CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    จับตาโบรกฯปฎิบัติการฟอร์ซเซล ทุบ!ดัชนีตลาดหลุด680จุด

    วงการค้าหุ้นชี้ หลายโบรกเกอร์เริ่มปฎิบัติการฟอร์ซเซลแล้ว งานนี้จับตาดัชนี
    ตลาดหลุดแนวรับใหญ่ 680 จุด ท่ามกลางไร้สัญญาณบวก ดังนั้นใครไม่มีหุ้น ควร
    ยืนรออยู่นอกตลาดจะเป็นการดีที่สุด แม้ราคาหุ้นบนกระดานส่วนใหญ่จะถูกแสนถูก
    ก็ตาม ค่ายพัฒนสินฟันธง วันนี้เลือดนักลงทุนยังคงนองพื้นห้องค้าเช่นเดิม
                     แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์รายหนึ่งเปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยกำลัง
    เผชิญกับตัวแปรใหม่ นอกเหนือจากปัจจัยราคาน้ำมันในตลาดโลก การพิจารณาปรับขึ้นอัตรา
    ดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นและปัญหาการเมืองไทย เป็น
    ต้น คือ การบังคับขายหุ้น(ForceSell) ของโบรกเกอร์ เนื่องจากนักลงทุนหรือลูกค้าได้ประสบกับ
    ภาวะขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นจำนวนมาก จึงทำให้นักลงทุนที่เล่นบัญชีมาร์จิ้นไม่สามารถนำ
    หลักทรัพย์มาวางเพิ่มได้ ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
                   ทั้งนี้หลายโบรกเกอร์ได้บังคับขายหุ้นของลูกค้าออกมาแล้ว ส่งผลให้ดัชนีตลาดปรับตัว
    ลงแรงต่อเนื่องรวมทั้งเมื่อวานนี้(7มิ.ย.) แม้หุ้นที่ถูกบังคับขายหลายตัวจะมีปัจจัยพื้นฐานดีก็ตาม
    แต่โบรกเกอร์ก็จำเป็นต้องบังคับขายหุ้นออกมา เพื่อไม่ได้เกิดความเสี่ยงแก่องค์กรและตอนนี้เท่า
    ที่ทราบลูกค้าบางรายเริ่มไม่ชำระค่าหลักทรัพย์ตามเวลาที่กำหนด อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ปัญหาเช่น
    นี้ คงไม่รุนแรงเหมือนเช่นในอดีต
                  'มีความเป็นไปได้ที่ ประเด็นบังคับขายหุ้น อาจทำให้ดัชนีตลาดหลุดแนวรับสำคัญ คือ
    680 จุด'แหล่งข่าวกล่าวและว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดฯ นักลงทุนที่ยังมีเงินสด แต่ยังไม่มี
    หุ้นในพอร์ต ควรรอให้สถานการณ์หรือปัจจัยต่างๆคลี่คลายไปก่อน จึงค่อยพิจารณาการลงทุน แม้
    ราคาหุ้นส่วนใหญ่จะต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากก็ตาม

    ** KEST เชื่อลูกค้าบัญชีมาร์จิ้นโดนฟอร์ซเซลแน่
                แหล่งข่าวจากผู้บริหารระดับสูงบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)จำกัด(มหาชน)
    หรือ KEST เปิดเผยว่า ในช่วงที่ดัชนีตลาดปรับตัวลดลงแรงจากระดับ 760 จุดลงมาระดับ 680
    จุดเชื่อว่า ลูกค้าบัญชีมาร์จิ้นของแต่ละโบรกเกอร์จะโดนบังคับขายหุ้น(ForceSell) ออกมา โดย
    หุ้นส่วนใหญ่ที่จะโดนบังคับขายได้แก่กลุ่มไฟแนนซ์, กลุ่มหลักทรัพย์และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
    เพราะในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับตัวลดลงมาแรง โดยเฉพาะกลุ่มหลักทรัพย์ซึ่ง
    ผันผวนตามภาวะตลาด ขณะที่หุ้นเก็งกำไรส่วนใหญ่โบรกเกอร์ได้เลิกปล่อยบัญชีมาร์จิ้นแล้วหลัง
    จากเกิดปัญหาในช่วงที่ผ่านมา
                 'ปัจจุบันไม่มีลูกค้ารายใดของ KEST โดนบังคับขาย เพราะลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่
    ขายหุ้นตั้งแต่ช่วงที่มีปัญหาเลือกตั้ง และลูกค้าส่วนใหญ่ไม่นิยมเล่นบัญชีมาร์จิ้น เพราะหากถือหุ้น
    ไว้ก็จะเสียดอกเบี้ยโดยลูกค้าจะหันมาเล่นบัญชีเงินสดแทนเพราะถึงจะไม่ได้กำไรจากหุ้นก็ยังได้
    ดอกเบี้ย'แหล่งข่าวกล่าว
                    อย่างไรก็ดี นักลงทุนที่เล่นหุ้นบัญชีมาร์จิ้นทำความเข้าใจระบบเมื่อราคาหุ้นลดลงจน
    ทำให้หลักประกันขั้นต้น (Maintainance Margin) ใกล้ 35% ก็ขายขาดทุนออกมา เพราะ
    ขายออกยังมีเงินสดเหลืออยู่ในพอร์ต
                  สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่ถือหุ้นอยู่และหุ้นในพอร์ตเป็นหุ้นพื้นฐานดีไม่ควรขายออกเพราะ
    ดัชนีปรับตัวลงมาแรงมากอาจขาดทุนแต่เมื่อสถานการณ์ต่างๆกลับสู่ภาวะปกติเชื่อว่าราคาหุ้นก็จะ
    ปรับตัวเข้าหาพื้นฐานส่วนนักลงทุนที่ต้องการซื้อหุ้นควรถือเงินสดรอจนกว่าตลาดหุ้นฟื้นตัวโดยซื้อ
    หุ้นพื้นฐานดีเช่น PTT, BBL, TOP, KBANK

    ** วงการเตือนระวัง TPIPL เสี่ยงถูกบังคับขายที่สุด
                 แหล่งข่าวจากผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ในช่วงที่ภาวะตลาดฯปรับตัวลงแรง
    อาจทำให้นักลงทุนโดนบังคับขายออกมา โดยคาดว่า TPIPL ที่โดนบังคับขายออกมามากที่สุด
    เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรง อย่างไรก็ดีนักลงทุนที่เล่นบัญชีมาร์จิ้นควรระมัด
    ระวังการและเลือกเล่นหุ้นที่มีพื้นฐานดี นอกจากนี้ จะต้องมีเงินสดอยู่ในมือจำนวนหนึ่ง เพื่อนำมา
    จ่ายหากราคาหุ้นที่ถือปรับตัวลดลงแรง และต่ำกว่าระดับเงินประกันขั้นต้นที่กำหนดไว้
                  สำหรับนักลงทุนทั่วไป ควรชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ และทยอยซื้อเมื่อราคา
    หุ้นปรับตัวลดลงแรงโดยกลุ่มที่น่าสนใจยังเป็นกลุ่มแบงก์และพลังงาน

    **เซียนเทคนิคชี้พรุ่งนี้ดัชนีฯมีโอกาสรูดต่อ
                   นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน เปิดเผยถึงดัชนี
    ตลาดหลักทรัพย์วันนี้ ( 7 มิ.ย.49 ) ว่าดัชนีฯ ปรับลดลงต่อเนื่องตลอดทั้งวันซึ่งเป็นไปในทิศทาง
    เดียวกันกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับลดลงเช่นกัน ประกอบกับนักลงทุน
    ต่างชาติยังไม่มีแนวโน้มที่จะหยุดขายสุทธิส่วนการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร
    14 วันอีก 0.25% จาก 4.75% เป็น 5.00% ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ก็เป็นไป
    ตามที่คาดการณ์ไว้ แต่ปัจจัยดังกล่าวส่งผลลบต่อจิตวิทยาการลงทุนดังนั้นจึงทำให้หุ้นในกลุ่ม
    แบงก์,พลังงานและสื่อสารโดนเทขายออกมาอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่ฉุดให้ดัชนีฯปรับลดลง
                  ส่วนดัชนีตลาดหลักทรัพย์วันนี้ ( 8 มิ.ย.49) คาดว่ามีโอกาสปรับลดลงเนื่องจากภาวะ
    ตลาดฯ ยังขาดปัจจัยบวกใหม่ที่โดดเด่นเข้ามากระตุ้นประกอบกับในระยะนี้ทิศทางดัชนีตลาดหลัก
    ทรัพย์ในต่างประเทศยังเป็นตัวแปรหลักที่นักลงทุนจะต้องติดตาม
                'ช่วงนี้นักลงทุนควรที่จะต้องติดตามตลาดหุ้นในต่างประเทศด้วยเพราะหากปรับลดลงก็
    จะมีอิทธิพลต่อภาวะตลาดหุ้นไทยด้วย เพราะช่วงนี้ปัจจัยตัวนี้จะมีอิทธิพลต่อภาวะตลาดหุ้นไทย
    ค่อนข้างมากและก็เป็นแบบนี้เหมือนกันเกือบทั้งภูมิภาคส่วนราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกไม่น่าจะมี
    นัยสำคัญเพราะยังคงทรงตัวไม่ได้ปรับลดลงหรือเพิ่มขึ้นอย่างหวือหวา'นายชัยกล่าว
                    กลยุทธ์การลงทุนแนะนำรอดูภาวะตลาดฯ ก่อนตัดสินใจลงทุนส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มี
    หุ้นให้รอดูอยู่นอกภาวะตลาดฯ เนื่องจากภาวะตลาดยังมีความเสี่ยง โดยให้แนวรับไว้ที่ 683 จุดให้
    แนวรับถัดไปไว้ที่ 680 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 695 จุด
                ด้านนายอมเรศ สิงห์ณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บล.แอ๊ดคินซัน
    กล่าวว่า ในช่วงนี้ยังมีประเด็นที่น่าเป็นห่วง คือ อาจจะมีการฟอร์ซเซล (บังคับขาย) เกิดขึ้นได้
    เพราะราคาหุ้นได้ปรับลดลงมามาก ซึ่งจะยิ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในสภาพไม่ดียิ่งกว่าเดิมดังนั้น
    จึงแนะนักลงทุนจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยในช่วงนี้ได้ให้แนวรับไว้ที่ 680 จุด และแนวรับถัดไป
    ที่ 660 จุด

    ** ทีเอสอีซี เผยถ้าราคารูดลงต่ำกว่าทุนไม่มากถือรอดัชนีฯดีดกลับ
                   นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทีเอสอีซี กล่าวว่าภาวะตลาดฯ
    ที่ปรับตัวลดลงเป็นไปตามปัจจัยลบที่เข้ามากระทบทั้งด้านราคาน้ำมันอัตราดอกเบี้ยและภาวะ
    เศรษฐกิจ ซึ่งอาจมีผลทำให้ผู้ที่กู้ยืมเงินมาซื้อหุ้นถูกบังคับขายออกมา หลังจากภาวะตลาดฯ ปรับ
    ตัวลดลงมาก
                 ทั้งนี้คงต้องขึ้นอยู่กับต้นทุนในการถือหุ้นเทียบกับราคาที่เคลื่อนไหวในกระดานว่าต่างกัน
    มากน้อยแค่ไหนโดยหากไม่ต่างกันมาก ก็แนะนำถือไว้ก่อน รอภาวะตลาดฯ อาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
    หากเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติซึ่งต้องรอดูทิศทางเศรษฐกิจโลกประกอบ แต่หากราคาห่างกันมาก
    ก็อาจทยอยขายลดความเสี่ยง
                  โดยในระยะสั้นประเมินว่าดัชนีฯยังเคลื่อไหวในทิศทางที่ลดลงอยู่บริเวณแนวรับ 680-
    660 จุด ส่วนแนวต้าน 697 จุด โดยแนะนำให้ชะลอการลงทุนออกไปก่อนแต่หากสนใจแนะรอ
    จังหวะเข้าเก็บในราคาหุ้นที่พื้นฐานดี และมีราคาปรับลดลงบริเวณ 680 จุด

    จากคุณ : mrdew - [ 8 มิ.ย. 49 09:54:14 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com