ความคิดเห็นที่ 1 ใจเย็นๆครับพี่ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เฮ้อ.............. จากคุณ : GABLIEL - [ 7 มิ.ย. 49 16:20:48 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เห็นด้วย จากคุณ : sZack - [ 7 มิ.ย. 49 16:21:08 ]

ความคิดเห็นที่ 3 แล้วการเมืองเปนเป็ดง่อยอีก .... **** แบงค์ชาติปราศจากการแทรกแซง แล้วเปนไง? เวลา ศก.ดิ่งเหว แบงค์ชาติก็ลอยตัวไม่เคยต้องรับผิดชอบ ใครเปนรัฐาลก็ โชดดีไป ***** ถ้า ทรท.หรือ ปชป. โดนยุบพรรคอีก การเมืองก็กลายเปนปัญหาอีก คิดแล้วปวดหัว จากคุณ : มีใครไทยแลนด์ - [ 7 มิ.ย. 49 16:22:32 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เห็นด้วย เหมือนคุณ sZack.... <ยิ้ม> จากคุณ : Mr.Zack - [ 7 มิ.ย. 49 16:36:12 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ผมมองเป็น 2 ระยะครับ ระยะสั้นการขึ้นดอกเบี้ยจะช่วยป้องกันการไหลออกของเงินตราสกุลต่างประเทศ ซึงก็อาจส่งผลดีในการดึงเงินตราต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น หรือตราสารหนี้ของไทยในระยะเวลาอันใกล้ ซึ่งอาจช่วยให้ค่าเงินแข็งขึ้น และกดให้เงินเฟ้อ (สินค้าที่มี import content สูง) ได้บ้าง อย่างไรก็ตามในระยะยาว การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้อาจมีผลซ้ำเติมเศรษฐกิจมากกว่าผลระยะสั้นที่ได้รับ กระแส NPL ส่งสัญญาณบ้างแล้ว โดยเฉพาะสินเชื่อบุคคล ระยะเวลาหายใจของตลาดหุ้นไทยคงเหลืออีกซักเฮีอก สองเฮือกใหญ่ๆ (1-2 ไตรมาส) ที่เงินตราต่างประเทศไหลเข้า หลังจากนั้นเมื่อตัวเลขเศรษฐกิจของไทยออกมาเป็นลบ ผลจากการขึ้นดอกเบียครั้งนี้ คงเป็นขาลงรอบใหญ่ ใหญ่กว่าครั้งนี้ครับ เสริม ผมมองว่ากลุ่มธนาคารอาจสาหัสได้ใน q3-q4 ครับ เพราะต้นทุนสูงจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ปล่อยกู้ก็ยากขึ้น เพราะคุณภาพลูกค้าแย่ลง ธุรกิจเสียหายหลาย sector ลูกค้าดีเดิมก็อาจกลายเป็น NPL ได้ง่ายๆ ต้องสำรองหนี้กันอีกเท่าไร การแข่งขันก็สูงขึ้น โห... ยิ่งคิดก็ยิ่งมีแต่ปัจจัยลบ เลิกคิดดีกว่า 555 จากคุณ : *John* - [ 7 มิ.ย. 49 16:49:16 ]

ความคิดเห็นที่ 6 บริหารตามตูดฝรั่งครับ ไม่ต้องคิดมาก รับชะตากรรมกันต่อไปพี่น้อง จากคุณ : พ่อน้องไอซ์ - [ 7 มิ.ย. 49 16:49:10 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่ต้องห่วงจ้ะ เดี๋ยวปลายปีก็ลงแล้ว จากคุณ : อิกคิวซัง in Thailand - [ 7 มิ.ย. 49 17:02:49 ]

ความคิดเห็นที่ 8 สกัดเงินเฟ้อ   จริงๆ แล้วยังไม่สมควรขึ้น  แต่อย่างว่าพวกนี้มันไม่ค่อยมีหนี้ มันไม่เดือดร้อนหรอก จากคุณ : Jack Wealth - [ 7 มิ.ย. 49 17:10:16 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ลองอ่านข้อมูลก่อนนะครับ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นางอัจนา ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุม กนง.มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี) ระยะ 14 วัน อีกร้อยละ 0.25 มาที่ร้อยละ 5.0 เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ธปท.ใช้ดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นดอกเบี้ยนโยบายในการส่งสัญญาณชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ เนื่องจากราคาน้ำมันปรับสูงกว่าที่คาดไว้มาก มีผลทำให้เงินเฟ้อสูงกว่าที่คาดไว้เดิมอย่างชัดเจน จึงมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินนโยบายการเงินในแนวทางเดิม จึงมีมติให้ขึ้นดอกเบี้ย ส่วนดอกเบี้ยขณะนี้ เห็นว่ามีความเหมาะสมแล้ว หากเงินเฟ้อไม่เพิ่มกว่าที่คาด และถ้าไม่มีเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย โดยเฉพาะการเร่งตัวอย่างต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้น่าจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว ก่อนหน้านี้ ธปท.ตั้งเป้าเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมหมวดสินค้าอาหารสดและพลังงาน อยู่ที่ร้อยละ 0-3.5 การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาร์/พีในครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 13 ของ ธปท. นับตั้งแต่เดือน ส.ค.2547 จากข่าวตรงนี้ การปรับดอกเบี้ย R/P จะส่งผลกระทบกับต้นทุนการเงิน Financial Cost ของ ธุรกิจที่สูงขึ้น ธุรกิจที่มี DE สูง คงกระทบมาก เพราะเจอ 2 เด้ง ทั้งต้นทุนวัตถุดิบ พลังงานที่สูงขึ้น จากราคาน้ำมันที่สูง แถมถ้าหนี้สินมากขึ้น ก็มีความเสี่ยงในเรื่องดอกเบี้ยจ่ายที่สูง ดังนั้น ตรงนี้ต้องไปวิเคราะห์ว่าธุรกิจใดที่มีความได้เปรียบในแง่ที่สามารถผลักต้นทุนไปยังลูกค้าต่อได้ และมีหนี้สินไม่มาก ลูกค้ารายย่อยโดยเฉพาะระดับปานกลางถึงต่ำคงกระทบกลับเรื่องกำลังซื้อในสินทรัพย์ที่ต้องใช้เงินกู้ เช่น บ้าน รถยนต์ เพราะดอกเบี้ยสูงขึ้นก็ต้องผ่อนชำระในอัตราที่สูงขึ้น ธนาคารพาณิชย์ คงต้องบริหารความเสี่ยงรัดกุมมากขึ้น เพราะเมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้น ทำให้การคำนวณความสามารถในการชำระหนี้ของกิจการต้องมี IRR ที่สูงขึ้น โอกาสธุรกิจที่จะกู้เงินก็คงยากขึ้น แต่ข้อดีก็คือเมื่อโครงการกู้ยืมกู้ได้ยากขึ้น ทำให้โครงการที่จะอนุมัติเงินกู้ต้องเป็นโครงการที่ดีและกำไรดีจริง ๆ จึงจะกู้ผ่าน แต่ การปรับโครงสร้างหนี้คงทำได้ยากขึ้น เพราะ เมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้น ต้นทุนการเงินของธนาคารในรูปเงินฝากสูงขึ้น การผ่อนปรนอัตราดอกเบี้ยต่ำ ๆ ก็คงทำได้ยากขึ้น เงินทุนต่างประเทศน่าจะไหลออกน้อยลง เงินฝากเริ่มน่าสนใจฝากมากขึ้น ดอกเบี้ยระยะสั้นคงได้อัตราดอกเบี้ยที่ดีขึ้น คนมีเงินฝากก็จะยิ้มออกมากขึ้น ตอนนี้คงต้องเริ่มทำการบ้านกันให้มากขึ้น เพื่อดูว่าภายใต้ปัจจัยเสี่ยงแบบนี้ ทั้งเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยสูง GDP ชะลอตัวลง ใครจะมีภูมิต้านทานได้ดีกว่ากัน ช่วงนี้คงต้องดูว่าบริษัทใดมี DE ต่ำ หรือไม่มีหนี้เลย แถมยังมีกระแสเงินสดที่แข็งแรงที่สามารถนำเงินมาลงทุนขยายงานแทนที่จะกู้เงินมาลงทุนครับ จากคุณ : ต่างมุมมอง (ต่างมุมมอง) - [ 7 มิ.ย. 49 17:14:32 ]

ความคิดเห็นที่ 10 นโยบายการเงินมันต้องใช้เวลาประมาณ 9 เดือน- 1 ปี ถึงเห็นผล ไม่แน่ว่าที่ ศก. ชะลอตัวช่วงนี้อาจเป็นผลจากดอกเบี้ยเมื่อปลายปีที่แล้วก็ได้ ดังนั้น ไอ้ที่ขึ้นๆมา 2-3 ที จากต้นปี กว่าจะออกผลก็ปฃายปี ก็คิดกันเองละกันครับ ว่าจะเป็นไง จากคุณ : kab - [ 7 มิ.ย. 49 17:17:49 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นข่าวว่า GDP ไตรมาสหนึ่งโต 6% ตัวเลขคนว่างงานยังต่ำอยู่ ก็เลยต้องแตะเบรกหน่อย ตัวเลขเงินเฟ้อของไทยนี่ยังน่าเป็นห่วงครับ ก่อนหน้านั้นเล่นขับเศรษฐกิจแบบซิ่งเกินไปหน่อย เอาใจผู้โดยสารใจร้อน อีกอย่างแนวโน้มธนาคารชาติทั่วโลกมองไปทางเดียวกันว่าราคาอสังหาและหุ้นทั่วโลกสูงเกินเหตุ เพราะดอกเบี้ยยังถูกเกินไป การเก็งกำไรในหลักทรัพย์ยังมีสูงไม่น่าไว้วางใจ ดอกเบี้ยธนาคารกลาง 5-6% ยังเป็นเรื่องขี้ผง สูงแบบ 9-10% ก็เคยเห็นมาแล้วไม่ใช่หรือครับ พวกเก็งกำไร condo ประเภทซื้อใบจองทีละหลายๆใบต้องระวังการติดดอยนะครับ จากคุณ : ม. ๓ (Seaview) - [ 7 มิ.ย. 49 17:22:31 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ต้องดูข้อมูลทุกด้านครับ คนที่เป็นกรรมการ กนง. เขาต้องดูข้อมูลทุกๆเรื่อง เรื่องเงินเฟ้อเพราะ cost push เขาก็ทราบ แต่จะต้องดูผลกระทบด้านอื่นๆด้วย ไม่ว่าเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน กระแสเงินระหว่างประเทศ ฯลฯ อีกมากมาย เชื่อและมั่นใจว่า กรรมการ หลายคนใน กนง.ไม่ได้ซื่อบื้อแบบที่หลายคนวิจารณ์ แน่นอนครับ คนที่เดือดร้อนจากนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ย คงเป็นพวกที่มีหนี้มากกว่าเงินทุน หรือพวกใช้จ่ายเกินตัว ก็จะต้องได้รับผลกระทบมากที่สุด จากคุณ : ลุงเต่า - [ 7 มิ.ย. 49 18:20:12 ]

ความคิดเห็นที่ 13 สงสัยว่าแบงค์ชาติแอบวางยารัฐบาลรักษาการหรือเปล่า? ค่อนข้างเห็นด้วยกับหลายความเห็นข้างบนที่ยังไม่ควรขึ้นอัตราดอกเบี้ย  ซึ่งจะเป็นการไปซ้ำเติมเศรษฐกิจ สถานการณ์ของไทยกับมะกันต่างกันมาก  การเดินนโยบายตามก้นมะกันตลอดไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาของชาติได้เลย  ที่ประเทศมะกันมีการใช้สัดส่วนหนี้ที่สูง  เพื่อมาใช้ในการเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์  หุ้น โภคภัณฑ์ และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต่างๆ  เป็นต้น  ส่วนของไทยมีขนาดเล็กกว่ามะกันมากจนเทียบกันไม่ได้เลย การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของแบงค์ชาติ  ไม่ได้กระทบแค่สินเชื่ออย่างเดียว  แต่ที่ได้รับผลกระทบกันมากคือผู้ประกอบการ  ถามว่าระหว่างน้ำมันกับอัตราดอกเบี้ย  ถ้ามันต้องขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง  ผู้ประกอบการอยากให้อย่างไหนขึ้น?  ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ก็ต้องเลือกน้ำมัน  เนื่องจากต้นทุนน้ำมันที่เพิ่มขึ้นสามารถผลักภาระไปให้ผู้บริโภคได้  ส่วนดอกเบี้ยไม่ได้  เนื่องจากน้ำมันเวลาขึ้นก็ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นกันทุกกิจการ  ขณะที่ดอกเบี้ยกิจการที่มีหนี้มากก็รับภาระมาก  กิจการที่มีหนี้น้อยก็รับภาระส่วนนี้น้อยไปตามสัดส่วน  หากกิจการที่มีต้นทุนดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นไปเพิ่มราคาสินค้า  ขณะที่อีกกิจการมีหนี้สินน้อย  ทำให้เสียดอกเบี้ยน้อยไม่ขึ้นราคาสินค้า  กิจการที่ขึ้นราคาก็จะขายสินค้าได้น้อยลง ส่วนการคุมเงินเฟ้อนั้นฟังแล้วแปลกๆ  ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากการที่ราคาวัตถุดิบในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น  ซึ่งเกิดจากการเก็งกำไรกันสูงของพวกสารพัดกองทุน  การขึ้นดอกเบี้ยในไทยไม่ได้ช่วยทำให้ราคาสินค้าลดลงได้เลย สุดท้ายเห็นเป็นห่วงกันจังกับเงินทุนระยะสั้นจะไหลออก  และจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อน  หากไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามมะกัน  ในทางกลับกันกับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้น  เมื่อผู้ส่งออกนำไปแลกเปลี่ยนจาก USD เป็นเงินบาทมันหายไปเท่าไหร่? ตรงนี้ไม่เห็นจะห่วงกันสักเท่าไหร่  จากที่แข็งค่าขึ้นมา 3 บาทต่อ 1 USD  ยอดส่งออกในแต่ละเดือนเกือบหมื่นล้านยูเอสดี  ตั้งแต่ต้นปีหายไปจากระบบเท่าไหร่? ซึ่งเงินตรงนี้มันจะหมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจไทยจริง  ไม่ใช่เงินทุนระยะสั้นที่เข้ามาเก็งกำไร  เสร็จแล้วก็ขนเงินพร้อมทั้งกำไรออก  ซึ่งคนไทยได้ประโยชน์กับส่วนนี้ไม่น่าจะมากครับ แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 49 18:36:47 จากคุณ : GS Mobile - [ 7 มิ.ย. 49 18:33:38 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ปจจัยหลักของเงินเฟ้อมาจาก น้ำมันแพง การขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น ราคาน้ำมันจะถูกลง ต้นทุนบริหารก็น่าจะต่ำลง นะ มันคงไม่แย่มากขนาดนั้นละมัง ยกเว้นกรณีเดียว รากหญ้าติดหนี้กันเยอะ อันนี้ เซ้งได้เยอะ จากคุณ : i-angel - [ 7 มิ.ย. 49 18:39:01 A:161.200.153.143 X:161.200.255.164 TicketID:111128 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เห็นด้วยกับคุณต่างมุมมองครับ เอ ... แต่ใครนะที่จะยิ้มออก   ผมเคยแสดงความเห็นเรื่องนี้ มาแล้วน่ะ ต่อไปก็เป็นการออกพันธบัตร จากคุณ : GABLIEL - [ 7 มิ.ย. 49 19:03:34 ]

ความคิดเห็นที่ 16 มีโอกาสเกิด stagflation สูงมาก ผมว่าแบงค์ชาติควบคุมการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า จากคุณ : ultraguy (Ultraguy) - [ 7 มิ.ย. 49 19:29:43 ]

ความคิดเห็นที่ 17 FED หรือ แบ๊งค์ชาติจะหลงทางหรือไม่? ไม่สำคัญครับ พวกนักลงทุนอย่าหลงทางนะครับ เพราะถ้านักลงทุนหลงทางทีไรก็เจ็บตัวทุกที.. จากคุณ : ม. ๓ (Seaview) - [ 7 มิ.ย. 49 21:08:04 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ตายแน่ๆครับ ประเทศเรายิ่งบริหารแบบการคลังนำการเงินอยู่ด้วย จากคุณ : Bomb308 - [ 7 มิ.ย. 49 21:30:27 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เรายิ้มครึ่งนึง  ไม่ยิ้มครึ่งนึง และแล้ว วันนี้ก็มาถึง จากคุณ : แนนแนน - [ 7 มิ.ย. 49 22:11:45 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องของศาสตร์และศิลป์ ถกเถียงกันได้หลายวิธีแต่จะพิสูจว่าใครผิดหรือถูกจะลำบากหน่อย เพราะตัวแปรมันมีเยอะ และยังใช้เวลานานด้วยที่จะพิสูจได้ สมมติว่าแบงค์ชาติประกาศยุติการขึ้นดอกเบี้ยที่ 4.5% ในขณะที่เงินเฟ้อวิ่งอยู่ที่ 6.5% นโยบายดอกเบี้ยติดลบนี้หมายความว่ากำลังซื้อของเงินบาทจะลดลงปีละ 2% แล้วสมมติว่าถ้า FED จะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อปราบเงินเฟ้อไปที่ 6% เพื่อที่จะไม่ให้เงินเฟ้ออเมริกาวิ่งเกิน 3% ดอกเบี้ยอเมริกาจะมี positive spread 3% นโยบายนี้หมายถึงการลดค่าเงินบาทปีละ 5% อะไรจะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยและเงินบาท? ผมว่าเงินบาทเละครับ นักการเมืองและเศรษฐีไทยจะตุน dollar เพื่อรักษากำลังซื้อของเขา ผู้ส่งออกชลอการนำเข้าเงิน dollar เพื่อเก็งกำไร นักเก็งกำไรค่าเงินพวก hedge funds สั่ง short baht อย่างเดียวเพราะถือว่ารัฐแจกเงินฟรี ฝรั่งที่ถือหุ้นไทยหลายแสนล้านบาทสั่งขายหุ้นเพื่อเอา dollar นโยบายดอกเบี้ยติดลบทำให้คนเก็งกำไรที่ดินและคอนโดมากขึ้น สภาพคล่องหายหมด ดอกเบี้ยทางการอาจจะดูว่าถูกแต่ไม่มีธนาคารยอมปล่อยเงิน นักธุรกิจต้องกู้นอกระบบในอัตราดอกเบี้ยที่สูง ราคาสินค้านำเขาถีบตัว ถ้ารัฐพิมพ์เงินอัดเขาระบบเพื่อเสริมสภาพคล่อง เงินบาทดิ่งตัวลงต่อ เงินเฟ้ออาจจะวิ่งไป 10% เศรษฐกิจไทยเจ้งอีกรอบ ผมหวังว่าที่เขียนมาคงไม่เกิด เพราะเป็นข้อสมมติทั้งสิ้น แต่ถ้าวันไหน รมตคลังหรือนายก สั่งปลดผู้ว่าแบงค์ผมคงจะต้องตุนทองละครับ ดอกเบี้ยอเมริกาขึ้น จีนก็ขึ้น อีกไม่นานญี่ปุ่นก็จะขึ้น ยุโรปก็จะขึ้น อย่าไปสวนกระแสโลกเลยครับถ้าไม่อยากเจ้งไว.. FED หลงทางได้ แบงค์ชาติหลงทางได้ รัฐบาลหลงทางได้แต่นักลงทุนอย่าหลงทางนะครับ.. จากคุณ : ม. ๓ (Seaview) - [ 8 มิ.ย. 49 06:07:33 ]

ความคิดเห็นที่ 21 หากไม่ทำอย่างนั้นแล้วจะเกิดแบบนี้จริงเหรอ?  สภาพแวดล้อมของแต่ละประเทศแตกต่างกัน...ปัญหาที่แต่ละประเทศเผชิญย่อมไม่เหมือนกัน...การใช้เครื่องมือแบบเดียวกันจะทำให้ผลลัพธ์ออกมาเหมือนกัน? การอ้างอิงแต่ตำรา  ตามแต่ก้นฝรั่ง...หากเกิดแบบนี้...ต้องทำอย่างนี้...ทำให้เกิดแบบนี้ตามมา...หากไม่ทำแบบนี้...จะทำให้เกิดแบบนั้น...เสมือน 1+1 ต้องเท่ากับ 2 เสมอ ?...ก็ทำให้หลายประเทศเจ๊งมาแล้ว...ขณะที่มีหลายประเทศที่ทำนอกกรอบของฝรั่งเอาตัวรอดจากวิกฤตมาแล้วก็มี... แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 49 07:21:41 จากคุณ : GS Mobile - [ 8 มิ.ย. 49 07:21:04 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ความรู้ทุกอย่างก็มาจากตำราครับ นโยบายเศรษฐกิจทุกรูปแบบไม่ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยหรือลดดอกเบี้ย ค่าเงินแข็งค่าเงินอ่อน ค่าเงินคงที่ นโยบายการคลังแบบขาดดุลหรือเกินดุล หรือสมดุล ก็มาจากตำราฝรั่งทั้งนั้น เพียงแต่จะเอาตำราเล่มไหนมาอ้างอิงเท่านั้น ที่ว่ากันว่าทำนอกกรอบไม่ตามก้นฝรั่งแล้วสำเร็จ เป็นการคุยโม้ครับ เพราะเท่าที่รู้มาก็ตามก้นฝรั่งทั้งนั้น เพียงแต่ตามก้นฝรั่งคนไหน เศรษฐศาสตร์สูตรไทยแท้ยังไม่มีคนแต่งตำราออกมา ทุกนโยบายมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ผมว่าคนวางนโยบายคงชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียของแต่ละนโยบายตามข้อมูลที่เขามีอยู่แล้ว จากคุณ : ม. ๓ (Seaview) - [ 8 มิ.ย. 49 07:52:56 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ใช้แนวเศรษฐกิจพอเพียงซิครับ ตามแนวคิดในหลวง ไม่ตามฝรั่ง จากคุณ : GABLIEL - [ 8 มิ.ย. 49 08:22:51 ]

ความคิดเห็นที่ 24 นอกกรอบนี่คือนอกกรอบจากที่ทางฝรั่งตีกรอบมาให้ครับ...ไม่ใช่ว่านอกตำรา...เครื่องมือมีหลายอย่าง  เราจะเลือกใช้อะไรก็ควรพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมภายในของเราก่อน...คนอื่นใช้เครื่องมือแบบไหน  เราก็ต้องใช้แบบนั้น?...เหมือนคนแน่นจมูกหายใจไม่ค่อยออก  แล้วเอายาแก้ไอให้กินจะหายหรือเปล่า? เศรษฐศาสตร์เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์  การนำศาสตร์ไปใช้ย่อมไม่เหมือนกันทุกคน  อย่างการบริหารธุรกิจก็เช่นเดียวกัน  ปัญหาที่เผชิญแบบเดียวกัน  แต่การมองวิธีการที่จะใช้แก้ปัญหาต่างกัน  บางทีการมาถกกันเพื่อหาความถูกผิดก็ลำบากครับ จากคุณ : GS Mobile - [ 8 มิ.ย. 49 08:26:03 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ผมยังมองว่าการใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ ตามที่พวกพี่ๆเสนอ (ดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินเฟ้อ) ไปสวนกระแส FED ซึ่งกำลังจะทำให้ดอกเบี้ยอเมริกาสูงกว่าเงินเฟ้อถึง 2-3% เป็นนโยบายลดค่าเงินบาทแบบกรายๆ ถ้ารัฐบาลไทยกล้าทำผมว่า hedge funds กล้า short baht แน่นอน เงินทุนสำรองของไทย US$ 50,000 ล้าน อาจจะดูว่าเยอะ แต่ hedge funds จะมองว่าเป็นหมูชิ้นโต หรือรายการแจกตังค์ฟรีอีกรอบก็ได้ครับ จากคุณ : ม. ๓ (Seaview) - [ 8 มิ.ย. 49 08:50:55 ]

ความคิดเห็นที่ 26 การคาดการณ์ที่กล่าวเป็นไปได้หมด แต่อยากให้แบงค์ชาติมองเศรษฐกิจบ้านเราที่ไม่เหมือนกับอเมริกา อย่าไปยึดติดกับตำราต่างประเทศให้มาก ความคิดไม่เหมือนฝรั่งก็สามารถนำประเทศให้รอดได้ ยึดตามแนวพระราชดำริของพระองค์ท่านให้มากหน่อย หรืออย่างมาเลเซียก็ไม่ได้เดินตาม IMF เขาก็ไปรอด จากคุณ : ultraguy (Ultraguy) - [ 8 มิ.ย. 49 11:12:00 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ทำนอกกรอบ ภายในต้องแกร่ง มหาเธย์สวน IMF ได้ เพราะพื้นฐานบ้านเค้าแข็งจริง การบริโภคน้อย (เพราะประชากรน้อย) ผลผลิตเยอะ ดุลการค้าไม่ขาดดุล บ้านเราแค่คิดจะนอกกรอบก็เสียวแล้ว ทุกวันนี้ยังขาดดุลการค้ากันเหยงๆนำเข้าน้ำมันราคาแพงตลอด หากลดดอกเบี้ยแล้วเงินบาทลดค่า การขึ้นราคาน้ำมันพลังงานจะมีนัยสำคัญสูงกว่าดอกเบี้ยแค่.25% ต่อปีแยะ น้ำมันขึ้นล่อกัน week ละ 40สตางค์ น่ะคับ เทียบกับดอกเบี้ยแล้วเป็นไง แล้วการโอดครวญของผู้ประกอบการขอปรับราคากันทุกวี่ทุกวัน โดยรวมมันเรื่องใหญ่นาคับ จากคุณ : x (Regent) - [ 8 มิ.ย. 49 13:32:49 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เรียน ท่านจขกท. หากมั่นใจในตนเองว่ามีความรู้ความสามารถเพียงพอ ในการร่วมกำหนดนโนบายเศรษฐกิจการเงินระดับชาติ ให้สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องและเป็นประโยชน์กับคนในชาติโดยรวม ในระยะยาว ก็ควรจะรีบหาโอกาสและช่องทางทำการใหญ่นั้นให้ลุล่วงโดยเร็วที่สุด ตามความรู้ความสามารถของท่านที่มีดังกล่าว มิควรมาเสียเวลาในที่นี้มากนักครับ ผมความรู้น้อย จึงขอเงียบไว้ และตั้งสติให้ดี ไม่แตกตื่นตกใจไป กับเหตุการณ์ ์ ด้วยความเคารพท่านจขกท.ครับ หากท่านได้กระทำการนั้นแล้ว ผมขอน้อมรับผิดโดยดุษฎีครับ แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 49 23:41:13 จากคุณ : Folio - [ 8 มิ.ย. 49 23:39:54 ]