ความคิดเห็นที่ 1 อันนี้มันแล้วแต่ครับ ตอบยาก แต่ถ้าทำให้น้อยลง (ขาดทุน) มันง่ายกว่ากันเยอะเลย จากคุณ : QDora - [ 21 ส.ค. 49 14:02:47 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าทำพอร์ตให้มูลค่าเพิ่มขึ้นปีละ 20% จะใช้เวลาประมาณ 26 ปี ถึงจะได้ประมาณ 100 ล้าน ถ้าจะทำให้ 1 ล้านกลายเป็น 100 ล้าน ภายใน 5 ปี ต้องทำให้พอร์ตเพิ่มขึ้นประมาณ 150%ทุกปี จึงจะได้ เช่นปีนี้มี 1 ล้าน ผ่านไปหนึ่งปีก็ต้องทำให้ได้ 2.5 ล้าน ผ่านไปอีกปีหนึ่งก็ต้องได้ 6.25 ล้าน ก็จะได้ 97 ล้าน ภายใน 5 ปี นั่นคืองานคำนวณ ต่อไปคืองานลงทุน ถ้าคุณทำได้ผม ก็ขอคารวะครับ จากคุณ : umdadevil - [ 21 ส.ค. 49 14:03:41 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Very big idea so from 1m to 100m you want  99m if you can make 99/60 = (1.65)m per month you will get 100m in your port. จากคุณ : XBusiness (XBusiness) - [ 21 ส.ค. 49 14:05:47 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าคุณมีข้อมูลอินไซเดอร์จริงๆ แค่ 2 ปี ผมว่าได้นะ หุ้นบางตัว 1-2 เดือน ขึ้นมากว่า 100% ผมว่ายังไงพวกเราผู้ถือหุ้นรายย่อยก็เสียเปรียบผู้ถือใหญ่อยู่วันยังค่ำครับ จากคุณ : zevallez - [ 21 ส.ค. 49 14:07:19 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ว่าจะตั้งกระทู้ถามอยู่ว่า ถ้ามีเงินแสนนี่จะทำให้ถึงล้าน นี่ซัก3ปี ฝันเกินไปรึเปล่า จากคุณ : นั่งรอเธออยู่ - [ 21 ส.ค. 49 14:07:32 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าคุณทำได้คุณจะเป็น 1 ใน สัก 200000 คนก็แล้วกันที่ทำได้ แต่ถ้าไม่สำเร็จคุณจะเป็น 1 ใน 199999 คนที่ทำไม่ได้ และถ้าคุณโชคดีคุณก็จะเป็น 1 ใน สัก 20000 คนที่ได้กำไร จากคุณ : อินเดียแดงหน้าโจร (Indiadangnajone) - [ 21 ส.ค. 49 14:10:44 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เงินแสนถึงล้าน นี่ถ้าซักห้าปี ฝีมือดีๆก็พอมีลุ้นครับ วงเงินไม่สูงมากโอกาสชนะตลาดสูงๆ มันเป็นไปได้ แต่ 1 - 100 ในห้าปี นี่ นึกภาพไม่ออก จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 21 ส.ค. 49 14:15:26 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อ้อ อันนี้ของแุถมจขกท เขียนจากความจำ ตัวเลขอาจเพี้ยนๆ นิดหน่อย แต่ึคงไม่เยอะ ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 12% ต่ิอปี วอเรนต์ บัฟเฟต ทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ 30% ต่อปี ปีเตอร์ ลินซ์ ทำได้ 27% ต่อปี บิล มิลเลอร์ ทำได้ 16% ต่อปี ดร. นิเวศน์ รู้สึุกจะแถวๆ 40 กว่า% จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 21 ส.ค. 49 14:18:17 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อยากรู้ว่าสไตล์ดร.นิเวศน์เป็นยังไงอะครับ เล่นหุ้นปั่นด้วยรึเปล่า จากคุณ : umdadevil - [ 21 ส.ค. 49 14:22:49 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เล่นหุ้นให้ได้กำไรปีละ 100% ประมาณไม่เกิน 7 ปี คุณก็จะสามารถทำเงินได้ 128 ล้านบาทไทย จากคุณ : mar รุ่นเก๋า - [ 21 ส.ค. 49 14:35:40 A:61.47.114.102 X: TicketID:122020 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ตอบคห 9 ครับ แนวทางของดร.นิเวศน์คือการประยุกต์แนวคิดของบัฟเฟต และปีเตอร์ลินซ์เพื่อใช้ในตลาดไทยครับ ไม่มีหุ้นปั่น แม้แต่ตัวเดียวในพอร์ตของท่าน นี่คือสิ่งที่ผมและเพื่อนๆชาว vi ยืนยันได้ แนวคิดหลักคือ บริษัทที่ดีย่อมทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปได้เรื่อยๆเป็นระยะเวลายาวนาน หากหาบริษัทเช่นนั้น และซื้อได้ในราคาที่ต่ำพอ กำไรก็จะมาเองเรื่อยๆโดยไม่ต้องตามเทรดเข้าออกให้เสียคอมมิสชั่นครับ สำหรับผลงานของท่าน คุณครรชิตได้วิเคราะห์ผ่านรายงานการถือหุ้นรายใหญ่ไว้ที่ http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=768 ครับ เพื่อนๆที่สนใจแนวคิดการลงทุนในแนวนี้ สามารถศึกษาได้จาก http://www.thaivi.com ครับ จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 21 ส.ค. 49 14:39:28 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่ค่อยเห็นใครทำได้นะ  เห็นมีแต่พวกคิดว่าตัวเองเก่งก็อยากลองดี สุดท้ายติดลบแทบทั้งนั้นครับ เจ้ามือเค้าไม่ให้เราเอาเงินออกง่ายๆหรอกครับ จากคุณ : bar-b'gon - [ 21 ส.ค. 49 14:57:57 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ^ ขอบคุณครับ จากคุณ : umdadevil - [ 21 ส.ค. 49 14:59:24 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ไม่นานครับ ขอให้มีระเบียบวินัยครับ จากคุณ : pojj - [ 21 ส.ค. 49 15:02:39 A:180.19.1.8 X:203.146.217.35 TicketID:125849 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ตอบคห 9 ครับ ในตอนแรกๆของการลงทุน ดร นิเวศน์ เล่นหุ้นปั่นด้วยครับ แต่พอศึกษา บุฟเฟตต์ กับ ลินซ์ และนำมาใช้ ผลตอบแทนท่านดีกว่า เล่นหุ้นปั่นมากเลย ดร นิเวศน์ เป็นคนที่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดที่ว่า รายย่อยไม่มีinsider ไม่มีทางประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นครับ จากคุณ : JChai - [ 21 ส.ค. 49 15:39:05 A:58.8.76.161 X: TicketID:087120 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เล่านิทานปรัมปรา แว่วๆว่า เป็นเรื่องจริง อาตี๋ สักมังกร อาตี๋ มาเมืองไทย ใหม่ๆ เห็นคนไทย สักลายเสือเผ่นกลางอก ดูเท่ห์ดี เลยไปหาคนที่รับสักลาย คนสักถามว่า จะเอาลายอะไร อาตี๋ บอกว่า เอาลายมังกร ห้าเล็บ คาบแก้ว เต็มกลางหลัง คนสักบอกแน่ใจนะ อาตี๋บอก แน่ใจ พอคนสัก จิ้มเหล็กลงไปจึ้กแรก อาตี๋ร้องจ๊ากส์ บอกคนสัก -เอ่อ ลูกแก้วไม่เอาแล้ว เอาแค่ตัวมังกร จิ้มเหล็กจึ้กสอง อาตี๋ร้องโอ๊ย บอกคนสัก -เอ่อ เกล็ดมังกร ไม่ต้องก็ได้ จิ้มเหล็กจึ้กสาม อาตี๋ร้อง ซี๊แหงๆอ่า -เอ่อ เล็บมังกร ก็ไม่เอานะ สุดท้าย จิ้มไปอีกไม่กี่ที อาตี๋ บอกว่า พอแล้ว พอแล้ว เจ็บ ชิ หาย ถามคนสักว่า เป็นรูปอะไร ตอนนี้ คนสักตอบว่า ***หนวดมังกร 1 เส้น*** นิท่าน เรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า สิ่งที่คาดหวัง กับ สิ่งที่ได้รับ อาจต่างกันไกล เมื่อได้สัมผัส ขอจบนิทานแต่เพียงเท่านี้ -------------------------- เอาชีวิตจริงบ้าง มี 1 ล้าน ตั้งเป้า 100 ล้าน ไม่ใช่สิ่งที่ผิด อาจแค่สงสัยว่าจะใช้แวลาแค่ไหน เพราะ นานเกินไป อาจไม่สบอารมณ์ หรือ สมความตั้งใจ แต่เมื่อได้สัมผัสของจริง อาจบอกว่า ขอแค่ทุนคืน ก็พอแล้ว จะกี่ปีก็ยอม จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน - [ 21 ส.ค. 49 15:55:05 A:58.9.67.115 X: TicketID:106249 ]

ความคิดเห็นที่ 17 1 ล้าน เป็น 100 ล้าน มี แต่ไม่เยอะ 100 ล้าน เป็น 1 ล้าน มี แล้วก็ไม่น้อยด้วย จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน - [ 21 ส.ค. 49 15:58:16 A:58.9.67.115 X: TicketID:106249 ]

ความคิดเห็นที่ 18 1หมื่น เป็นหมื่นล้าน ได้ม่ะ จากคุณ : ช่างกล (อ่อนอกอ่อนใจ) - [ 21 ส.ค. 49 16:03:04 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คิดไม่ออกครับ แจกล้านให้เหลือ ศูนย์ ทำได้ในหนึ่งเดือนครับ อิๆ จากคุณ : ก้อนหิน MBA - [ 21 ส.ค. 49 16:50:30 ]

ความคิดเห็นที่ 20 94.38ปีครับ ถ้าเอาไปฝากประจำ ที่ได้ดอก 5%ต่อปี 10ปี ถ้าหาผลตอบแทนได้ 58.48 % ต่อปี สูตรนะครับFV=PV(1+i/y)ยกกำลังn FV=Future value คุณอยากได้ 100ล้าน PV=Present value คุณลงไป1ล้าน i=อัตตราผลตอบแทน(ต่อปีหรือต่อ1รอบการลงทุน) n=จำนวนปี(หรือจำนวนรอบการลงทุน) ลองคำนวนดูครับ เอา i แบบที่ตัวเองคิดว่าทำได้ เอาอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยมาคิดกลับด้วยครับ จะได้รู้ real rate จากคุณ : แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยอมยิ้ม - [ 21 ส.ค. 49 16:52:45 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ทำ เงินล้านให้กลายเป็นหมื่น ใน5 เดือนยังง่ายก่าอีก อิอิ จากคุณ : มือใหม่DSM - [ 21 ส.ค. 49 16:53:24 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ถ้าผมจะคิดแบบนั้น ใช้เวลาแค่คืน่เดียว ก็ได้แล้ว นอนแต่หัวค่ำไม่ทานอาหารอิ่มจนเกินไปแล้วดื่มนมเยอะๆ แต่ตื่นเช้าทุกอย่างก็เหมือนเดิม จากคุณ : พ่อหอยโข่ง - [ 21 ส.ค. 49 16:53:32 ]

ความคิดเห็นที่ 23 2 ปี ปีแรก ซื้อ KK ที่ 3 บาทถือ 1 ปีไปขายที่ 70 บาท แล้วเอาเงินที่ขายได้มาซื้อ atc ที่ 5 บาทถือ 1 ปีไปขายที่ 70 บาท จากคุณ : ง่าย ๆ - [ 21 ส.ค. 49 18:28:27 A:58.8.184.103 X: TicketID:124741 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คงต้องค้าขายอย่างอื่นแล้วครับ จากคุณ : GMT-Master (GMT-Master) - [ 21 ส.ค. 49 18:50:36 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คห. 20 แล้ว y คือค่าอะไรครับ (อยากลองคำนวณจริงๆ) จากคุณ : B@lly - [ 21 ส.ค. 49 19:11:39 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณมากๆ ครับ จากคุณ : 999 (999) - [ 21 ส.ค. 49 22:58:29 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ผมว่าไม่เกิน 7 ปีนะ ไปคิดต่อเอานะครับ ว่าผมบ้าไหม? จากคุณ : amarywater - [ 22 ส.ค. 49 00:18:15 ]

ความคิดเห็นที่ 28 น.พ.ยรรยงเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อปี 2532 ขณะที่ดัชนีประมาณ 600 จุด เคยผ่านวิกฤตการณ์ซัสดัมเมื่อปี 2533 ผ่านเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 เคยผ่านยุคที่ตลาดหุ้นบูมสุดๆ เกือบ 1,800 จุด เมื่อต้นปี 2537 เคยผ่านเหตุการณ์ลอยตัวของค่าเงินบาท ปี 2540 และผ่านยุคตกต่ำที่สุดของตลาดหุ้นตอนดัชนีลงมาเหลือ 200 จุด เมื่อปี 2541 ไม่เพียงหมอรอดมาได้เท่านั้น แต่พอร์ตของเขากลับขยายเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ในยุคที่อิรักบุกคูเวตเมื่อปี 2533 น.พ.ยรรยงมีพอร์ตเล่นหุ้นเพียงแค่ 1-2 ล้านบาท เท่านั้น แต่วันนี้พอร์ตของหมอมีมูลค่าเฉียดพันล้านบาท หมอบอกว่า ปัจจุบันเขาซื้อขายหุ้นเฉลี่ยเดือนละ 1,000 ล้านบาท หรือปีละกว่า 10,000 ล้านบาท เริ่มลงทุนด้วยเงิน 5 แสนบาท จากคุณ : no_lagging - [ 22 ส.ค. 49 18:29:22 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เรียนจบทันตแพทย์จากรั้วมหิดลใน ปี 2525 และกลายเป็นหมอฟันเด็กที่มีอนาคตรุ่งโรจน์คนหนึ่งของวงการ โดยเริ่มต้นอาชีพหมอฟันด้วยการร่วมทุนกับเพื่อนเปิดคลินิกแถวถนนเทเวศน์ ขณะนั้นหมอมีรายได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่าเดือนละ 2 แสนบาท แต่หมอกลับคิดว่า "อาชีพหมอฟันไม่รวย แค่พอกินพอใช้เท่านั้น" หมอเล่าว่าเริ่มเข้าสู่ตลาดหุ้นเมื่อปี 2532 ขณะที่มีอายุประมาณ 31-32 ปี สมัยนั้นตลาดหุ้นเปิดครึ่งวันเช้า ช่วงเช้าหมอจะไปเล่นหุ้นช่วงบ่ายก็กลับคลินิก หมอทำอย่างนี้ประมาณ 3-4 ปี ก็ค้นพบว่าการเล่นหุ้นเป็นสิ่งที่ท้าทายกว่าอาชีพหมอฟัน เพราะโลกของหมออยู่แต่ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตั้งแต่เช้ายันเย็น จากคุณ : no_lagging - [ 22 ส.ค. 49 18:30:01 ]

ความคิดเห็นที่ 30 "ผมชอบเล่นหมากรุก การเล่นหุ้นก็เหมือนการเดินหมาก ต้องใช้ความคิดตลอดเวลา ก็เลยตัดสินใจทิ้งอาชีพหมอฟันมาเล่นหุ้น ทั้งที่ตอนนั้นรายได้จากการเล่นหุ้นน้อยกว่ารายได้จากการทำฟัน" หมอเล่าให้ฟัง "ตอนที่เริ่มสตาร์ทผมลงเงินไป 500,000 บาท ตอนนั้นเลือกหุ้นที่คิดว่ามี "ราคาถูก" ผมจะซื้อหุ้นที่ราคาตกลงมามากๆ เลือกหุ้นที่มีพี/อี เรโชต่ำ และซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่าพาร์ เพราะเราคิดว่าราคาถูก" นั่นคือสิ่งที่หมอบอกว่า เขาเริ่มต้นเล่นหุ้นจากที่ไม่มีความรู้อะไรเลย ประสบการณ์เล่นหุ้นช่วงแรกๆ จึงไม่ราบลื่น สิ่งที่หมอคิดว่า "ราคาถูก" และ "ปลอดภัย" กลับตรงกันข้าม เล่นช่วงแรกเจ๊งมาตลอดจนเหลือเงินอยู่ 180,000 บาท สุดท้ายต้องกลับมาทบทวนใหม่แล้วค่อยๆ เรียนรู้ ถ้ามัวแต่ยึดข้อมูลในอดีต สักวันคงหมดตัวแน่!!!" ตามความเห็นของหมอ หุ้นเป็น "Dynamic" ฉะนั้น 1+1 ในตลาดหุ้นไม่จำเป็นต้องได้ผลลัพธ์เท่ากับ 2 เสมอไป ทฤษฎีการลงทุนบางครั้งก็ใช้ไม่ได้ แต่ต้องให้ประสบการณ์เป็น "ครู" "ผมก็กลับมาทบทวนดูว่า ต้องเปลี่ยนวิธีเล่นใหม่ ก็ตั้งเป็นเกณฑ์ว่า เมื่อไรที่เราเล่นหุ้นมีกำไร นั่นแหละวิธีการที่ถูก เมื่อใดที่เราเล่นหุ้นขาดทุนนั่นแหละวิธีการที่ผิด" เขาจึงได้บทสรุปว่า "จงทำตามแนวโน้มตลาด" อย่าฝืนเอาชนะ ดังนั้นกฎข้อแรกที่หมอได้เรียนรู้ ก็คือ "หุ้นยิ่งขึ้นต้องยิ่งซื้อ หุ้นยิ่งตกต้องยิ่งขาย" เขาเชื่อในตรรกะที่ว่า "ในสวรรค์ยังมีสวรรค์ ในนรกยังมีนรก" ทำให้เขาค้นพบว่าวิธีการเล่นหุ้นที่ดีที่สุดต้องเล่นหุ้น "ตามกระแส" จึงอยู่รอดในวงการนี้ จากคุณ : no_lagging - [ 22 ส.ค. 49 18:31:41 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เขาเปรียบวิธีการเลือกหุ้นของตัวเองว่าเหมือนดูเทรนด์แฟชั่น "สมมติว่าคนกำลังบ้าหลุยส์วิตตอง ผมก็จะซื้อหลุยส์วิตตอง ถ้าผมประเมินว่าหุ้นตัวนี้กำลังจะไป ดูข้อมูลทุกอย่างแล้วเข้าคอนเซ็ปท์ ผมจะเข้าไปซื้อเลยโดยไม่สนใจราคา แต่ถ้าคนเลิกเห่อ....ผมก็เลิกเล่น" ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจว่าหุ้นที่ซื้อราคาจะ "ถูก" หรือ "แพง" หากจะว่าไปแล้วสไตล์การเล่นหุ้นของน.พ.ยรรยงจัดว่า "เฉียบคม" อย่างยิ่ง เขากล่าวว่า "สไตล์ของผมคือเล่นหุ้นตาม "แฟชั่น" คือผมไม่ชอบนำแฟชั่น และไม่ชอบตามแฟชั่น แต่ผมจะ "เกาะกระแส" แฟชั่น เพราะผมเชื่อว่า นี่คือวิธีการจำกัดความเสี่ยงที่ดีที่สุด" อาจจะพูดได้ว่าน.พ.ยรรยงก็คือ "นักเก็งกำไร" ที่เฉลียวฉลาด เพราะไม่ใช่แค่ตามแห่ แต่มีหลักการของการเก็งกำไรพอตัวทีเดียว "วอลุ่ม" เป็นปัจจัยหนึ่งที่หมอใช้เป็นเงื่อนไขในการซื้อหรือขาย ช่วงไหนที่ตลาดไซด์เวย์วอลุ่มไม่ค่อยมี หมอจะหยุดดู และทำตัวเหมือนกับ "เหยี่ยว" ที่รอคอยจังหวะเข้าโฉบเหยื่อ เมื่อไรก็ตามที่เขาบอกตัวเองว่าช่วงนี้หุ้น "เล่นยาก" ลงทุนไปก็ไม่คุ้ม เขาจะหยุดเล่นเลย นี่เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ทำให้น.พ.ยรรยงแตกต่างจากนักเก็งกำไรทั่วไป นักเล่นหุ้นคนนี้ล่ำซำมาได้ไม่ใช่เพราะ "โชคดี" แต่เป็นเพราะเขาเลือกจับเฉพาะ "ปลาใหญ่" และกล้า "วางเดิมพันหมดหน้าตัก" ในช่วงที่ตลาดหุ้นบูม เพราะเขามองว่าเป็นช่วงจังหวะที่ดีที่สุดของการทำกำไร และ "จำกัดความเสี่ยง" จากประสบการณ์ที่ผ่านมา น.พ.ยรรยงเชื่อว่า ตลาดหุ้นมี "ฤดูกาล" ของมัน ในแต่ละปีจะมีช่วง "นาทีทอง" อย่างน้อย 1-2 เดือน และเขาจะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดมือ เขาเผยว่า จะไม่เล่นหุ้นแบบ "ทอดแห" และไม่ซื้อหุ้นโดยไม่มีเป้าหมาย "ผมถือคติว่าจะไม่จับปลาเล็ก ผมชอบจับ "ปลาวาฬ" วิธีการคือ จะซื้อหุ้นน้อยตัว แต่จะซื้อทีละเยอะๆ โดยมองผลตอบแทนต่อครั้งประมาณ 20-30% หรืออย่างน้อยก็ต้อง 10% ขึ้นไป สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่เขาเห็นส่วนใหญ่จะซื้อขายหุ้นบ่อยเกินไป และหวังกำไรเพียงแค่ 3-4% ก็ขาย น.พ.ยรรยงบอกว่า "ภาษานักเล่นหุ้นเขาเรียกว่า "กินน้ำหวานบนปลายมีด" คือได้รับผลตอบแทนน้อย แต่ลิ้นคุณต้องเจ็บตลอด อย่างนี้ผมจะไม่เล่น เพราะผิดหลักการจำกัดความเสี่ยง" คนส่วนใหญ่มักจะมองน.พ.ยรรยงว่าเขาเป็น "นักเสี่ยงโชค" บางคนมองว่าเขาเป็น "นักพนัน" ด้วยซ้ำ ไม่ว่าใครจะให้คำ "จำกัดความ" ตัวเขาว่าอย่างไร? หมอก็ยังยืนยันว่าเขาเป็นคนที่ "ไม่ชอบเสี่ยง" แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 49 18:34:26 จากคุณ : no_lagging - [ 22 ส.ค. 49 18:32:22 ]