ความคิดเห็นที่ 2
1. การเสียภาษีจากการขายหุ้น
1.1. นายกฯมีหุ้นชินคอร์ป 1500 ล้านหุ้น ตั้งบริษัทมาเอง 23 ปี เข้าตลาด 15 ปี หากที่ผ่านมาขายหุ้นให้ครอบครัวและตอนหลังครอบครัวขายออก ผ่านตลาดหลักทรัพย์ ทั้งหมดไม่เสียภาษีได้อยู่แล้ว 1.2. แต่ที่มีการขายผ่านบริษัทแอมเพิลริช 300 ล้านหุ้น เป็นความประจวบเหมาะ เพราะปี 42 มีแผนเอาชินคอร์ปเข้าตลาดหุ้นสหรัฐ เพื่อ Go Inter เอาไปใส่กระดานต่างประเทศเตรียมไว้ ตอนหลังตลาดหุ้นสหรัฐตกลงมาก ไม่เหมาะจะเข้าระดมทุน ก็หยุดแผน แต่หุ้นก็อยู่ตรงนั้นแล้ว ทีหลังพอมีการขายหุ้นให้ครอบครัวและตอนหลังครอบครัวขายออก ก็ต้องทำในส่วนหุ้นชินคอร์ปที่แอมเพิลริชถืออยู่ด้วย ดูหน้าข้อมูลประกอบ 1.3. 300 ล้านหุ้นที่ผ่านแอมเพิลริช นักกฏหมาย สรรพากรก็ยืนยันว่าถูกต้อง ถึงแม้จะฟังดูซับซ้อน บางคนอาจแคลงใจ ฝ่ายกล่าวหามาเลือกโจมตีจุดนี้ แต่เห็นได้ว่าในอีก 1200 ล้านหุ้น ก็ไม่มีประเด็นภาษีอะไร ซึ่งเดิมก็เป็นหุ้นเดียวกันจากกลุ่ม1500 ล้านหุ้นของนายกฯ ดังนั้น หากดูเจตนาก็จะเห็นว่าไม่จำเป็นต้องทำเพื่อหลีกเลี่ยงอะไร เพราะไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว กรณีแอมเพิลริช ทำเพียงเพราะจะเข้าตลาดหุ้นสหรัฐ เพราะไม่ได้ช่วยให้มีประโยชน์เพิ่มในด้านลดภาษี และครอบครัวนายกฯสามารถขายหุ้นแอมเพิลริช ในต่างประเทศเลยก็ได้ ก็ไม่ต้องเสียภาษีอีกเหมือนกัน แต่ไม่ทำแบบนี้ เพื่อให้เงินอยู่ในประเทศ 1.4. หากแคลงใจในความถูกกฏหมาย ก็ควรให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ไม่ควรเอาเป็นประเด็นโจมตีทางการเมืองที่นายกฯและสรรพากร 1.5. ตลาดหลักทรัพย์ ไม่เก็บภาษีกำไรจากบุคคลธรรมดาที่ไปซื้อขายหุ้นในตลาด เป็นการตั้งใจส่งเสริม เพราะไม่งั้นเสียเปรียบบริษัทนิติบุคคลมาก เพราะบริษัทเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลหลังทำงบกำไรขาดทุนได้ หากขาดทุน เสียภาษีเงินปันผล ภาษีกำไรขายหุ้น ก็หักเป็นค่าใช้จ่ายได้ แต่บุคคลธรรมดา ทำงบไม่ได้ หากขาดทุน เสียภาษี ก็หมดทันที หากตลาดหลักทรัพย์ไม่ทำเช่นนี้ นักลงทุน 500,000 คนต้องไปตั้งบริษัทกันหมด วุ่นวายกันใหญ่เพื่อจัดตั้ง ทำบัญชี ตรวจบัญชี 1.6. ทั้งตัวนายกฯ ครอบครัว บริษัท และพนักงานกว่า12,000 พันคน เสียภาษีทุกรูปแบบ ทั้งเงินได้จากเงินปันผล เงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล รวมถึงค่าสัมปทานต่างๆ ทั้งมือถือ ดาวเทียม ฯลฯ ปีละหลายหมื่นล้านบาท เป็นผู้สร้างรายได้ภาษีรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งให้ประเทศไทย ร่วม 5% เมื่อเทียบกับยอดจัดเก็บของสรรพกรของไทย ทำขนาดนี้ เป็นผู้เสียภาษี มีจริยธรรม และรักชาติไม่น้อยกว่าใคร 1.7. กลุ่มบริษัทชิน ได้ชื่อว่า เป็นบริษัทดีเด่นของไทย มูลค่าทางตลาดรวมในตลาดหลักทรัพย์ (Market Capitalization) ราว 350,000 ล้านบาท เท่ากับ 7% ของทั้งตลาดหุ้นไทยรวมกัน เป็นหนึ่งในเพียงสามบริษัทไทย ที่ติดใน500 อันดับแรกบริษัทใหญ่ที่สุดของโลกจัดโดยฟอร์จูน (อีกสองคือปูนซีเมนต์ไทยและปตท) ได้รับรางวัลจากตลาดหลักทรัพย์ไทย และสถาบันการเงินระหว่างประเทศจำนวนมาก ในความดีเด่นในแง่ผู้บริหาร การจัดการ ธรรมธิบาล การรายงานการเงิน ความเชื่อถือทางการเงิน (เครดิตทางการเงินของเอไอเอส ในเครือชินคอร์ป สูงกว่าของรัฐบาลไทย) ทำได้ขนาดนี้ ต้อง มีความสามารถและจริยธรรมเพียงพอแน่
พอดีเคยได้บทความนี้มานานแล้ว เอามาให้ศึกษากันดู
จากคุณ :
Sprite_Zaa
- [
20 ต.ค. 49 14:23:18
]
|
|
|