CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    แฉ"เศรษฐี-นักการเมือง"เหนือเมฆ ใช้ตลาดหุ้นซิกแซ็กขนเงินออกนอก

    นักการเงินแฉกลวิธีมหาเศรษฐีนักธุรกิจ-นักการเมืองใช้ "ตลาดหุ้น" ขนเงินออกนอกประเทศ อาศัยช่องโหว่ โบรกเกอร์ไทยรู้เห็นเป็นใจทั้งๆ ที่ผิดกฎหมาย เผยมูลค่าซื้อขายหุ้นยุค "ทักษิณ" โป่งสุดๆ นักลงทุนต่างชาติ-นักลงทุนไทยเทรดกันกระจายมูลค่าซื้อขายรวมสูงสุดถึง 10 ล้านล้านบาท

    เป็นที่ทราบกันในวงกว้างว่ามหาเศรษฐีเมืองไทยทั้งที่เป็นนักธุรกิจและนักธุรกิจการเมือง ต่างมีทรัพย์สินอยู่ในเมืองนอกกันจำนวนมาก ซึ่งขบวนการขนเงินออกนอกประเทศที่ได้ทำกันมา อาทิ การใช้โพยก๊วน การนำเข้าสินค้าในราคาที่สูงเกินจริง การส่งออกที่โค้ดราคาซื้อขายต่ำกว่าราคาจริงเพื่อเก็บเงินไว้ที่ต่างประเทศ การเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นในต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งวิธีการหลังสุดนี้เป็นที่นิยมทำกันมากในปัจจุบัน ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้เป็นการรับรู้ในหมู่นักการเงินและเศรษฐีนักธุรกิจ/การเมือง

    กลวิธีใช้ตลาดหุ้นขนเงินออกนอก

    แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัทที่ปรึกษาการเงินรายหนึ่งกล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปัจจุบันนักธุรกิจ นักการเมืองระดับเศรษฐี หรือมหาเศรษฐีทั้งหลาย ได้มีการโยกย้ายเงินออกนอกประเทศหรือนำเข้ามาโดยไม่ต้องผ่านกฎกติกาการนำเงินเข้า-ออกของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยใช้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นตัวผ่านในการทำธุรกรรมดังกล่าว

    สำหรับวิธีการนั้นไม่ได้ซับซ้อน กรณีที่จะนำเงินออกออกประเทศ เริ่มต้นจากที่นักธุรกิจคนดังกล่าวเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับโบรกเกอร์ในประเทศไทย (สมมติชื่อโบรกเกอร์ ก.) และซื้อหุ้นเก็บเอาไว้โดยเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องเพื่อที่จะสะดวกในการสั่งขาย ต่อจากนั้นนักธุรกิจคนดังกล่าวเดินทางไปเปิดบัญชีการซื้อขายหุ้นกับโบรกเกอร์ในต่างประเทศ ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่จะนิยมไปเปิดบัญชีที่ประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง เพราะ 2 ประเทศนี้จะไม่มีข้อจำกัดในเรื่องการนำเงินเข้า-ออก และเป็นศูนย์กลางทางการเงินของเอเชีย (ไม่นับญี่ปุ่น) นอกจากนี้ยังมีกฎหมายที่ปกป้องเรื่องความลับของลูกค้าที่ดีที่สุด การเปิดบัญชีสามารถเปิดในนามกองทุนส่วนบุคคลซึ่งก็จะไม่เปิดเผยรายชื่อลูกค้าหรือสัญชาติของลูกค้าแต่อย่างใด

    กระบวนการสั่งขายกระทำผ่านบริษัทโบรกเกอร์ต่างชาติ สั่งออร์เดอร์ขายมายังบริษัทโบรกเกอร์ไทย (สมมติโบรกเกอร์ ข.) ซึ่งการสั่งออร์เดอร์ขาย สั่งในนามของโบรกเกอร์ต่างชาติ ไม่ใช่นักธุรกิจรายดังกล่าว และเมื่อถึงกระบวนการเคลียริ่งและชำระราคา ทางโบรกเกอร์ต่างชาติจะแจ้งทางโบรกเกอร์ไทย (ข.) ไปรับใบหุ้นที่โบรกเกอร์ไทย (ก.) ที่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นไว้ เมื่อเคลียริ่งหุ้นกันเรียบร้อยเงินก็จะโอนไปให้โบรกเกอร์ต่างชาติและโอนต่อให้นักธุรกิจรายดังกล่าว

    "ในทางกฎหมายเรียกว่าเป็นการขนเงินออกต่างประเทศโดยถูกต้องตามกฎหมาย แต่น่าจะเรียกว่าเป็นช่องโหว่ของกฎหมายที่เปิดให้ทำได้แต่ก็เป็นการรับรู้กันในวงจำกัด ซึ่งที่ปรึกษาทางการเงินก็จะรับรู้ถึงวิธีการดังกล่าวเป็นอย่างดีแต่ก็ไม่ได้เปิดเผย เพราะเป็นช่องทางที่ทั้งนักธุรกิจ นักการเมืองระดับเศรษฐีทั้งหลายใช้เป็นช่องทางในการนำเงินเข้าออกประเทศ เพื่อความสะดวกในการจัดการหรือการเก็งกำไร"

    แหล่งข่าวรายเดิมกล่าวต่อว่า ตามปกติแล้วโบรกเกอร์ ก.จะโอนหุ้นไปให้โบรกเกอร์ ข.เพื่อเคลียริ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎ ไม่สามารถทำได้ แต่ขบวนการที่ทำกันอยู่เนื่องจากเป็นลูกค้ารายใหญ่ เป็นลูกค้าที่อิทธิพล มีอำนาจทางการเมือง จึงสามารถสั่งการให้โบรกเกอร์รายนั้นๆ โอนหุ้นได้ และเรื่องนี้เป็นการอาศัยช่องโหว่เนื่องจากการตรวจสอบที่หย่อนยาน

    ขณะที่แหล่งข่าวในวงการโบรกเกอร์อีกรายให้ความเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการทำผิดกฎระเบียบตลาดหลักทรัพย์ฯ และการที่จะทำเช่นนั้นได้จะต้องผ่านบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ การจะทำได้ต้องเป็น การรับรู้ร่วมกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนัก โดยเฉพาะโบรกเกอร์ต่างประเทศที่จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายในกำกับดูแลอยู่

    "ฝรั่งหัวดำ" เล่นหุ้นไทย

    แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า วิธีการที่จะนำเงินออกต่างประเทศจำนวนมากๆ โดยผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกรณีนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯก็มองว่าเป็นนักลงทุนต่างประเทศ ขณะที่ทางโบรกเกอร์ไทยก็จะไม่รู้ว่าลูกค้าที่แท้จริงของโบรกเกอร์ต่างประเทศที่ส่งออร์เดอร์มานั้นเป็นใคร เพราะออร์เดอร์ของโบรกเกอร์ต่างประเทศก็จะส่งมาเป็นลอตใหญ่ๆ ซึ่งอาจจะมีคำสั่งซื้อขายของลูกค้าหลายๆ รายรวมอยู่ด้วยกัน

    "ด้วยวิธีการดังกล่าวนี้ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯไม่รู้ว่านักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาซื้อขายหุ้นนั้นแท้จริงแล้วเป็นนักลงทุนไทยที่ไปเปิดบัญชีเล่นหุ้นต่างประเทศเท่าไร ดังนั้นเม็ดเงินที่คนไทยมองว่าเป็นการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาตินั้นอาจจะไม่ใช่ทั้งหมด"

    ยุค "ทักษิณ" วอลุ่มต่างชาติกระฉูด

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบข้อมูลมูลค่าการซื้อขายหุ้นรวม (มูลค่าซื้อบวกมูลค่าขาย) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่าตัวเลขการซื้อขายในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จาก 3.1 ล้านล้านบาท ในปี 2544 ขึ้นมาสูงสุดที่ 10 ล้านล้านบาท ในปี 2548 และมูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติจากระดับ 587,619 ล้านบาท ในปี 2544 ขึ้นมาเป็น 2.248 ล้านล้านบาท ในปี 2548 เช่นเดียวกับมูลค่าการซื้อขายรวมของนักลงทุนทั่วไปในประเทศจาก 2.44 ล้านล้านบาท ในปี 2544 ขึ้นมาสูงสุดในปี 2546-2547 มูลค่า 7 ล้านล้านบาท

    แหล่งข่าวในวงการโบรกเกอร์ให้ความเห็นว่า ขบวนการขนเงินออกนอกประเทศโดยใช้ตลาดหุ้นนั้นทำกันมานานแล้ว ส่วนประเด็นที่จะบอกว่ามีการทำมากขึ้นในยุคนี้หรือไม่ ไม่สามารถที่จะยืนยันเช่นนั้นได้ แต่ถ้าดูจากมูลค่าและปริมาณการซื้อขายหุ้นในช่วงรัฐบาลชุดนี้ถือว่ามีความคึกคักมากเป็นพิเศษกว่าในยุคก่อนหน้านี้หลายเท่าตัว

    ชูเคส "แอมเพิล ริช"

    แหล่งข่าวในวงการโบรกเกอร์รายเดิมได้กล่าวว่า หากย้อนกลับไปดูรายงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่ชี้แจงกรณีการร้องเรียนเรื่องสัดส่วนการถือหุ้น ชินคอร์ปของแอมเพิล ริช (ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งอยู่ที่บริติชเวอร์จิน) มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และตั้งข้อสังเกตว่าแอมเพิล ริช ซื้อๆ ขายๆ หุ้นชินคอร์ปหรือไม่โดยผ่านนอมินีทั้ง 4 ราย ทั้งนี้สำนักงาน ก.ล.ต.ได้รายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณขายหุ้นชินคอร์ปจำนวน 32.92 ล้านหุ้น ให้แอมเพิล ริช ในราคาพาร์ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2542 และหุ้นดังกล่าวได้ฝากไว้ที่คัสโตเดียนและโบรกเกอร์ที่เกี่ยวข้อง 4 ราย ได้แก่ 1.วิกเกอร์บัลลาส สิงคโปร์ 2.ยูบีเอส เอจี สิงคโปร์ 3.บริษัทหลักทรัพย์ดีบีเอส วิกเกอร์ และ 4.บริษัทหลักทรัพย์ แอสเซทพลัส จำกัด (ก่อนที่จะขายใบอนุญาตให้ธนาคารกสิกรไทย) โดยระบุว่าสัดส่วนที่เปลี่ยนแปลงนั้นเป็นการโอนหุ้นไปมาระหว่างทั้ง 4 รายนี้ โดยไม่มีการซื้อขายแต่อย่างใด

    http://www.matichon.co.th/prachachart/prachachart_detail.php?s_tag=02p0105290549&day=2006/05/29

    จากคุณ : อ่านขาด - [ 29 พ.ค. 49 08:23:19 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป