไม่เรียกเก็บค่าใช้บัตรเครดิตกับคนใช้บัตรจริงๆ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็จะถูกเฉลี่ยเข้าไปในราคาสินค้าให้คนที่ไม่มีบัตรเครดิตต้องจ่ายด้วย คุณว่ามันยุติธรรมหรือเปล่าล่ะ ตัวผมก็ถือหลักว่า ถ้าเขาไม่ชาร์ตเพิ่มก็ใช้บัตรไป จะได้ไม่ขาดทุน เพราะเขาคิดค่าชาร์ตในราคาสินค้าไปเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าเขาชาร์ตเพิ่ม ไม่เดือดร้อนต้องขนเงินเป็นฟ่อน ก็จ่ายเงินสดไป แล้วจขกท จะไปร้องเรียนใครล่ะ บนบัตรเครดิตคุณมีเขียนไว้หรือเปล่าว่า "บัตรเครดิตนี้ใช้รูด ชำระหนี้ไว้ตามกฎหมาย เหมือนธนบัตร" จากคุณ : อวิรุืทธ์ - [ 8 พ.ค. 49 14:24:36 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เจอ charge 3% เข้าไปทีไร ลำบากผมต้องเดินไปกดเงินสดจาก ATM ทุกทีเลย เพราะไม่ใช่น้อยๆนะ บางทีจะรูด 5 หมื่น 3% เป็นเงิน 1500 บาทแล้วนะ จากคุณ : Mr.Submarine - [ 8 พ.ค. 49 15:13:49 ]

ความคิดเห็นที่ 8 สมัยก่อน บัตรเครดิตอะไรไม่รู้เคยระบุว่า หากพบร้านค้าคิด 3% หรือไม่รับกรณีต่ำใช้กว่า 300 บาท ให้แจ้งที่เจ้าหน้าที่ของบัตรดังกล่าว ไม่รู้เดี๋ยวนี้ยังมีหรือเปล่า จากคุณ : กกก (chadin) - [ 8 พ.ค. 49 15:58:24 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ที่ร้านค้าต้องชาร์ด 3% เพราะทางร้านก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้ธนาคารที่ดิวกัน 3% เหมือนกัน แล้วส่วนใหญ่ราคาสินค้าที่ตั้งไว้จะเป็นราคาเงินสด สินค้าส่วนใหญ่ไม่ใช่จะได้กำไรถึง 3% และถ้าเราบวก 3% รวมค่าสินค้าตั้งแต่แรกราคาของก็จะแพง พวกจ่ายเงินสด ก็ซื้อแพงไปด้วย ดังนั้นใครใช้บัตรเครดิตก็จ่ายค่าธรรมเนียมไป ก็แฟร์ดีแล้ว จากคุณ : เจ้เซี้ยม - [ 8 พ.ค. 49 17:22:20 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แล้วทำไมซื้อของตามห้างไม่ charge 3%  ละครับ พวก super market ไม่เสีย แต่เครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญจะเสีย 3% จากคุณ : TheBugMaker - [ 8 พ.ค. 49 18:08:41 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ผมว่าเป็นเถ้าแก่ยุคโบราณมากก่านะครับ ที่มาชาร์จจากลูกค้า ที่ออฟฟิศผมก็รับ แต่ไม่ชาร์จ และส่วนใหญ่ ร้านค้าต่างๆ ก็ไม่ได้เสีย 3% หรอก หาเรื่องมาเก็บลูกค้า (ออฟฟิศผมเสียแค่ 1.25%) เพื่อจะได้เพิ่มกำไรมากกว่า การรับบัตรเครดิต ก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่ง ที่เราต้องบริการลูกค้าที่ต้องการใช้บัตร มันเหมือนกับว่า ลูกค้ามาซื้อของ บางคนขอถุง บางคนไม่ขอถุง ผมถาม หน่อยว่า ค่าสินค้ารวมค่าถุงไปหรือยังครับ ทำไมถึงไม่บอกว่า ถ้าไม่เอาถุง ก็ราคานี้ ถ้าเอาถุงต้องเพิ่มเงิน มันถือเป็นค่าใช้จ่ายในการบริการลูกค้าครับ ที่ลูกค้าคนไหนจะใช้หรือไม่ใช้ก้ได้ มันวินๆ ครับ เพราะการรับบัตร ทำให้ลูกค้าตัดสินใจในการซื้อง่ายขึ้น ซื้อมากกว่าปกติ ซึ่งก็เหมือนกับว่าเราเสียค่าใช้จ่ายในการเพิ่มกำลังซื้อให้ลูกค้า ซึ้งก็วิน วินครับ และคิดดูว่า เดี๋ยวนี้คนมีบัตรมากแค่ไหน ยกเว้น สินค้าที่ขายราคาแบบไม่มีกำไรจริงๆ เช่นพวกตั๋วเครื่องบิน ซึ้งขายกันแบบเกือบๆ ทุน หากโดนชาร์จบัตรเครดิตอาจจะไม่เหลืออะไร ซึ่งตรงนี้ผมก็ยอมเสียค่าชาร์จ เพราะผมถือว่า หาที่อื่นในราคาเดียวกันและไม่ชาร์จได้ ที่สำคัญ ถือซะว่าเป็นค่าประกันที่ซื้อเพิ่ม เพราะซื้อกับบัตรจะแถมประกันการเดินทางมาให้ด้วย ที่พูดมาทั้งหมดคือ ถ้าหากว่าเราสามารถแบกรับได้ ก็ไม่ควรชาร์จกับลูกค้าครับ ส่วนบัตรที่บอกว่า ร้านไหนชาร์จให้แจ้ง ผมเคยเจอคือ AMEX ครับ แจ้งไปแล้วมีของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ให้ด้วยครับ เป็นกิฟเซ็ต ผมแจ้งไป ก็ได้รับการแจ้งกลับจาก AMEX ว่า ได้ยกเลิกการเป็นร้านค้ารับบัตรจากร้านดังกล่าวแล้ว จากคุณ : ละอ่อนดึก - [ 8 พ.ค. 49 20:15:31 ]

ความคิดเห็นที่ 12 จ่ายสด ลด3% ไปงี้ ยังดีกว่าบอกชารท์ เพิ่มครับ เจอแบบนี้แล้วเสียอารมณ์ จากคุณ : komy14 - [ 8 พ.ค. 49 21:20:34 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ผมก็ชาร์ตบ้างไม่ชาร์ตบ้าง  ถ้าเจอพวกเขี้ยวๆต่อเยอะ  จะรูดบัตรอีก  ร้านค้าจะเอากำไรจากไหนล่ะครับ  ลดให้เยอะแล้ว   ส่วนคนที่ไม่ต่อมาก  ก็หยวนๆไป ไม่ชาร์ตเขา     ส่วนที่ว่าบนห้างเขาไม่ชาร์ต  ก็เพราะเขาต่อรองกับทางเจ้าของบัตรได้ค่าทำเนียมน้อยกว่า  หรือเขาบวกไปกันสินค้าบางส่วน  จึงไม่ต้องชาร์ต     ไม่ได้จะว่าห้างนะครับ  แต่สินค้าราคาพอๆกัน  ผมว่าซื้อที่ร้านข้างนอก  ได้บริการหลังการขายดีกว่านะ   วันก่อนซื้อแอร์เครื่องใหญ่  ใช้ไม่ถึงเดือนมีปัญหา  ทางร้านเปลี่ยนใหม่ให้เลย  ดีจริงๆ  ถ้าซื้อบนห้าง ตัวใครตัวมันแน่เลย แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 49 22:50:19 จากคุณ : เถ้าแก่น้อย - [ 8 พ.ค. 49 22:49:22 ]

ความคิดเห็นที่ 14 จริงๆแล้ว charge ลูกค้าไม่ได้นะคะ มันผิดสัญญาที่ตกลงกันไว้ระหว่างร้านและ visa (ผ่านธนาคาร) เช่นในเว็บ visa เค้ามีเขียน policy ไว้ชัดเจน ว่า merchant ห้ามมา charge ต่อลูกค้าอีกทีนึง ใครเจอสามารถร้องเรียนไปได้ที่ visa หรือที่ธนาคารที่ใช้บัตร credit อยู่ (ส่วนจะร้องเรียนได้ผลมากน้อยแค่ไหนนั้นอีกเรื่องนึง) การที่ร้านรับบัตรเครดิตเป็น customer service อย่างนึง ต้องการลูกค้าเพิ่มขึ้นร้านก็ต้องรับภาระตรงนี้ไปเอง ไม่ใช่โยนมาให้ลูกค้า จากคุณ : yoUNique - [ 8 พ.ค. 49 23:32:24 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ใช่ครับ ไม่ควรโยนภาระให้ลูกค้า แค่ 3% ร้านออกเองไม่ได้เหรอ เพราะสินค้าชิ้นนึง ถ้าขายได้ กำไรมันเยอะกว่าไอ้ 3% นั้นมากครับ ไม่มีทางครับที่สินค้าชิ้นนึงจะกำไรแค่ 3% แล้วถ้าไม่ชาร์จลูกค้าจะทำให้ไม่มีกำไรจากการขายสินค้าชิ้นนั้น ถ้างั้นจะมาขายทำไม ถ้ากำไรแค่ 3% ร้านอยู่ไม่ได้หรอก อย่างน้อยๆกำไร 20% ครับ จากคุณ : Mr.Submarine - [ 9 พ.ค. 49 09:34:40 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เรื่องค่าธรรมเนียม 1-3% ของมูลค่าสินค้าเป็นเงินที่ร้านค้าต้องจ่ายให้แก่ธนาคารที่เป็นผู้ติดตั้งเครื่องรูดบัตร ไม่ใช่เก็บที่เราๆ ท่านๆ ซึ่งเป็นลูกค้า พบข้อมูล จาก visa อีกว่า ตามมาตรฐานสากลจริงๆแล้ว ห้าม Charge โดยเด็ดขาด ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่ทางบริษัท ผู้ออกบัตร เช่น Visa หรือ Master Card เอาจริงมาก ถ้าร้านใด ทำผิดเงื่อนไข ที่ตกลงกันไว้ จะถูกยกเลิก การรับบัตรทันที เพราะถือว่า ร้านค้าได้รับประโยชน์จากการรับบัตร มากมาย เช่น ขายของได้ราคาสูงขึ้น กว่าร้านที่ไม่รับบัตร เพราะผู้ซื้อของมักไม่พกเงินสดมากๆ , ได้เงินแน่นอนจากธนาคาร ทุกรอบบัญชี , ไม่เสี่ยงจากธนบัตรปลอม และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งควรจะชดเชยกับค่าธรรมเนียม หักลบกลบหนี้กันไปได้ ส่วนค่าธรรมเนียมที่ร้านค้าต้องจ่าย ก็ขึ้นกับประเภทสินค้า แต่ไม่ใช่สิ่งที่ลูกค้าควรต้องจ่าย! จากคุณ : DL - [ 9 พ.ค. 49 11:47:44 A:58.9.186.95 X: ]

ความคิดเห็นที่ 17 จริงๆแล้ว ทางธนาคารต่างหาก ที่ไม่ควร ชารจ์ การใช้บัตรจากร้านค้า เป็นรายครั้ง แบบนี้ นี่ถ้ายอดการ รูดมากๆ ร้านค้าก็อ่วมอ่ะสิ ถ้าจะคิดก็คิดเป็นแบบรายปีไปเลย เช่น 500บาท/ปี รูดกี่ครั้งไม่ ชารจ์ แบบนี้ดีกว่า ธนารได้น้อยหน่อยดีกว่า โยนภาระ ให้ร้านค้าและผู้บริโภค อีกอย่างถ้า ธนาคาร เขา ชารจ์มา แล้วเราไปบวกเพิ่มใน ราคาสินค้า ก็สู้พวกร้านที่เขาไม่รับบัตรไม่ได้ จริงไหม? ร้านค้ารายย่อย ราคามันต่อได้ ไม่เหมือนในห้างที่มีป้ายราคาแล้วต่อไม่ได้ นี่หน่า ถึงบวกไปได้เสร็จ ต้องเข้าใจ ร้านค้า รายย่อย บ้าง ก็ไม่อยากชารจ์ แต่ทำไงได้ล่ะ ไม่ชารจ์ ก็ขาดทุนแน่ และ ทำให้ราคาสูงกว่าร้านอื่นๆด้วย ถ้าจะเหมารวม จากคุณ : เอก - [ 9 พ.ค. 49 12:28:14 A:61.47.127.91 X: ]

ความคิดเห็นที่ 18 เรื่องจริง ในมุมมองของร้านค้า สินค้าบางอย่าง กำไร 2% ก็ต้องยอมขาย ถ้าไม่ชาร์ตลูกค้า แล้วร้านจะทำอย่างไรคะ ขาดทุน เจ็บตัว ปิดกิจการ (เห็นกันมาเยอะแยะ) ถ้าจะให้ชาร์ต 3% ไปในตัวสินค้า แล้วจ่ายเงินสดลดอีก 3% เท่ากับว่า ราคาตั้งก็บอกแพงแล้ว ใครจะซื้อละคะ มุมมองมันต่างกัน วันที่คุณเปิดร้าน แล้วเจอปัญหาแบบนี้ คุณจะเข้าใจ พวกคุณมองในแง่ของคนได้ประโยชน์ จากใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต แต่ผลักภาระให้ร้านค้า จากคุณ : เรื่องจริง (หนูจริงใจดี) - [ 9 พ.ค. 49 13:53:24 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คุณเอก ครับ แล้วธนาคารจะเอา "ดับเบิ้ลพ็อย" ที่ไหนมาให้ลูกค้าละครับ จากคุณ : ละอ่อนดึก - [ 9 พ.ค. 49 19:02:08 ]

ความคิดเห็นที่ 20 จริงๆแล้ว ทางธนาคารควร แยกการเก็บค่าธรรมเนียม ระหว่างร้านค้ารายย่อย กับพวก ห้าง หรือธุรกิจขนาดใหญ่ เพราะว่า ต้นทุนและการขายสินค้า มันก็แตกต่างกัน ถ้าให้คิดเหมือนกัน ร้านค้ารายย่อย ตายก่อนแน่ และในความเป็นจริง ธนาคารเก็บค่าธรรมเนียมจากห้างใหญ่ๆ,ปั๊ม เนี่ย แค่ประมาณ 1%-1.5% เท่านั้นเอง แต่ร้านค้ารายย่อยคิด 3% แล้วคิดว่า เงินทุนของรายใหญ่ๆอย่างห้าง กับ เงินทุนของร้านค้ารายย่อย อันไหนมันจะหนากว่ากัน ที่จะรองรับค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการรูดบัตร 1 ครั้ง นี่ยังไม่ได้พูดถึง ค่าโทรศัพท์นะ รูด 1 ที ก็ 3 บาทแล้ว จากคุณ : เอก - [ 9 พ.ค. 49 20:02:34 A:61.47.127.91 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 ฉนั้นร้านค้าไหนที่ ชาร์ตเราก็จะไม่ซื้อร้านนั้น และร้านค้าควรแจ้งให้ชัดเจนไว้หน้าร้านเลยว่ารับบัตรเครดิตแต่คิดค่า ชาร์ตกี่เปอร์เซ็นก็บอกกันไปเราจะได้ไม่ต้องเสียเวลา และไม่เสียอารมย์ด้วย เพราะเองไม่เห็นด้วยกับการชาร์ตบัตรเครดิตซึ่งมีอยู่ในข้อตกลงของบัตรเครดิต ที่อ่านมามี คห.ที่6 บอกว่าเพราะเขาคิดค่าชาร์ตในราคาสินค้าไปเรียบร้อยแล้ว นั้นเห็นจะไม่จริงเพราะราคาที่ติดไว้เป็นราคาเงินสด และไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนอื่นๆด้วยที่ไม่มีบัตร เรามาช่วยกันไม่ซื้อกับร้านค้าที่ชาร์ตเครดิตกันเถอะ หรือร้านค้าใดไม่อยากรับบัตรหรือมีความยุ่งยากก็ไม่ต้องรับบัตรไปเลย จากคุณ : ปลาออสก้า - [ 3 มิ.ย. 49 09:40:08 ]