ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าจะเอากอทุนตราสารหนี้ที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้ คงมีแต่ RMF ครับ ส่วน LTF มีแต่กองทุนหุ้นครับ ความเห็นส่วนตัว : สำหรับผู้ที่มีฐานภาษีอยู่ที่ 10% ถ้าไม่มีภาระค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนมาก แนะนำให้เริ่มการเก็บออม แถมได้ประโยชน์ทางภาษีด้วย RMF ที่เป็นกองทุนตราสารหนี้ครับ ไม่ต้องโหมลงทุนครั้งเดียว แค่แบ่งเงินเดือนแต่ละเดือน ค่อยๆ ลงทุนก็ได้ครับ เดือนไหนเหลือมากก็ลงทุนมากหน่อย เดือนไหนหมดเยอะก็ลงทุนน้อยหน่อยครับ จากคุณ : pjuk - [ 24 มิ.ย. 49 22:31:18 ]

ความคิดเห็นที่ 2 สงสัยค่ะ คุณpjuk คือ RMF เข้าใจมาตลอดว่าน่าเก็บสำหรับคนที่มีอายุเยอะๆ เพราะต้องถือถึง 55 ปี กว่าจะถอนออกมาได้ แต่ถ้านอกจากลดภาษีได้ NAV ก็จะได้เพิ่มขึ้นทุกปี (เหมือนกองทุนตราสารหนี้) จึงน่าซื้อเก็บออมแทนการฝากธนาคารใช่ไหมคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ จากคุณ : หนูนา - [ 24 มิ.ย. 49 23:15:28 A:58.8.9.160 X: TicketID:087755 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ประโยชน์ทางภาษี เป็นตัวล่อ ข้อบังคับ เป็นตัวกักกัน ให้เกิดวินัยการเก็บออมสำหรัอนาคต ตอนเริ่มต้นอาจจะดูว่าอนาคตอีกยาวไกล แต่ถ้าเริ่มได้สักระยะน่าจะภูมิใจในตัวเลขจากการสะสมเงินที่เกิดประโยชน์ทางภษี และการลงทุนครับ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้เงินก่อนอายุ 55 เพียงคืนส่วนที่จ่ายภาษีลดลงแต่ละปีคืนเท่านั้นโดยไม่เสียดอกเบี้ย เหมือยืมเงินภาษีมาใช้ก่อนโดยไม่คิดดอกเบี้ยครับ และถ้าลงทุนต่อเนื่องเกิน 5 ปีกำไรที่ได้มาก็ไม่ต้องเสียภาษีเพิ่มครับ จากคุณ : pjuk - [ 25 มิ.ย. 49 08:00:48 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ทำประกันสิครับ อย่างน้อยยังประหยัดไปได้หน่อย จากคุณ : ตีตี้ - [ 25 มิ.ย. 49 10:21:01 A:58.9.125.22 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 RMF ไม่เหมาะสำหรับหนุ่มสาว กว่าจะได้คืน แก่งั่กพอดี LTF เหมาะสำหรับ ฐานเงินเดือนสูงๆ ภาษีเกิน 20 % ถึงคุ้ม เพราะของคุณ ภาษีแค่ 10 % ถ้า หารด้วย 3.25(ระยะเวลาในการ redeem ltf) คุณจะประหยัดภาษีได้แค่ ราวๆ 3.2 % ต่อปี ซึ่งนำเงินไปฝาก fix ได้ 3.25-3.5% หรือ 8 -10 เดือนได้ 4.5-5.25 % ตามธนาคารต่างๆ ยังคุ้มกว่านำไปลง LTF เลยครับ และไม่เสี่ยงด้วย ถ้าอยากออมจริงๆแนะนำให้ทำประกันดีกว่าเช่นกัน เพราะได้การออมและคุ้มครองความปลอดภัย + ค่ารักษาพยาบาลด้วย จากคุณ : ดีกว่า - [ 25 มิ.ย. 49 15:54:08 A:210.203.170.67 X: TicketID:121364 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าจะซื้อประกันชีวิต และมีความคุ้มครองด้านสุขภาพด้วยต้องทราบด้วยว่า สินค้าประกันชีวิตแยกออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ คือ ส่วนที่เป็นเงินออม หรือแบบประกันชีวิต กับส่วนที่เป็นสวัสดิการ คือ เจ็บป่วยเบิกได้ ส่วนที่เป็นสวัสดิการเป็นการซื้อไม่ใช่การออม ดังนั้น ถ้าบริษัทคุณมีประกันสุขภาพให้ หรือคุณคิดว่าอายุยังน้อยไม่เจ็บป่วย และ 30 บาทฯหรือ ประกันสังคมรองรับคุณได้ ก็ยังไม่จำเป็นต้องซื้อ รออายุใกล้เลข 4 แล้วค่อยซื้อ ส่วนเรื่องของแบบประกันเพื่อการออมหรือลดภาษี ก็ต้องเลือกว่าจะทำแบบไหน เพราะแต่ละบริษัทประกันมีแบบเกือบ 40 แบบให้เลือก ซึ่งต้องปรึกษาตัวแทนที่เป็นมืออาชีพจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่เอาใจให้คุณชอบหรือเพื่อนที่ขายประกันเป็นรายได้เสริม เพราะคนเหล่านี้ไม่มีเวลาอบรมและขาดประสบการณ์ ความรู้ในตัวสินค้าน้อย เสนอขายอยู่แค่ 2-3 แบบเพราะหัวหน้าสอนมาแค่นี้ จากคุณ : ตัวแทน14ปี - [ 25 มิ.ย. 49 19:34:18 A:203.107.214.132 X: TicketID:038165 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ควรมีแผนการเงินส่วนตัวครับ ปรึกษาหัวหน้างานที่วางแผนการเงินเป็น หรือรุ่นพี่ ที่วางแผนการเงินเป็นและรู้จักเราดี ถ้าไม่มีลองปรึกษาผมก็พอได้ จากคุณ : trakulsom@yahoo.com (trakulsom) - [ 25 มิ.ย. 49 20:09:44 ]

ความคิดเห็นที่ 8 หมีพูมีความเห็นว่า RMF & LTF นั้นเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนวัยทำงานในประเทศไทยที่อายุยังไม่มาก ที่จะได้เรียนรู้การออมเงิน 3-15% (หรือสูงสุด 30% ถ้าลงเต็มที่ทั้ง RMF & LTF) ของรายได้แล้วนำไปลงทุนใน RMF & LTF แบบต่าง ๆ ที่คุณชอบ เพื่อให้เกิดผลตอบแทนรวมที่ดี สำหรับนำไปดาวน์บ้าน, ซื้อรถใหม่, จัดงานแต่งงาน ฯลฯ ในอีกสัก 5 ปีข้างหน้า (ถ้าลงใน LTF) และยังเหลือเก็บไว้เลี้ยงชีพตัวเองหลังอายุ 55 ปี  (ถ้าลงใน RMF) หากไปเริ่มตอนอายุเยอะแล้ว จะมีเวลาได้แก้ตัวน้อยมากหากลงทุนผิดพลาด เด็กจบใหม่สมัยนี้พอทำงานมีรายได้บ้างแล้ว ส่วนมากไม่ค่อยสนใจวิธีลงทุนให้เงินเก็บงอกเงย แม้กระทั่งเก็บออมในธนาคารยังไม่ค่อยจะสนใจเลย คงจะหวังพึ่งแต่เงินบำนาญประกันสังคมตอนชรามั้ง  จะซื้ออะไรสักอย่างก็มักพึ่งบริการ อี ๆ ทั้งหลาย เช่น อีซี่บาย อีอ้อน แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะได้เก็บเงินให้ตัวเองเนอะ คุณหนูนารู้ไหมที่ประเทศสิงค์โปร์ คนทำงานที่มีรายได้ทุกคนต้องโดนรัฐบาลหักเงินสูงสุดถึง " 22% " ของรายได้ ขึ้นอยู่กับอายุว่าหักมากน้อยแค่ไหน (ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 โดนหักเยอะกว่านี้อีก) โดยนำส่งเงินนั้นเข้ากองทุนกลางเพื่อการเลี้ยงชีพ CPF (Central Provident Fund) แล้วรัฐบาลเขาจะนำไปบริหารให้คุณเอง โดยรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำที่ 2% ต่อปีให้ก่อน แล้ว CPF เขามีบัญชีให้ทุกคน 3 บัญชี โดยกระจายเงิน 22% ของคุณเข้าไปในนั้น คือ 1. Ordinary Account (เป็นบัญชีหลักสะสมไว้เพื่อกู้ซื้อบ้านและเงินยามชรา) 2. Special Account (บัญชีลงทุนเพิ่มเติมด้านต่างๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นเองโดยสมัครใจ เช่น ซื้อประกันบำนาญ , ซื้อกองหุ้น เป็นต้น โดยจะไปลงทุนได้ต่อเมื่อมียอดเงินในบัญชีหลักถึงระดับที่กำหนดแล้ว) 3. Medisave Account (บัญชีสวัสดิการประกันสุขภาพตลอดชีวิต) CPF ตั้งมาจะ 40 ปีแล้ว ไม่มีใครเขาบ่นว่ารัฐบาลสิงค์โปร์หักเงินรายได้เขาเยอะเกินไป ในทางกลับกันเขากลับรู้จักปรับตัวใช้จ่ายเงินให้พอเพียงกับเงินในส่วนที่เหลืออยู่ 78% พวกเราเองก็สามารถทำพอร์ตเงินลงทุนให้เหมือนเขาได้ โดยผ่าน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กบข., RMF , LTF , ทำประกันชีวิต+อุบัติเหตุ+สุขภาพ  ซึ่งหมีพูเห็นว่าผลตอบแทนในการลงทุนที่ประเทศไทยนั้นย่อมได้ดีกว่าเขาแน่นอน และยังได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีแบบเต็มที่ด้วยแหละ คุณหนูนาลงทุนไปเถอะทั้ง RMF & LTF เพราะคุณลงทุนแบบมีแต้มต่ออย่างเหนือชั้นกว่าคนที่ไม่ได้ลงทุน ถึงแม้จะมองว่าไม่คุ้มเพราะเหตุที่ฐานภาษีน้อยหรืออายุยังน้อย ก็อย่าไปสนใจเลย เพราะอนาคตข้างหน้า หากเราเดือดร้อนขัดสนขึ้นมา ตัว  LTF หรือ RMF ที่เราได้เคยลงทุนไว้ จะช่วยเราได้ครับ คิดเล่นๆ นะครับ ถ้า 20 ปีต่อไปนี้ คุณมีรายได้รวมปีละ 600,000 บาททุกปี  ถ้าลงทุน RMF & LTF รวม 30% = 180,000 บาทต่อปี เสียภาษีที่ฐาน 10% เท่ากับได้เงินคืนจากรัฐบาลปีละ 18,000 บาท  ทุกปีให้เอาเงิน 18,000 บาทไปลงทุนต่อในอะไรก็ได้ ที่ได้ผลตอบแทนปีละแค่ 5% ก็พอ เมื่อครบปีที่ 20 คุณจะได้รับเงินก้อนนี้คืนเกือบ 6 แสนครับ เวิร์คมั้ยล่ะ นี่แค่น้ำจิ้มนะครับ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 25 มิ.ย. 49 20:19:24 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ตอบง่ายๆว่าจำเป็น ถ้าอายุน้อยๆเลือก LTF  ถ้าอายุมาก(แก่แล้ว) เลือก RMF จากคุณ : subzero - [ 25 มิ.ย. 49 21:37:23 ]

ความคิดเห็นที่ 10 RMF ไม่ต้องถือจนถึงอายุ 55 ปีครับ...มีกฏใหม่ออกมาและมีคนพูดเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว http://www.rd.go.th/publish/21460.0.html ลองอ่านตามลิงค์ ข้อ 1 (2) ดีๆครับว่ากฏหมายใช้คำว่า "หรือ" จากคุณ : kraikria - [ 25 มิ.ย. 49 22:57:04 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ยังไงเราก็เห็นด้วยกับคุณหมีพู ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ ถ้าไม่ได้ขัดสนเงินทองมากมาย คุณควรฝึกให้ตัวเองมีวินัยในการออม เงินเหลือน้อยก็ออมแต่น้อย เงินเหลือมากก็ออมมาก เพราะยังไงเสีย ถ้าคุณขัดสนจริงๆ เงินจำนวนนี้ คุณก็ยังไถ่ถอนออกมาใช้ได้ ถึงจะต้องเสียผลประโยชน์บางส่วนไป จากคุณ : แพธารา - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 05:36:28 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผมว่าไม่ว่าจะอายุมาก อายุน้อย ก็ควรจะออมทั้งนั้นแหละครับ อยากให้คนไทยเลิกคิดแบบที่ว่า อายุ 50 กว่า อีกนานกว่าจะถึง ถ้าออมไปก็แก่พอดี ไม่ทันได้ใช้เงิน เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่ออมดีกว่า ผมว่าความคิดแบบข้างบนไม่ค่อยจะใช่ความคิดที่ถูกนัก สำหรับตัวผมคิดว่า ส่วนของเงินออมกับ ส่วนของเงินลงทุนนั้นคนละส่วนกัน (ถึงแม้ว่าทั้ง 2 ส่วนจะมึความสัมพันธ์ก็ตาม) เพราะฉะนั้นส่วนที่ออมเราก็ออมไป ส่วนที่ลงทุนเราก็ลงทุนไป ถ้าผมเป็น จขกท. ผมก็จะซื้อมันเต็มสิทธิ์ทั้ง RMF และ LTF นะครับ ตอนนี้ก็ซื้อเต็มสิทธิ์อยู่แล้ว ถึงแม้ฐานภาษีแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ในอนาคตผมคิดว่าฐานภาษีของผมต้องมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว อีกอย่าง RMF ที่เป็นตราสารหนี้ระยะสั้น ก็ให้ผลตอบแทนพอๆกับการฝากประจำแบบ 3 เดือน ส่วนเรื่องการประกันนั้น ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ถ้าบริษัทคุณมีประกันสุขภาพหรือ การคุ้มครองชีวิตให้อยู่แล้ว เพราะผลตอบแทนที่ได้จากการประกันนั้น น้อยกว่า RMF เสียอีกครับ (เฉลี่ยต่อปีตามฐานภาษี) คุณจะได้ผลประโยชน์สูงก็ต่อเมื่อ คุณมีฐานภาษีที่สูง และ "เสียชีวิต" ก่อนกำหนด ซึ่งนั่นหมายความว่าคุณจะไม่ต้องส่งเบี้ย และได้ผลประโยชน์เต็มๆ (แต่คุณก็ไม่ได้ใช้เงินเหมือนกัน) อีกอย่างแน่นอนว่าถ้าฐานภาษีสูงแล้ว RMF ก็ให้ผลประโยชน์สูงกว่าอยู่ดี ขอย้ำอีกทีครับว่า การออมไม่ได้เหมาะสำหรับคนแก่ แต่เหมาะสำหรับคนหนุ่มสาว จำไว้เสมอว่า "เวลา" มีส่วนอย่างมากที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จใจการออม เพราะฉะนั้น "ออมก่อนรวยกว่า" ครับ หนังสือ "ออมก่อน รวยกว่า" สำนักพิมพ์ ตลท. นะครับ ไปหามาอ่านดูได้แล้วความคิดคุณจะเปลี่ยนครับ จากคุณ : khanchang - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 09:35:13 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ประมาณปลายปี 2544 ที่มี RMF ออกมาเป็นครั้งแรก หมีพูเห็นเงื่อนไขที่ต้องออมทุกปี (หรือปีเว้นปีก็ได้) เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี และต้องไม่ถอนเงินลงทุนก่อนอายุ 55 ปี เห็นเงื่อนไขนี้แล้วรู้สึกว่ายากจัง แต่เชื่อมั้ยครับว่า พอลงทุนไปแล้วจะติดใจ โดยเฉพาะตอนได้รับภาษีคืนมา โอ้โห เหมือนถูกลอตเตอรี่เลย ที่เคยคิดว่าจะลงทุนแบบปีเว้นปี ก็ลงทุนมันซะทุกปีเลย ตอนหลังมี LTF ตามมาด้วย ก็ลงทุนเต็มอัตราศึกเหมือนกัน จะบอกให้ฟังว่าหมีพูลงในกองหุ้นล้วนๆ ทั้ง RMF & LTF ผลตอบแทนรวมสุทธิ (หลังหักเงินภาษีคืนจาก RMF & LTF และหักเงินปันผลจาก LTF แล้ว) ยังไม่เคยปรากฎผลขาดทุนเลย คิดว่าผลตอบแทนในพอร์ตของเพื่อนๆ ก็คงจะคล้ายๆ กันนะครับ หวังว่าคุณหนูนาคงจะเห็นลู่ทางทำเงินของตัวเองให้งอกเงยมากกว่าเดิมนะครับ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 12:23:07 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เพิ่งไปทำงานกลับมาค่ะ โห..ได้ความรู้เยอะเลย ขอบคุณมากๆค่ะ เด๋วพร่งนี้จะมาอ่านและคิดให้ละเอียดอีกที ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว ง่วงเหลือเกิน แต่คิดว่าน่าจะมีคำถามอีก ขออนุญาตขอความคิดเห็นอีกครั้งนะคะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : หนูนา - [ 27 มิ.ย. 49 00:19:21 A:58.8.10.250 X: TicketID:087755 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมขอแสดงความคิดเห็นอีก 1 เสียงทีอาจเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ นะครับ ผมก็ได้ลงทุน กับ RMF ครับเป็นการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยครับ ซึ่งขณะนี้ผมอายุ34 ครับ ส่วนนี้จะเป็นเงินสำหรับตอน อายุ55 ปี ซึ่งตอนนี้ลงทุนไปแล้วกว่า 200000บาท โดยการหักบัญชีเงินเดือนไปเลย เงินอีกส่วน ลงทุนในหุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์ ของบริษัทภรรยาที่ทำงาน(เป็นรง ปิโตรเคมีมั่นคงมาก )โดยการหักบัญชีเงินเดือนเช่นกัน (จะได้เงินปันผลโดยเฉลี่ย ประมาณ7-9 % ต่อปีผมว่าดีกว่าการเล่นหุ้นมาก) เงินอีก 2 ส่วนคือ PVD แฟนและของผมเองที่หักเข้าบริษัทตอนนี้มันกำลังทำงานของมันอย่างเงียบๆ เงินที่เหลือรอฝากเองกะว่าจะเก็บฝากที่ออมสินแบบไม่เสียดอกเบี้ยและจะแบ่งไปลงทุนในพวกกองทุนอสังหา หรือพวกทองคำ ส่วนสุดท้ายทยอยซื้อที่ดินเก็บไว้บ้างแล้ว(มีที่ดินพ่อตาแม่ยายบ้างและซื้อเพิ่มเติมเอง) อย่าลืมตอนอายุ55 จะได้สิทธิเงินบำนาญจากประกันสังคม ส่วนตัวมีความเห็นว่าถ้าอายุ 30 ขึ้นควรลงทุนใน RMFได้แล้วอย่างน้อยก็ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแต่ให้กระจายการลงทุนไปหลายๆอย่าง ไม่มีอะไรดี 100 %ทุกย่าง เปรียบเสมือนเราสร้าง กองทัพการลงทุนของเราเอาไว้ต่อสู้ตอนเราแก่ให้มันทำงานแทนเรา สมมติทุกอย่างเป็นไปตามที่เราคาดหวัง ตอนเราอายุ 60 ให้เปลียนทุกอย่างเป็นเงินสด ฝากแบ็งค์กินดอกเบี๊ย แล้วอยู่อย่างพอเพียงในที่ดินที่คุณได้สะสมไว้ (ผมแนะนำว่าควรทีที่ดินที่เตรียมไว้ตอนแก่อย่างน้อย 2 ไร่เอาไว้ปลูกผักเลี้ยงปลา) แต่ถ้าสมมติว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าตลาดหุ้นทั่วโลก เจ้ง น้ำมันหมดโลก หรือเกิดสงครามโลก (ซึ่งเป็นไปได้)คนที่สะสมที่ดินไว้สามารถอยู่รอดได้ตามหลักพอเพียงไปจนตายเหมือนที่บรรพบุรุษเราเป็นมานั่นเอง จากคุณ : Fastcat4100 - [ 27 มิ.ย. 49 12:58:07 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอเพิ่มเติมอีกนิดนึงเป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ คือการกระจายการลงทุนสำหรับผมยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ ว่า คุณเคยเห็นร้านข้าวขาหมู แล้วภายในร้านนั้น มีขายเย็นตาโฟ  ขายขนมจีบซาลาเปาด้วยแต่ร้านนั้น ขึนชื่อมากเรื่องความอร่อยของข้าวขาหมู ดังน้นลูกค้าส่วนใหญ่จะกินแต่ข้าวขาหมู เย็นตาโฟจะขายไม่ดี หรือขมมจีบซาลาเปายิ่งขายไม่ดีอีก หายากที่จะขายดีไปทุกอย่างใช่ไหมครับ ฉันใดก็ฉันนั้น การกระจายการลงทุนแบบที่เลือกผู้ดูแลเป็นกลุ่มเดียวกันก็เปรียบเทียบได้กับ การลงทุนในร้านข้าวขาหมูข้างต้น ความเห็นผมการกระจายการลงทุนควรกระจายไปยังหลากหลายกลุ่ม ซึ่งเลือกลงทุนในสิ่งที่กลุ่มนั่นถนัดหรือผลประกอบการชัดเจนดีที่สุด เช่น   SCB เก่ง ตราสารหนี้ TMB เก่ง Set50  กองทุนทองคำ X  เก่งกองทุนอสังหา เพราะไม่มีใครเก่งทุกย่าง ไม่งั้นจะเป็นการกระจายแบบกระจุกครับ ยำเป็นความเห็นส่วนตัวครับ จากคุณ : Fastcat4100 - [ 27 มิ.ย. 49 13:49:04 ]

ความคิดเห็นที่ 17 แม้จะเป็นความเห็นส่วนตัวของคุณ Fastcast4100 แต่หมีพูก็เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคุณนะ เพราะแต่ละ บลจ. มีจุดแข็งไม่เหมือนกัน เราจึงต้องรู้จักค้นคว้าศึกษาหลาย ๆ บลจ. อย่างรอบคอบ และเลือกเฉพาะ Top Cream ของแต่ละที่ เพียงเท่านี้พอร์ตลงทุนของคุณจะดูดีและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของตัวคุณเองมากที่สุดครับ อย่าไปกังวลว่าที่ บลจ. นั่นนี่ซื้อขายไม่สะดวก ไม่มีเน็ทให้ใช้ อยู่ไกล เลยไม่เลือกลงทุนที่ บลจ.นั้น  หมีพูรับประกันว่าถ้าคุณได้ลองโทรคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของแต่ละ บลจ. คุณจะพบว่าทุก บลจ. เขาจะช่วยเหลือหาหนทางให้คุณได้รับความสะดวกมากที่สุดครับ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 27 มิ.ย. 49 22:58:36 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ประชาสัมพันธ์สำหรับผู้ที่สนใจ LTF & RMF เชิญเลือกหาเลือกลงทุนได้ที่งานมหกรรม LTF ที่ห้องโถงตลาดหลักทรัพย์ วันที่ 1-2 กรกฎาคม 2549 แล้วไปเจอหมีพูกันนะคร้าบบบบ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 28 มิ.ย. 49 16:30:02 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ในฐานะที่เราเป็นตัวแทนของไทยประกันชีวิตนะคะ ขอแนะนำว่า ควรจะแบ่งเงินไว้ก้อนหนึ่งมาฝากกับประกันชีวิต ในกรณีที่ยังไม่ได้ทำประกันแนะนำให้ฝากกับประกันชีวิตปีละ 50,000 บาทไปเลย เพื่อใช้หักลดหย่อนภาษี ส่วนเรื่องดอกเบี้ยก็ไม่ขี้เหร่เท่าไหร่ ปีละ 5% แถมดอกเบี้ยยังไม่นำไปคิดภาษีอีกด้วย เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงให้แก่ชีวิตของเราอีกด้วย ส่วนเงินอีกก้อนนึงก็นำไปลงทุนในรูปแบบต่างๆ ถ้าหากอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฝากเงินในรูปแบบประกันชีวิต ติดต่อเราได้ที่ คุณนันทวลัย hris4620@yahoo.com จากคุณ : คนไทยต้องให้คนไทยดูแล... - [ 23 ก.ค. 49 23:00:56 A:124.120.235.241 X: ]