คณะของสวาซิแลนด์ทำเอาชาวบ้านหัวใจเกือบวาย ด้วยการประกอบพิธีโดยคุณ "Spiritualist" ในคณะเมื่อคราวเสด็จฯ พระที่นั่งอนันตฯ ตอนที่คณะจะเสด็จกลับ คุณ Spiritualist ซึ่งได้รับเชิญให้มากับกษัตริย์สวาซิแลนด์ คน
นี้ก็เดินกลับมาหาในหลวงแล้วก็ตะโกนเสียงดังมาก ท่าทางขึงขังราวกับจะเข้ามาทำร้าย แล้วก็เดินจากไปขณะที่พระองค์ท่านพระพักตร์นิ่งมาก ๆ ส่วนทุกคนในที่นั้นหน้าซีดเผือด คืนนั้นทหารของวังก็มาที่โรงแรมทันทีเล่นเอานายตำรวจเกียรติยศของเราที่เป็นราชองครักษ์ให้กับคณะถึงกับลมใส่ แต่ปรากฏว่าไม่มีอะไรค่ะ ในวังสั่งให้มาสอบถามฝ่ายสวาซิแลนด์ว่าคุณหมอผีแกพูดว่าอะไร และท่าทางใน ขณะนั้นมีความหมายว่าอย่างไร
คำตอบน่ารักมากเค้าบอกว่า
นั่นคือพิธีถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัวแต่เสียดายมากที่ไม่สามารถทำได้อย่าง "ครบเครื่อง" เพราะตามปกติต้องมีชุดประจำชาติ(ซึ่งจะมีหอก และไม้เท้า) แต่โดยที่เราไม่อนุญาตให้พกอาวุธ(ยกเว้นเป็นเครื่องแต่งกายปกติของกษัตริย์ อาทิ ชุดของ king คูเวตและมาเลเซียซึ่งเหน็บกริชด้วย) จึงไม่สามารถทำได้อย่างครบถ้วนถูกต้องแล้วขอโทษมาด้วยคนที่ได้ยินเลยอมยิ้มกันไปตาม ๆกัน
..........................................................................................................
สมเด็จพระบรมนาถสีหมุนีวันเสด็จฯไปกองทัพเรือนั้น ประชาชนมารอรับเสด็จเนืองแน่น พระองค์ท่านทรงโบกพระหัตถ์อยู่ในรถจนคุณตำรวจเกียรติยศทูลถามว่าทรงประสงค์จะให้เอากระจกลงหรือไม่ ตอนแรกพระองค์ท่านทรงปฏิเสธแต่ในที่สุด เมื่อทอดพระเนตรเห็นฝูงชนที่บีบเข้ามาเรื่อย ๆรถก็เคลื่อนไปได้ช้า จึงรับสั่งให้เอากระจกลงพอชาวบ้านเห็นก็ตะโกนกันใหญ่ว่าทรงพระเจริญ พระองค์ท่านแย้มสรวลให้ จนมีเสียงผู้หญิงคนนึงตะโกนฝ่ามาจากฝูงชนว่า"ทรงหล่อมาก ๆ"คราวนี้พระองค์ท่านแย้มพระสรวลไม่หุบเลย
...........................................................................................
มีคนหลังไมค์มาถามเราว่า เราไปทำอะไรมาเหรอถึงรู้เรื่องที่เอามาเล่าเนี่ยก็ขอตอบละกันว่าไปเป็น "เลซอง" มาค่ะเลซอง(liaison) คือเจ้าหน้าที่ประสานงานให้กับคณะของพระราชอาคันตุกะทุกคณะจะมีเลซองประจำคณะละ 2 คนขึ้นไป หลัก ๆ คือเป็นเลซองตัวพระประมุข 1 คนและผู้ช่วยเลซอง 1 คน แต่หากมีพระชายา / พระสวามีโดยเสด็จด้วยก็จะเพิ่มเลซอง.ก 1 คน (ของมาเลเซียกับญี่ปุ่น มีคณะละ 4 คนเนื่องจากคณะใหญ่มากญี่ปุ่นมีผู้ตามเสด็จประมาณ 200 คน)
พูดถึงเลซองแล้วก็คิดถึงสมเด็จพระราชินีซิลเวียแห่งสวีเดนและเจ้าหญิงแมรี่แห่งเดนมาร์กเกร็ดน่ารัก ๆ เรื่องนี้คือว่าทั้งสองพระองค์เคยเป็นสามัญชนมาก่อน (ควีนซิลเวียเป็นชาวเยอรมันส่วนเจ้าหญิงแมรี่เป็นชาวออสเตรเลีย) และเคยเป็นเลซอง จึงได้พบกับกษัตริย์สวีเดนและเจ้าชายแห่งเดนมาร์ก เมื่อท่านเสด็จฯไปเยือนประเทศบ้านเกิดของทั้งสองพระองค์
เอ้อ ไม่อยากบอกเลยว่าข้อมูลนี้เลยเป็นแรงบันดาลใจให้สาว ๆหลายคนอยากเป็นเลซองให้กับคณะ ๆหนึ่งซึ่งไม่ต้องบอกก็คงรู้กันดีนะคะว่าเป็นคณะไหนแต่.. เสียใจด้วยจ้า คณะนั้นเค้าจัดเลซองผู้ชายให้แล้ว (ฮือ เสียดาย)
...........................................................................................................
บรูไนกับมาเลเซียคืนวันที่ 12 ราว ๆ 2 ยาม เห็นจะได้เจ้าหน้าที่สถานทูตบรูไน 3 คน มาที่โรงแรม Shangri-La
และได้ขอพบเลซองมาเลเซียแล้วก็บอกว่า ควีนบรูไนมีของมาถวายองค์รายา ประไหมสุหรี อากง (ควีนมาเลเซีย)ต้องถวายให้ได้ในคืนนั้นของนั้นเป็นถุงกระดาษสีน้ำตาลเล็ก ๆ มี scotch tape พัน ๆ อยู่ ดูแล้วไม่เรียบร้อยเลยแม้แต่น้อยแต่เจ้าหน้าที่บรูไนมีเอกสารมาให้เซ็นรับอย่างดี และยืนยันต้องถวายให้ได้โชคดีว่าขณะนั้น ทรงประทับเสวยพระกระยาหารมื้อดึกอยู่ ยังไม่เข้าบรรทมราชเลขาธิการมาเลเซียจึงได้นำของดังกล่าวเข้าไปถวายโดยใส่พาน แต่มิได้แกะห่อออกดูจึงทรงรับสั่งให้แกะห่อเอ่อ ทายสิคะว่าของในห่อที่ดูไร้ค่ามาก ๆ คืออะไร
มันคือ เครื่องเพชรค่ะ เครื่องเพชรอันใหญ่เบ้ง ประกอบด้วยพัชราวลัย(สร้อยคอ) กุณฑล (ต่างหู) และ กำไลข้อพระกร.ก 1 คู่ (ปาดเหงื่อ 1 ที) งานนี้เลซองเกือบซวยค่ะ เธอสารภาพกับดิฉันว่า คิดว่าจะแอบเอาไปโยนทิ้งอยู่แล้วเพราะสภาพของห่อดีกว่าห่อขนมไข่หงส์นิดเดียว !
.........................................................................................................................................................................................................................
speech ประวัติศาสตร์ที่จับใจคนทั้งโลกขององค์สุลต่านแห่งบรูไนค่ะ ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียวท่านได้ทรงขอข้อมูลจากฝ่ายไทยเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อเตรียมการยกร่าง และคำถามที่ถามกันมากมากเหลือกเกินว่าใครคือผู้ยกร่าง ผู้ร่างก็คือองค์สุลต่านนั่นเองค่ะยืนยันจากเจ้าหน้าที่โต๊ะบรูไนของกระทรวงการต่างประเทศที่นั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ ดิฉันเนี่ยแหละเพราะเธอเป็นคนให้ข้อมูลท่านไปเองค่ะและท่านทรงยกร่างเองและรัฐมนตรีต่างประเทศ เพียงเตรียมเป็นประเด็นสั้น ๆ (pointers) ให้ทราบว่าทรงปลาบปลื้มพระทัยยิ่งกับความเอาพระทัยใส่ของในหลวง ของ เราที่ทรงรับสั่งแสดงความยินดีกับองค์สุลต่านที่พระชายาชาวมาเลเซียมีประสูติกาลพระโอรสเพียง 1 สัปดาห์ก่อนเสด็จมาประเทศไทย
อยากจะบอกว่า ภาษาอังกฤษที่ใช้นั้นไม่มีอะไรที่ซับซ้อนเลย เป็นภาษาที่แสนจะง่าย ธรรมดาสามัญแต่เมื่อประกอบกันขึ้นเป็น speech แล้ว กลับซาบซึ้งกินใจอย่างยิ่ง
....................................................................................................................................................................................................................
พ.ต.ท.เชิดชาย ชมธวัช วัย 64 ปี นายตำรวจเกษียณผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ได้รับพระราชทานวโรกาสให้เข้าเฝ้าพระประมุขแห่งญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิดคุณลุงเชิดชายเล่าย้อนเวลาเมื่อ 12 ปีที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่ยังรับราชการในตำแหน่งรองผกก.หน.สภ.อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอนได้พบว่าในพื้นที่ อ.ขุนยวมมีข้าวของเครื่องใช้ของทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกหลงเหลืออยู่กระจัดกระจายเป็นจำนวนมากเลยมีความคิดริเริ่มที่จะรวมรวมสิ่งที่หลงเหลือจากประวัติศาสตร์เหล่านี้รวมกันไว้เพื่อเป็นแหล่งความรู้ให้กับคนรุ่นหลัง จึงเริ่มสะสมและเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นนับแต่นั้นมาคุณลุงก็ได้รับหนังสือเชิญจากสถานทูตญี่ปุ่นโดยมีข้อความเชิญตัวคุณลุงเองและภรรยาเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะในวันที่ 13 มิ.ย. โดยข้อความทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษและเขียนชื่อคุณลุงเป็นภาษาไทยและเจ้าหน้าที่ก็ได้มอบภาพถ่ายของทั้งสองพระองค์ให้กับคุณลุง ด้วยหน้าที่ได้จัดลำดับให้ผมเข้าเฝ้าเป็นลำดับที่ 3 จากผู้ที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้ากว่า 40 คนเมื่อได้เข้าเฝ้าพระจักรพรรดิอากิฮิโตได้สัมผัสมือกับผมและตรัสผ่านล่ามว่ารู้สึกขอบคุณและขออภัยที่ทำให้ผมต้องเดินทางมาไกลและตรัสว่าในนามของประชาชนชาวญี่ปุ่นและในนามของประมุขของประเทศญี่ปุ่นขอขอบคุณที่ได้จัดสร้าง พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวขึ้นมาและฝากความระลึกถึงชาวบ้าน 3 คนที่ไม่มีโอกาสเดินทางมาด้วยซึ่งในการพูดคุยพระองค์ทรงมีอัธยาศัยอย่างไมตรีและไม่ถือตัวสร้างความปีติให้กับผมและภรรยาอย่างที่สุดโดยการเข้าเฝ้าเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมาสมเด็จพระจัรพรรดิอากิฮิโตได้พระราชทานจอกเงินที่มีตราราชวงศ์ญี่ปุ่นประทับอยู่ให้กับผมและภรรยาด้วย" คุณลุงเชิดชายยังบอกด้วยว่าพิพิธภัณฑ์สงครามโลกมีความสำคัญกับชาวญี่ปุ่นและคนไทยที่ผ่านพ้นประวัติศาสตร์ร่วมกันโดยเฉพาะเส้นทางเดินทัพที่พาดผ่านอ.ขุนยวม เรียกกันว่าเป็น "เส้นทางโครงกระดูก"โดยขณะนั้นทหารฝ่ายพันธมิตรได้ปิดล้อมกองทหารญี่ปุ่นตั้งแต่เมืองโอคิมาของอินเดียตอนใต้ไล่ลงมาผ่านอิรวดีของพม่าและเข้าสู่ภาคเหนือของไทยที่ อ.ขุนยวมซึ่งยุกธการปิดล้อมครั้งนั้นได้ทำให้ทหารญี่ปุ่นต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากและเนื่องในปีนี้เป็นปีมงคลคุณลุงจึงตั้งใจถวายพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ให้เป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระจักรพรรดิอากิฮิโตแห่งญี่ปุ่นและปฏิญาณว่าจะตั้งใจดำเนินการสะสมสิ่งของในอดีตรวมทั้งเป็นแหล่งความรู้ให้กับผู้สนใจศึกษาต่อไปด้วย
......................................................................................................................................................................
แม่ค้าผลไม้ที่เจ้าชายแห่งลักเซมเบิร์ก ได้เสด็จฯเยี่ยมชมตลาดและทรงลองเสวยทุเรียน ซึ่งคุณแม่ค้าสาว 2 พี่น้อง เจ้าของร้านนันท์-น้อย เล่าถึงความประทับใจและระทึกใจต่อเจ้าชายหนุ่มว่าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาขณะที่กำลังขายผลไม้อยู่หน้าร้าน ปรากฎว่าบริเวณหน้าตลาด อตก.มีผู้คนคึกคักผิดปกติเลยรู้ว่ารอชมพระบารมีของเจ้าชาย คุณแม่ค้าและน้องสายก็ตื่นเต้นดีใจที่มีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาชมตลาด
(ขอแทรกค่ะ) แถมการเสด็จครั้งนี้ท่านทรงพระดำเนินมาตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส มายังตลาดคิดดูว่าทั้งร้อนทั้งไกลขนาดไหนคุณแม่ค้าเล่าอย่างเห็นภาพว่า มาถึงพระองค์ท่านก็เลี้ยวมาที่ร้านของดิฉันทันทีพระองค์ทรงหยุดมองทุเรียนที่วางขายอยู่หน้าร้าน ซึ่งดิฉันก็บอกกับล่ามของพระองศ์ว่าสามารถชิมได้ พระองค์มีท่าทีสนใจ และยิ้มแย้มที่ได้เห็นทุเรียน แต่ทางผู้ติดตามบอกว่าพระองค์ไม่สามารถชิมได้ เพราะเกรงว่าจะท้องเสีย แต่พอล่ามได้บอกกับพระองค์ว่า แม่ค้าอยากให้ชิม พระองค์จึงตรัสว่าจะลองชิม แล้วผู้ติดตามก็ได้ให้ดิฉันเช็ดมีดให้สะอาด แล้วเอาไม้มาให้พระองค์จิ้มเสวย แต่ปรากฎว่าพระองศ์ทรงใช้มือหยิบเสวย พร้อมชมว่า อร่อยมากๆ คุณแม่ค้าเล่ามาถึงตรงนี้ ก็ยิ้มปลื้ม ก่อนจะบอกว่า เสวยทุเรียนเสร็จดิฉันก็ถวาย มังคุดให้เสวยต่อ ซึ่งพระองค์ก็ชอบมาก.กเช่นกัน ดิฉันเลยบอกผู้ติดตามว่าจะขอถวายผลไม้ให้ได้ไหม แต่ทางผู้ติดตามบอกว่าจะขอซื้อ เพราะถ้าถวาย ก็กลัวว่าแม่ค้าจะขาดทุน เพราะต้องซื้อเป็นจำนวนมาก เท่านั้นแหละ เธอถึงยอมใจอ่อน ตัดใจขายทุเรียนให้พระองค์ท่านไป 4 กิโล ราคา 1 พันบาท แล้วก็แถมผลไม้อย่างอื่นให้ด้วยคุณพี่แม่ค้าเล่าตอนนี้อย่างปลื้มสุดๆ.กว่า พระองค์ท่านถามดิฉันว่าทำไมต้องให้ฟรี ดิฉันบอกว่าพระองค์เป็นแขกของในหลวง พระเจ้าแผ่นดินที่ดิฉันเคารพรักมากเมื่อพระองค์มาเยือนประเทศไทย มาเป็นแขกของพระเจ้าแผ่นดิน ดิฉันก็ต้องต้อนรับให้ดีที่สุดเช่นกัน พอล่ามแปลให้ฟังพระองค์ท่านก็ทรงยิ้มแย้ม
หลังจากวันนี้คุณพี่แม่ค้าก็มีเหตุระทึกใจเกิดขึ้น เพราะวันถัดมา จู่ๆก็มีโทรศัพท์ของบุคคลผู้ไม่คุ้นเคย โทรมาหา และบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสายสืบสน.บางซื่อ พอรู้เท่านั้นแหละ คุณพี่แม่ค้าต๊กกะใจ นึกว่าพูดอะไรออกไป แต่ปรากฎว่า คุณพี่ตำรวจนายนั้น โทรมาบอกว่า คืนนั้นเจ้าชายทรงนอนไม่หลับ เพราะยังคิดและ ประทับใจในคำพูดที่ดิฉันมีต่อพระเจ้าแผ่นดินและปลื้มใจที่มีประชาชนชาวไทยรักในหลวงมากมายขนาดนี้ ...โอยฟังแล้วปลื้มหัวใจเจ้าค่ะ คุณพี่แม้ค้าเลย ตบท้ายว่า ที่เจ้าชายทรงเสด็จฯมาเสวยทุเรียนที่ร้าน ดิฉันรู้สึกดีใจมาก และถือเป็นวาสนาว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเคยมีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่งเสด็จมา ดิฉันว่าประชาชนของประเทศลักเซมเบิร์กบางคนยังไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดพระองค์ท่านเหมือนดิฉัน ถ้าเป็นไปได้ดิฉันอยากให้ท่านเสด็จมา เยือนประเทศไทย.กครั้งหนึ่ง คุณพี่แม่ค้าว่างั้น ...ฮึ โชคดีกว่าอิฉัน.กนะคุณพี่ หุหุ
จากคุณ :
pjuk
- [
23 มิ.ย. 49 15:28:44
]