ความคิดเห็นที่ 1 เพิ่มค่ะ แบบ ซื้อง่าย   ไม่กำหนด จำนวนเงินสูงมาก ขายคล่อง    ขายได้บ่อย   เห็นแบบอาทิตย์ละครั้ง ถึง เดือนละ 2 ครั้ง   มี ถี่กว่านี้รึเปล่าค่ะ รับเงินขายคืน ช้ามาก.... แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 49 23:09:38 จากคุณ : แนนแนน - [ 25 ส.ค. 49 23:06:48 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่ได้ปั่นกระทู้ตัวเองนะ แยก กรอบ เพื่อความสะดวกในการอ่านไงค่ะ หุหุ และอยากทราบว่า fund of funds พวกนี้ ควรเลือกที่เค้าไปลงทุนใน ประเทศไหนค่ะ เห็นพวก asia x japan, asia เอา ยุ่นปี่ญี่ปุ่นด้วย ,   asia  included india china  ,    หรือพวก 3 ทวีปเลย อย่างไหนมีข้อ ดี เสียอย่างไร จะมีคนใจดีมาเล่าให้ฟังไหมน้า ขอบคุณค่ะ แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 49 23:10:33 จากคุณ : แนนแนน - [ 25 ส.ค. 49 23:08:59 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าเป็นกองที่เปิดขายมาแล้วจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่เห็นมีกองไหนที่จะดูดีโดดเด่นได้ตลอดเวลา มีขึ้นและลงวูบวาบตามเศรษฐกิจโลกและของเซคเตอร์นั้นๆที่กองทุนได้ไปลงทุนเช่น ตลาดเกิดใหม่ ตลาดพัฒนาแล้ว ตลาดเอเชีย ตลาดญี่ปุ่น แม้กระทั่งตลาดหุ้นกู้แปลงสภาพทั่วโลก หากเทียบระยะเวลาไม่เกิน 3 ปีย้อนหลัง ผลการดำเนินงานของ FIF ก็ไม่ค่อยสวยสมใจหวังเท่าไหร่นัก เห็นจะมีก็แต่เอเจเอฟคอนเวิร์ตติเบิลบอนด์เพียงกองเดียวที่ดูเข้าท่าหน่อย เพราะเป็นกองไปลงทุนในหุ้นกู้แปลงสภาพทั่วโลกโดยใช้สกุลยูโร (แต่ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาเมื่อสักปีสองปีที่แล้ว กำไรหลักไม่ได้เกิดจากตัวกองทุนแต่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนยูโรเป็นเงินบาทต่างหาก) ส่วนอีกกองนึงที่ผลตอบแทนดูดีมากนับตั้งแต่จัดตั้งเมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ก็เล่นเอาแทบหัวใจวายถ้าเข้าผิดจังหวะ หรือกะเก็งราคาทองคำไม่แม่นยำ คือกองทุนทองคำแท่งของ บลจ.ทหารไทย หมีพูมีความเห็นว่าถ้าเรามีเงินลงทุนไม่มากนักก็ลงทุนเฉพาะกองทุนหุ้นในประเทศไทยเราไปก่อนก็ได้ครับ มีสภาพคล่องในการซื้อขายดีกว่า FIF และยังมีค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่าด้วย บางกองก็ฟรีอีกต่างหาก ในขณะที่ FIF จะมีค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่สูงตั้งแต่ 0.5%-3% การลงทุนผ่านกอง FIF ควรจะมีเงินลงทุนประมาณ 1 แสนขึ้นไปกำลังเหมาะสมดีครับ (แม้หลายกองจะเริ่มต้นที่ 1 หมื่น หรือบางกองก็เริ่มที่ 2 พันบาทก็มี เช่น กองทุนทองคำของทหารไทยและกองไอเอ็นจีไทยตราสารหนี้เอเชีย) ถือว่าไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป ทำให้ได้ผลตอบแทน(หรือขาดทุน)ได้เป็นกอบเป็นกำ จะได้คุ้มกับความเสี่ยงและสภาพคล่องในการซื้อขายที่ต้องสูญเสียไปหลายวันด้วยครับ มีข่าวมาประชาสัมพันธ์ FIF กองใหม่ล่าสุดของไอเอ็นจี ก็คือ กองทุนเปิดพาวเวอร์แอสเซ็ทอโลเคชั่น โดยกองนี้ลงทุนในกองทุนตราสารตลาดเงิน 5% + ตราสารหนี้ 35% + หุ้น 50% + หลักทรัพย์กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 10% ในแหล่งทุนที่กระจายทั่วโลก ที่บริหารกองทุนโดยไอเอ็นจี เสนอขายครั้งแรก 24-31 สิงหาคม 2549 จองซื้อขั้นต่ำ 10,000 บาท และมีค่าธรรมเนียมการซื้อในช่วงแรกนี้เพียง 1% (ตั้งแต่ 7 กันยายนเป็นต้นไป คิดค่าธรรมเนียมการขายไม่เกิน 2%) และสามารถขายคืนได้เดือนละ 2 ครั้ง ทุกวันที่ 15 และวันทำการสุดท้ายของเดือน โดยต้องส่งคำสั่งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 5 วันทำการ โดยไม่มีค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน ซื้อขายได้ที่ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์(ไทย) เพียงที่เดียวเท่านั้น โทร.1595 สำหรับ FIF ที่ลงทุนในหุ้นทั่วโลก ที่หมีพูศึกษาใน fund fact sheet ของกองทุนแม่ที่ต่างประเทศ (ที่ตั้งมานานหลายปีแล้ว) รวมถึงเทียบกับผลตอบแทนที่ได้รับแล้ว คิดว่าน่าสนใจก็มี อเบอร์ดีน (ABWOOP) และ ยูโอบี (UOBSIG) กองทุนหุ้นในต่างประเทศนั้นหลาย ๆ แห่งคิดค่ารรมเนียมการซื้อที่ 5% ขึ้นไป (ที่ต่างประเทศถือว่าธรรมดามาก) แต่จะคิดค่าธรรมเนียมบริหารกองในราคาถูกประมาณ 1% เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเวลาดูผลตอบแทนของกองต่างประเทศก็ดูดีใช้ได้ แต่พอแปลงกลับมาเป็นเงินบาทในช่วงเงินบาทแข็ง กลับขาดทุนดื้อ ๆ ซะงั้น อาจทำให้ไม่ประทับใจเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นเวลาดูผลตอบแทนของกอง FIF ต้องดูทั้งผลตอบแทนของกองทุนแม่ที่ต่างประเทศ และ กอง FIF ที่เมืองไทยด้วยนะครับ จะได้ไม่เข้าใจผิด จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 26 ส.ค. 49 00:08:54 ]

ความคิดเห็นที่ 4 โดยความเห็นส่วนตัว (เน้นว่าส่วนตัว) ยังไม่แนะนำให้ซื้อเนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ NAV ของกองทุน FIF ลดลง (เกิดจากการแปลงสกุลเงินต่างประเทศกลับเป็นสกุลเงินไทย) แต่หากต้องการลงทุนจริงๆ....ตามความเห็นที่ 3 ครับ จากคุณ : clientuser - [ 26 ส.ค. 49 01:28:56 ]

ความคิดเห็นที่ 5 FIF ในตลาดทุกกอง วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งคือ เป็นทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงให้แก่ผู้ถือหุ้น เพื่อให้สามารถลงทุนได้หลากหลายตลาด ไม่เพียงเฉพาะตลาดหุ้นไทยเท่านั้นครับ ใครที่คิดเก็งกำไรจากกองทุน FIF ผมคิดว่าน่าจะผิดหวังหน่อยนะครับ เพราะราคาไม่หวือหวา ถึงแม้ขึ้นลงตลอดเวลา และอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญก็คือ ค่าธรรมเนียมการขายแพงกว่ากองทุนรวมทั่วๆไปอีกด้วย ส่วนตัวแล้ว ณ ปัจจุบันผมเลือกลงทุนใน ABAPAC ของ บลจ.อเบอร์ดีน ซึ่งลงทุนในเอเชียแปซิฟิค ยกเว้นประเทศณี่ปุ่นครับ เนื่องจาก Size ของตลาดหุ้นณี่ปุ่น และภาวะเศรษฐกิจของณี่ปุ่นก็อยู่ในภาวะถดถอยเป็นระยะเวลานาน จึงถือว่าไม่ควรนำมารวมในพอร์ตการลงทุนที่เน้นเฉพาะ Emerging Market ในเอเชีย จาก Fund Fact Sheet จะเห็นว่ากองทุนหลักของ ABAPAC นั้นตั้งอยู่ที่สิงค์โปร์ โดยมีนโยบายเข้าไปซื้อกองทุนอื่นๆใน บลจ.อเบอร์ดีน ด้วยกันเองในแต่ละประเทศ และมีเลือกลงทุนเองโดยตรงด้วย ซึ่งต่างจาก FIF กองอื่นๆในบ้านเรา ที่อาศัย หรือ พึ่งกองทุนต่างชาติที่ไม่ใช่บริษัทในเครือ และไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง เช่น บลจ.วรรณ และ บลจ.กสิกรไทย ซึ่งเลือกลงทุนในกองทุนของบริษัท IXIS ที่ผมชอบ บลจ.อเบอร์ดีน มาตลอดก็ตรงนี้ล่ะครับ ลองนึกภาพสมมติว่าเป็นตัวเราเอง ถ้าเราต้องการจะเลือกลงทุนในที่ๆเราไม่ค่อยรู้จัก เราจะเอาเงินไปไว้กับคนแปลกหน้าที่ถึงแม้จะรูปหล่อ พ่อรวย แต่เราไม่รู้จักเขาเลย หรือว่าเราจะลงทุนกับคนที่เรารู้จักและไว้ใจได้ บางคนก็อาจค้านนะครับว่า บลจ.อเบอร์ดีน ที่ต่างประเทศ เราเองก็ไม่รู้จักเหมือนกัน แต่หากมองดีๆ ถึงจะอยู่ที่อื่น แต่เจ้าของก็คนเดียวกัน การคุย การลงทุน การเลือกหุ้น สามารถทำได้สะดวกสบายกว่า เปลี่ยนแปลงนโยบายการลงทุนได้คล่องตัวกว่า ( แต่ผลการดำเนินงานอาจตรงกันข้ามก็ได้) แต่เอาเถอะครับ ไหนๆเราก็ไว้ใจเขาไปแล้วนี่ ต้องรอดูกันต่อไป จากคุณ : Mr.Messenger - [ 26 ส.ค. 49 01:43:29 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ตอนนี้มี ABAPAC อยู่เหมือนกันค่ะ เหตุผลก็คล้ายๆกันคุณ Mr.Messenger ค่อนข้างชอบ abeerdeen เหมือนกัน ถึงของประเทศอื่นไม่รู้จักแต่ก็เครือเดียวกันอ่ะนะเพราะพวกกองทุนต่างประเทศนี่เราไม่รู้จักเลย ส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เราว่าถ้าลงในพวกเอเชียแปซิฟิกด้วยกันคงไม่โดนมาก เพราะค่าเงินทางเอเชียมีแนวโน้มแข็งขึ้นทั้งนั้นเมื่อเทียบกันอเมริกาหรือยุโรป กองตราสารหนี้ อันที่ดูมั่นคงก็คงเป็นพวกของประเทศพัฒนาแล้ว แต่ก็จะไปเสี่ยงตรงเรื่องค่าเงินเยอะหน่อย พวก FIF ส่วนใหญ่ค่าธรรมเนียม ค่าบริหารจัดการสูงทั้งนั้น แถมไม่ได้ขายคล่องเหมือนกองทุนบ้านเรา จะซื้อทีต้องดูจังหวะดีๆหน่อยละกันนะคะ จากคุณ : ไอซ์ที - [ 26 ส.ค. 49 09:39:58 ]

ความคิดเห็นที่ 7   ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ได้ความรู้เยอะแยะไปหมดเลย จากคุณ : แนนแนน - [ 27 ส.ค. 49 01:27:59 ]