ความคิดเห็นที่ 1 โดยปรกติหากศาลแรกพิจารณาตัดสินอย่างหนึ่งอย่างใดไปแล้ว ยากมากที่ศาลสูงจะพิพากษาพลิกคดี ไม่ได้หมายความว่ามีการเล่นพรรคเล่นพวกหรือต้องการรักษาหน้าตาหรอกครับ  แต่เพราะ-- ๑.ศาลล่างพิจารณาข้อฏหมาย ข้อเท็จจริง  ดูเหตุ-ผลประกอบหลายรอบ หลายสมอง  ถกเถียง อภิปราย ให้เหตุและผลกันมากมายแล้ว จึงถึงขั้นตอนลงมติพิจารณาตัดสินคดี ๒.ศาลสูงแม้จะพิจารณาข้อกฏหมาย   ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างรับฟัง อภิปรายถกเถียง หาเหตุหาผล  แต่ทุกท่านก็เรียนกฏหมายเดียวกันมา  หล่อหลอมในระบบเดียวกัน จึงยากมากที่จะพิจารณาให้แตกต่างกัน ยกเว้นแต่ศาลล่างจะเลินเล่อหรือสะเพร่า อย่างมาก ดังนั้น  ในกรณีนี้ผมฟันธงไปเลยครับ  ว่าศาลปกครองสูงสุดจะพิจารณาและตัดสินเหมือนศาลปกครองกลาง ก้อ---ไม่ทราบว่าธงจะหักหรือเปล่า..?? จากคุณ : กุษาณ - [ 13 พ.ค. 49 09:50:57 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ยกคำพิพากษาศาลฎีกา ไอทีวี ส่อแพ้คดีสัมปทาน ทำเนียบรัฐบาล -  "ไอทีวี"ส่อแพ้คดี  สปน.ยกกรณีตัวอย่างสัมปทานโรงงานสุราของกระทรวง การคลัง มีเอกชนยื่นประมูลเสนอผลตอบแทนอัตราสูงเพื่อเป็นผู้ทำและขายส่งสุรา แต่สุดท้ายผลประกอบการไม่รอดยื่นฟ้องศาลขอลดจ่ายเงินให้รัฐ ศาลฏีกาพิพากษา"ยอมตนเข้าผูกพันตามสัญญา"ตัดสินให้คลังชนะ เผยกลุ่มสยามทีวีหวังชนะคู่แข่งให้ผลตอบแทนจากทีโอาร์กำหนด 200-400 ล้านบาทต่อปีตลอดอายุสัมปทาน 30 ปี เพิ่มเป็น 300-1,000 ล้านบาทต่อปี    วันที่ 9 พฤษภาคม 2549 นี้  ศาลปกครองสูงสุดได้นัดฟังคำพิพากษาชี้ขาดกรณีสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ขอให้เพิกถอนคำสั่งคณะอนุญาโตตุลาการในสัญญาทางปกครองของไอทีวี    ขณะเดียวกันทางสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.)ได้มีการอ้างถึงคดีตัวอย่างที่มีการเกิดขึ้นเมื่อปี 2521 คดีดังกล่าวคล้ายกับข้อพิพาทระหว่างไอทีวีกับสปน. ซึ่งผลการสู้คดีปรากฏว่าผู้ยื่นขอสัมปทานโรงงานสุราจากกระทรวงการคลังเป็นฝ่ายแพ้คดี    แหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย "สยามธุรกิจ"ว่า  ข้อพิพาทเกี่ยวกับผลตอบแทนรายได้ให้กับรัฐระหว่างไอทีวีกับสปน. ซึ่งทางไอทีวีได้ลดจ่ายค่าสัมปานให้กับสปน.ตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการตั้งแต่ปี 2547  จากเดิมที่จะต้องจ่าย 900 ล้านบาท ลดลงเหลือ 230 ล้านบาท ปี 2548 จะต้องจ่าย 1,000 ล้านบาท ลดลงเท่ากัน 230 ล้านบาท และจะต้องจ่ายปีละ 230 ล้านบาทจนจะสิ้นสุดสัญญาสัปมทานปี 2568    จากข้อพิพาทดังกล่าวมีคดีตัวอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2521 ที่จะสามารถนำมาเป็นกรณีตัวอย่างได้ โดยกระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการประมูลเพื่อแต่งตั้งผู้รับทำและขายส่งสุรา ซึ่งจะต้องเสนอเป็นเงินค่าตอบแทนหรือผลประโยชน์ที่ผู้ประมูลต้องเสนอให้แก่รัฐเพื่อจะได้เข้าทำสัญญา  และได้ใช้ประโยชน์ในโรงงานสุราในฐานะผู้ทำและขายส่งสุราในเขตท้องที่จังหวัดนั้น    ผลการประมูลปรากฏว่า นายบรรจง  อุ่นพิกุลเสนอผลตอบแทนอัตราสูง ทำให้ชนะการประมูลเป็นผู้ทำและขายสุรา แต่ทำไประยะหนึ่งผลประกอบการขาดทุน ทางนายบรรจงจึงได้ฟ้องร้องกระทรวงการคลังเพื่อขอลดผลตอบแทนให้กับรัฐ    โดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีคำพิพากษาที่ 2125/2521 โดยคำพิพากษาตอนหนึ่งระบุว่า "โจทย์สมัครใจยื่นประมูลเพื่อให้ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ทำและขายส่งสุรา ยินยอมชำระเงินค่าธรรมเนียมพิเศษในอัตราสูง จนกระทั่งโจทก์เป็นผู้ประมูลได้  และได้เข้าทำสัญญากับกรมสรรพสามิตแล้ว โจทย์ย่อมถูกผูกพันในอันจะต้องปฏิบัติตามสัญญานั้น แม้ปฏิบัติตามสัญญาแล้วมีแต่ขาดทุนก็เป็นความสมัครใจของโจทย์ที่เข้าทำสัญญาทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเสียเปรียบ หาใช่เหตุทำให้การปฏิบัติตามสัญญาเป็นการพ้นวิสัยไม่ เพราะข้อสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัยนั้น ต้องเป็นกรณีที่ผู้ให้สัญญาไม่มีทางปฏิบัติได้เลย  และเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ได้ก่อหนี้ กรณีของโจทก์จึงมิใช่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยอันโจทก์จักไม่ต้องรับผิด"    "คดีนี้ถือเป็นคดีตัวอย่างของไอทีวี เพราะมีการเสนอผลตอบแทนที่สูงเพื่อชนะคู่แข่ง แต่พอทำธุรกิจไประยะหนึ่งขาดทุนกลับมาขอลดผลตอบแทน ซึ่งทำไม่ได้เพราะทางกฏหมายถือว่า "ยอมตนเข้าผูกพันตามสัญญา"แล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะเกิดการเอาอย่างเวลาประมูลก็จะมีการเสนอผลตอบแทนสูงไว้ก่อน หลังจากค่อยมาเจรจาขอลดผลตอบแทนลงทีหลัง"แหล่งข่าวจากสปน.กล่าว    สำหรับกรณีของไอทีวีเป็นคดีที่เกิดขึ้นทำนองเดียวกัน โดยเริ่มแรกการยื่นประมูลเพื่อขอดำเนินการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบ ยู เอช เอฟ ก่อนจะเรียกชื่อว่า "ไอทีวี"  ยื่นประมูลโดยกลุ่มสยามทีวี ได้เสนออัตราขั้นต่ำในการจ่ายเงินผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่รัฐบาล ปีที่ 3 หรือ ปี 2541  เป็นเงินขั้นต่ำ 300 ล้านบาท ปีที่ 4  จำนวน 400 ล้านบาท ปีที่ 5 จำนวน 500 ล้านบาท ปีที่ 6 จำนวน 600 ล้านบาท ปีที่ 7 จำนวน 700 ล้านบาท ปีที่ 8  จำนวน 800 ล้านบาท ปีที่ 9 จำนวน 900 ล้านบาท ปี 10 จำนวน 1,000 ล้านบาท ปีที่ 11-30 จำนวน 20,000 ล้านบาท    โดยรายได้ขั้นต่ำดังกล่าวถ้าหากมีรายได้ทั้งหมดที่บริษัทได้รับในรอบปีก่อนหักค่าใช้จ่ายและค่าภาษีใดๆ สูงกว่าก็จะเลือกอย่างหลัง โดยกำหนดอัตราไว้ดังนี้ ปีที่ 3 ร้อยละ 22.5 ปีที่ 4-6 ร้อยละ 35  ปีที่ 7-30 ร้อยละ 44    การเสนอผลตอบแทนของกลุ่มสยามทีวีครั้งนี้เป็นอัตราที่สูงกว่าที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขประกวดราคา โดยทีโออาร์ได้กำหนดไว้ ดังนี้ ปีที่ 1-2 ยังไม่ต้องจ่ายผลตอบแทนให้กับรัฐ ปีที่ 3  จ่ายผลตอบแทนให้รัฐ 200 ล้านบาท ปีที่ 4 จ่ายผลตอบแทนให้กับรัฐ 300 ล้านบาท  ปีที่ 5-30 จ่ายผลตอบแทน 400 ล้านบาท    อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มสยามทีวีเกรงว่าจะไม่ชนะคู่แข่งจึงเสนอผลตอบแทนในอัตราที่สูงดังกล่าวมาข้างต้นทำให้ชนะการประมูล แต่ต่อมาผลประกอบการขาดทุน จึงยกข้ออ้างตามสัญญาข้อ  5 (สุดท้าย) เพื่อขอลดการจ่ายค่าผลตอบแทนจาก 44% เหลือ 6.5% และลดการจ่ายผลประโยชน์ขั้นต่ำจาก 900 ล้านบาท เหลือ 230 ล้านบาทตลอดสิ้นสุดสัญญาปี 2568 โดยยึดจ่ายผลตอบแทนเท่ากับช่อง 7    ถ้าหากยึดตามคดีตัวอย่างของกระทรวงการคลังที่ศาลฏีกาพิพากษาไปแล้วไอทีวีไม่สามารถกระทำได้เนื่องจากเข้าเงื่อนไข "ยอมตนเข้าผูกพันตามสัญญา" มีการเสนอผลตอบแทนสูงกว่าคู่แข่งเพื่อชนะการประมูล ทั้งที่เงื่อนไขการประมูลกำหนดอัตราผลตอบแทนไว้ต่ำมาก จากคุณ : Mr.X-ray - [ 13 พ.ค. 49 20:12:06 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ง่า ขอบคุณพี่มากครับ ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องระบบศาลเท่าไหร่ _/|\_ มิน่า ข่าวออก ราคาไหลลงเหมือนแพ้คดีไปแล้ว สงสัยมีแวว โดน Delist ออกจากตลาด ==' จากคุณ : น้องส้มเด็กดี - [ 13 พ.ค. 49 20:12:09 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เห็นด้วยกับคุณ กุษาณ จากคุณ : Mr.X-ray - [ 13 พ.ค. 49 20:13:13 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ทำไมคุณน้องส้มเด็กดีถึงคิดว่าจะถูก delist หรือต้องเข้า rehabco ละครับ ตอนนี้ก็กลับไปเป็นเหมือนก่อนที่จะได้ลดค่าสัมปทานเท่านั้น ราคาก็กลับมาประมาณนั้นเหมือนกัน จากคุณ : น้องกล้วย ช่างสงสัย - [ 13 พ.ค. 49 21:10:01 A:58.136.75.183 X: TicketID:074894 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าคิดว่าจะต้องยึดถือสัมปทานแรกตลอดผมว่าคงไม่เสมอไป ต้องกลับไปดูว่ายุครัฐบาลชวนได้แก้ไขสัญญาสัมปทานอะไรไว้บ้าง หนึ่งในข้อสัญญาที่แก้คือเรื่องการถือหุ้นจากเดิมกำหนดให้ถือหุ้นได้ไม่เกิน 10% เป็นถือได้มากกว่า 10% ก็เลยทำให้กลุ่มชินสอดแทรกเข้าไปถือหุ้น itv ได้ เรื่องการลดสัมปทานนั้น ไม่ทราบว่ามีการแก้ไขสัญญาสัมปทานไปแล้วยัง ถ้ามี ผมว่า  itv ยังมีโอกาสชนะคดีได้อยู่ครับ ยกเว้นแต่ว่าเอาประเด็นเรื่องกระแสการเมืองมากดดันตัดสินด้วย ก็คงขึ้นอยู่กับสถานะการเมืองในขณะนั้นนั้น ซึ่งจะตกไปอยู่ฝ่ายใดก็ได้ทั้งนั้นครับ จากคุณ : vi3r - [ 14 พ.ค. 49 16:16:10 ]

ความคิดเห็นที่ 7 น่าจะแพ้น่ะสัมปทาน สามสิบปี จริงๆไม่ควรยอมให้เป็นตัวอย่าง ทีหลังจะประมูลอะไรก็จะได้รู้จักคิด จากคุณ : guyver - [ 14 พ.ค. 49 23:27:24 ]