ต้องออกตัวก่อนนะครับว่า
แนวคิด mass ขาดทุนเสมอ ไม่ใช่แนวคิดของผมครับ
แต่เป็นแนวคิดที่อ่านได้จากหนังสือเศรษฐศาสตร์แห่งความจริง
ผมเข้าใจผิดถูกอย่างไร ไม่แน่ชัด ถ้าไม่ถูกก็ขออภัยเจ้าของหนังสือด้วยครับ
ต้องบอกก่อนครับว่า ในการตัดสินใจซื้อขายหุ้น ปัจจุบัน ผมยังคงเกือบจะใช้เทคนิคในการตัดสินใจซื้อขายอย่างเดียวเลย(อย่างน้อย ก็ 70-80% ขึ้น)
แต่กำลังพยายามพัฒนาตัวเองไปสู่จุดที่ ซื้อเป็นขึ้นขายเป็นลง โดยไม่ต้องอาศัยเทคนิคให้ได้ เป็น เปอร์เซนต์ที่สูงมาก
ฟังดูก็เหมือนกับเพ้อฝัน(ฮ่าๆ บ้าหรือเปล่า) และคงทำไม่ได้ แต่อะไรที่ทำไม่ได้ ยิ่งเป็นสิ่งที่น่าสนุก ในการกำหนดเป็นเป้าหมายไว้ก่อนครับ
และแนวคิดว่า ในตลาดเก็งกำไร mass จะขาดทุนเสมอ
จะเป็นรากฐานที่ดีในการกำหนดอารมณ์ ให้ซื้อขาย โดยไม่ต้องอาศํยกราฟได้ผลลัพธ์ที่ดีพอควร ในรายนาที รายชั่วโมง ซึ่งแยกย่อยลงไปได้มากกว่าอีกครับ(ซึ่งอาจจะถูกหรือผิด ก็ได้ และต้องเก็บข้อมูลว่า ได้ผลตามที่ทำมากน้อยแค่ไหน ซึ่งคงจะแตกต่างกันไปตามประสบการณ์ของแต่ละท่านครับ)
ทีนี้ แนวคิดนี้ มีประโยชน์กับนักเทคนิคจริงหรือไม่?
จากคำถามจากหลังไหม้
" แล้วเราจะทราบหรือดูจากกราฟได้เข้าใจอย่างไร ว่าตรงไหนที่ mass ซื้อหรือขายอยู่ล่ะครับ?"
ก็คงจะต้องตอบว่า
จากกราฟ คงไม่สามารถเข้าใจได้ง่ายๆหรอกครับ
แต่พอจะเตรียมความพร้อมได้ ว่า ปัจจุบัน ที่เทรดอยู่นั้น มีรายย่อยอยู่น้อยแล้วจริงหรือไม่ ดังนี้(ซึ่งจะต้องแยกย่อยลงไปอีก ว่าเราเทรดรายนาที ราย 5 นาที รายชั่วโมง รายวัน ฯลฯ เพื่อประเมินผล ตามระยะเวลาที่กำหนดครับ)
๑ เมื่อโวลุ่มเทรดต่ำมากๆ หมายความว่า ผู้เทรดมีน้อย และแน่นอนว่า mass จะเทรดน้อยด้วย แม้ในรายนาที ราย 5 นาที bid-offer จะมาช่วยรองรับตรงจุดนี้ได้ เช่น เมื่อตลาดเป็นขาลง bid แต่ละช่องจะน้อย และอาจข้ามช่อง แทบจะบอกได้เลยว่า ไม่มี mass เทรดแล้ว แต่ ณ จุดไหน จะเป็นจุดซื้อ และเมื่อซื้อแล้ว ณ จุดไหนจะเป็นจุดขาย(แน่นอน จุดขายย่อยอยู่ตรงข้าม กับ จุดซื้อ เช่น เมื่อมีการไล่ราคาให้ดู โดยรายใหญ่แล้ว และ bid ครบทุกช่อง และมากผิดปกติ) และที่สำคัญ จุดประเมิน ภาวะขาดทุน ทั้งขาดทุนจริง ขาดทุนทางบัญชี อยู่ตรงไหน รายนาที รายวัน รายเดือน ฯลฯ
ในตลาดขาลง หมายความว่า หุ้นจะมีจุดต่ำสุดใหม่เสมอ ดังนั้น เมื่อไล่ราคาพร้อมโวลุ่ม ก็น่าขายมากกว่า ซื้อ แล้วรอซื้อที่โวลุ่มต่ำๆใหม่ ที่จุดต่ำกว่าเดิมใหม่ๆครับ
และเล่นแบบนี้ ไปจนกว่าตลาดจะกลับตัวจริงๆครับ(ตลาดจะกลับตัวก็ต่อเมื่อ มันไม่มีจุดต่ำสุดใหม่ และโวลุ่มเฉลี่ยเพิ่มต่อเนื่องครับ)
๒ การเตรียมความพร้อม จาก การ break channel ของ rsi
คือ เมื่อ rsi อยู่ในภาวะลงต่อเนื่อง พร้อมกับ ราคา แต่ถึงภาวะหนึ่ง เนื่องจากโวลุ่มน้อย rsi จะฟื้นตัวได้ก่อนราคา ครับ เมื่อ rsi break channel ขาลงของตัวเองได้ ก็เป็นภาวะเตรียมซื้อที่ดี
แนวคิดคือ เมื่อหุ้นลงมาต่อเนื่อง mass จะกลัวแล้ว ต่อให้ เกิดการซื้อขายในทางบวกก็ตาม จนค่า rsi เริ่มอยู่ตัว mass ก็จะยังไม่เข้าซื้อ เพราะกลไกการป้องกันตนเองของ mass ที่เข็ดหลาบจากภาวะหมี
ดังนั้น โวลุ่มที่ซื้อขายอยู่ ย่อมไม่ใช่โวลุ่มของ mass ดังนั้น นี่เป็นภาวะปลอดภัย
ส่วนในระดับไหน รายนาที ราย30 นาที รายชั่วโมง รายวัน ก็ต้องแล้วแต่กรอบของการเทรด รองรับความผันผวนระดับไหนครับ (ถ้าเราเทรดระดับชั่วโมง ความผันผวนระดับนาที ทำให้หุ้นตกลงมา แล้วเราไม่สบายใจ อันนี้ ก็ผิดแล้ว ดังนั้น กรอบของการตัดสินใจ ต้องเป๊ะ ว่าตนเอง เทรดระดับไหน 5 นาที 30 นาที ชั่วโมง เหล่านี้ต้องแยกให้ถูกครับ)
๓ divergence ของ price กับ rsi
อันนี้ ก็เป็นการเตรียมความพร้อมที่ดีครับ
เมื่อเกิดแล้ว ย่อมมีความหมายของการชะลอตัว เพื่อเปลี่ยนเทรนด์ครับ
ปัจจุบัน กราฟระยะวัน ของ set มี ไดเวอร์เจ๊งของ price กับ rsi แล้ว และเป็นกรอบ divergence ประมาณ 1 เดือนเศษ ดังนั้น ภาวะขาขึ้น ถ้าจะมีต่อไป อย่าเพิ่งคาดหวังนานมาก ราวๆ 1 เดือนยังน่าสนใจครับ
๔ เอาแบบมวยวัดก็ ดูเวบบอร์ดก็ได้ครับ มองลงกันหมดแล้ว เซียนขายกันหมดแล้ว น่าซื้อครับ
๕ ระบบทื่ดี และ risk management ที่ดี เหมาะกับเวลา อายุ และวุฒิภาวะของตนเองครับ
เช่น การมี stop loss เสมอ ซึ่งกรอบที่กำหนด จะอยู่ภายใต้กรอบเทคนิคก็ได้ หรืออะไรก็ได้ที่ตนเองใช้ในระบบ เพราะการเคลื่อนไหวของราคา เป็น random แบบหนึ่ง ซึ่งอาจมี pattern recognize หรือไม่ก็ได้ ดังนั้น ต้องเปิดทางถอยไว้เสมอครับ ถ้าไม่มีระบบเลยจะมั่ว เพราะเวลาได้ ได้น้อย เสีย เสียเยอะ(แต่ระบบของ mass จะอยู่ตรงข้ามครับ คือ เวลาได้ ได้น้อย เสียๆมาก ผมหวังว่า ระบบของคุณ buffet lyn จะไม่ใช่นะครับ) การที่เรา มี stop loss นั่นเป็นการซื้อความเสี่ยงด้วยเม็ดเงินจำนวนหนึ่งครับ ถ้ามันผิดพลาด แล้วมันขึ้น นั่นก็คือ เราได้ซื้อความเสี่ยงนั้น อย่างสมเหตุผลตามความสบายใจของเราแล้ว แล้วเราก็มาดูโจทย์ใหม่ เมื่อเวลาผ่านไปครับ
ถ้าเราเข้าใจ เรื่อง random ของเหตุการณ์ ไม่ใช่แค่เรื่องของหุ้นหรอกครับ เรื่องอื่นๆ เราก็จะมองมันเป็นเหตุการณ์ที่สามารถยอมรับได้ด้วย ซึ่งมันจะมีประโยชน์ในการใช้ชีวิต และการจัดการภาวะอารมณ์ในการดำเนินชีวิตต่างๆได้อีกด้วย และมีความสุขในชีวิตในระยะยาวครับ
คร่าวๆ มั่วๆ ก็ประมาณนี้ครับ
ขอให้โชคดีและสนุกสนานกับการเล่นหุ้นมากกว่าเดิมครับ
ก.ล. มองหุ้นตอนนี้ คนกลัวกันนี่ครับ ผมกลับซื้อแฮะ ซื้อแล้วสบายใจจัง(กรอบเป็นระดับวันครับ) ผิดทาง เดี๋ยว stop loss มันทำงานเอง อิอิ
แก้ไขเมื่อ 29 มิ.ย. 49 15:45:34