ความคิดเห็นที่ 1 ฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยมากกว่านิดหน่อย แต่ในแง่ความเสี่ยงธนาคารไม่มีเพราะมีประกันเงินฝาก แต่ฝากประกันถ้าเจ๊งเงินเราก็สูญ ไม่มีประกัน แต่ที่ผมไม่อยากทำประกันที่สุดคือ รู้สึกว่ามันเอาเงินเราไปนานมากๆ แล้วก็ค่าคอมที่เค้าได้จากเราเนี่ย ปีแรกคนขายประกันให้คุณได้ห้าสิบเปอร์เซน ปีต่อไปยี่สิบห้าเปอเซน จากนั้นก็ได้สิบเปอเซนทุกๆปี เพราะงั้นคนขายประกันเลยรวยๆๆ โดยเฉพาะตัวหัวหน้าทีมเนี่ย ไม่ทำอะไรก็ได้คอม มีเพื่อนขายประกันเค้ามีรายได้ปีนึงเป็นหลักล้านแน่ะ เงินพวกนี้มาจากไหน ก็มาจากพวกลูกค้าที่ส่งเบี้ยกันหัวแบะนี่แหละ แต่ถ้าประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ก็ดีนะครับ แล้วแต่เลือก จากคุณ : papa - [ 24 ต.ค. 49 04:38:47 A:221.128.96.179 X: TicketID:128066 ]

ความคิดเห็นที่ 2 # 2 ก็ถูกต้องดี อายุ 40 ปีค่อยทำประกันสุขภาพก็จะได้ นะ เพราะร่ายกายเราเริ่มจะไปหาหมอเเล้ว จากคุณ : *-* (ยางก้นถ้วย) - [ 24 ต.ค. 49 06:30:34 ]

ความคิดเห็นที่ 3 สำหรับปัจจุบันนี้ ประกันชีวิตและวินาศภัย ก็คือ Wealth Protection ไงล่ะครับ ถ้าเลือกประกันชีวิตแบบที่มีสะสมทรัพย์ด้วย ก็ต้องส่งเบี้ยแพงขึ้นเป็นธรรมดา เพราะประกอบด้วย ส่วนประกันชีวิตแท้ๆ + ส่วนสะสมทรัพย์ ถ้าต้องการเงินคืน/โบนัส/ปันผล ระหว่างทางเยอะ ๆ บ่อย ๆ ก็ยิ่งต้องส่งแพงขึ้น ดังนั้นถ้าเพิ่งเริ่มทำงานและยังไม่มีภาระมาก อีกทั้งสุขภาพร่างกายยังแข็งแรงดี ก็ควรทำประกันชีวิตไว้ตามสมควร อย่ามากเกินไปและอย่าน้อยเกินไป ค่อย ๆ ทยอยซื้อเพิ่มนะครับ ถ้าการเงินไม่พร้อมอย่าซื้อพรวดเดียว เดี๋ยวจะไม่มีตังค์กินข้าวนะเออ เช่น - ปีนี้เพิ่งเริ่มทำงาน ทำทุนประกันไว้สัก 2 แสนก่อน (ถ้าเลือกแบบเบี้ยประกันถูก คุ้มครองสูง ยกผลประโยชน์ให้คุณพ่อคุณแม่ เป็นการตอบแทนพระคุณท่านด้วย เผื่อด่วนจากไปก่อน จะได้มีเงินก้อนทิ้งไว้ให้ท่าน) -  ปีหน้าหรือปีต่อ ๆ ไปได้เงินเดือนขึ้น หน้าที่การงานมั่นคงมากขึ้น ก็ค่อยทำเพิ่มอีกสัก 1 แสน (อาจจะเลือกแบบบำนาญสำหรับตัวเองก็ได้) - ปีถัดไปแต่งงาน ได้ลูกคนแรก ก็ทำเพิ่มอีกสัก 1 แสน (ไว้รับขวัญให้ลูก เป็นเงินเก็บให้ลูกเอาไว้ตอนโตค่อยเอาไปใช้) - ฯลฯ แบบประกันชีวิตยอดนิยมมายาวนาน สำหรับประกันชีวิตในยุคปัจจุบัน ที่ส่งเบี้ยน้อยและคุ้มครองยาวนาน (ทำให้มีสิทธิซื้อประกันสุขภาพและอุบัติเหตุรวมถึงประกันโรคร้ายต่าง ๆ ได้ยาวนานตามไปด้วย) ก็คือ แบบคุ้มครองตลอดชีพ (บางที่คุ้มครองถึงอายุ 99 บางที่ก็ถึงอายุ 90) บางที่เรียก ตลอดชีพ/คุ้มครองตลอดชีพ/คุ้มครองธุรกิจ ฯลฯ โดยเลือกส่งเบี้ยประกันเพียง 5/10/15/20 ปี แล้วแต่กำลังทรัพย์ ถ้าเลือกส่งสั้น ๆ ก็ต้องส่งแพงกว่า (แต่หมดภาระไวขึ้น) ถ้าส่งยาว ก็ส่งถูกกว่า สำหรับคนที่วางแผนเกษียณเป็นหลัก ก็ควรเลือกแบบมีเงินบำนาญจ่ายคืนหลังเกษียณ (แบบบำนาญ) หรือจะเลือกแบบเงินบำเหน็จก้อนใหญ่ (แบบสะสมทรัพย์) ก็จะเหมาะสมกว่า เพราะเบี้ยประกันแบบนี้จะไม่สูง - ตั้งเป้าหมายในระยะยาว (เช่น แผนเกษียณ , แผนมรดก , แผนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในระยะยาว เป็นต้น) - เลือกแบบประกันที่ถูกใจ (เช่น ประกันชั่วคราว 5/10/15 ปี , คุ้มครองตลอดชีพ , ออมทรัพย์ , บำนาญ , แบบมี "เงินคืนระหว่างทาง" - ระวังตัวแทนจะบอกว่าเป็นโบนัสหรือเงินปันผลล่ะ....ป๊าด โดนตัวแทนมองค้อนตาเขียวใส่...อิอิ) - ส่งเบี้ยประกันอย่างเหมาะสม (ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป เลือกส่งได้ทั้งราย 1/3/6/12 เดือน โดยส่งเป็น "เงินสด" - ต้องขอใบเสร็จรับเงินชั่วคราวจากตัวแทนหรือบริษัททุกครั้ง ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องจ่ายให้ แม้ตัวแทนจะเป็นเพื่อนสนิทก็ตาม เอาไปชำระเองผ่านธนาคารก็ได้ /เลือก "หักบัญชีธนาคาร" - ไม่มีค่าใช้จ่าย / เลือก "ตัดจากบัตรเครดิต" - ได้แต้มสะสมอีกต่างหาก) แล้วคุณจะมีความสุขกับการส่งประกันชีวิตอย่างมีเป้าหมายครับ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 24 ต.ค. 49 07:15:40 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ทำประกันก็ดีครับ เอาเบี้ยประมาณปีละหมื่น เงินเดือนอย่างคุณ จขกท. เอาไปลดหย่อนภาษีได้ ส่วนถ้ามีลูกเมียแล้ว ให้คำนวณว่า ถ้าใช้เงินออมอย่างเดียว อยู่ได้ถึง 5 ปีหรือไม่ หากไม่ ให้ทำประกันชีวิตในวงเงินที่สามารถทำให้คนข้างหลังอยู่ได้ถึง 5 ปีนะครับ (ถ้าอยู่ 5 ปีแล้วหาเงินเลี้ยงตัวเองไม่ได้ ก็สมควรตาย อ.สุวรรณว่าเอาไว้ โหดมาก) จากคุณ : Bomb308 - [ 24 ต.ค. 49 08:05:08 ]

ความคิดเห็นที่ 5 หมีพูไม่ปลื้มเลย กับประโยคเด็ดของคุณสุวรรณ เกี่ยวกับประกันชีวิตว่าจะทำทุนประกันเท่าไหร่ โดยคำนวณว่าถ้าอยู่ 5 ปีแล้วหาเงินเลี้ยงตัวเองไม่ได้ คนข้างหลังก็สมควรตาย เขาก็พูดได้เพราะไปพูดตอนลูกเต้าโต ๆ กันหมดแล้วน่ะสิ พูดแบบให้ไปตายเอาดาบหน้า (อีก 5 ปีข้างหน้า) ถ้าใครมีลูกเล็ก ๆ ยังเรียนแค่ชั้นอนุบาลหรือประถม เขายังต้องใช้เวลาอีกเป็นสิบปีในการเรียนหนังสือ ไหนจะค่าใช้จ่ายประจำวันของครอบครัวอีก ถ้าคุณพ่อคุณแม่ของเด็กจะใช้ประกันชีวิต เพื่อเป็น Wealth Protection ให้กับครอบครัว ไม่ว่าคุณจะอยู่หรือไม่ก็ตาม จำนวนทุนประกันนั้นต้องเพียงพอรองรับ ลูกคุณไปจนกว่าเขาจะจบการศึกษาและมีงานทำเลี้ยงตัวเองได้ คุณพ่อคุณแม่ถึงจะวางใจใช่มั้ยครับ แม้จะตายก็ตายตาหลับ   ส่วนการคำนวณหาทุนประกันและเบี้ยประกันที่เหมาะสมเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย จะเป็นความร่วมมือของตัวแทนและผู้ขอเอาประกันเอง - โดยตัวแทนต้องคำนวณทุนประกันที่เหมาะสม และคำนวณเบี้ยประกันให้สอดคล้องกัน (อย่ายึดติดกับแบบประกันฮอตฮิต) - ส่วนผู้ขอเอาประกันควรให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผน   หากคำนวณออกมาแล้วเกินกว่ากำลังที่จะรับไหวในขณะนี้ ก็ต้องมาทำแผนย่อยต่าง ๆ ให้เหมือนการต่อจิ๊กซอว์ ค่อย ๆ ทยอย ๆ ทำเพิ่มไปเรื่อย ๆ ตามอัตภาพครับ วิธีนี้จะทำให้ - กรมธรรม์ของลูกค้ามีผลบังคับด้วยดีไปตลอดรอดฝั่ง ซึ่งก็เท่ากับบรรลุเป้าหมาย - ตัวแทนก็สบายใจที่ได้ลูกค้ามีคุณภาพ - ลูกค้าประกันก็อุ่นใจว่ามีตัวแทนดี หากในภายหลังตัวแทนคนนั้นได้ลาออกไปหรือย้ายไปที่อื่น ลูกค้าก็ยังเข้าใจและสามารถควบคุมแผนประกันของตัวเองและครอบครัวได้อย่างดีต่อไปครับ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 24 ต.ค. 49 08:33:46 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ทำไว้ดีกว่าครับ คิดในเเง่เอาไว้หักภาษีก็คุ้มเเล้ว จ่ายปีละ5หมื่น ฐานภาษี10% หักได้เเล้ว5พันครับ ทำประกันไม่ต้องไปคิดถึงดอกเบี้ย เพราะเงินที่ส่งเป็นเงินก้อนเล็ก เอาไว้คุ้มครองเงินก้อนใหญ่ในอนาคตครับ จากคุณ : thamma7 - [ 24 ต.ค. 49 09:39:12 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ทำไว้ก็ดีค่ะ  แต่ไม่ต้องซื้อเยอะหรอกค่ะ อายุยังน้อย แตเอาไว้ลดหย่อนภาษีก็โอเคนะคะ  เราทำแบบจ่าย 7 ประกัน 15 ปีค่ะ จะได้เงินคืนเร็วหน่อยอ่ะ  ถ้าเป็นออมทรัพย์แต่ยาว คงไม่ทำคะ  ถ้ายาวๆน่าทำแบบสุขภาพมากกว่า แต่คิดว่าให้อายุมากๆกว่านี้ค่อยทำดีกว่า เพราะตอนนี้ก็เบิกบริษัทได้อยู่แล้วค่ะ ตอนนี้ทำอยู่ 35000 ก็ลดได้ปีละ 3500 เหมือนกันค่ะ จากคุณ : kitty_jeedy - [ 24 ต.ค. 49 12:11:46 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ในประเทศไทยยังไม่เคยมีการคำนวณอย่างเป็นทางการว่า ควรจะซื้อประกันชีวิตเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ โดยที่ไม่เดือนร้อน ดังนั้นจึงต้องยกตัวเลขจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดได้ว่าเป็นประเทศที่มีสวัสดิการสังคมมั่นคงและมีมายาวนานแล้ว มาพิจารณาประกอบกันด้วย สรุปเป็นตัวเลขคือ 10-15% ของรายได้ครับ ถ้าเบี้ยประกันรวมทุกกรมธรรม์ที่คุณมีอยู่ เกินกว่า 15% ของรายได้ อาจจะทำให้การเงินขลุกขลัก ยามฉุกละหุกได้ครับ   แต่ถ้าตอนนี้ตัวเลขที่คุณคำนวณได้เกินกว่า 15% ก็ไม่ต้องตกใจครับ เวลาเงินเดือนคุณขึ้น ตัวเลขเปอร์เซ็นต์มันก็จะลดน้อยลงไปเองครับ   ยกตัวอย่างหมีพูเองครับ เมื่อก่อนก็ชำระเบี้ยประกันตกประมาณ 17% ของรายได้ (ตอนนั้นงกครับ ซื้อทุนประกันเกษียณตั้ง 6 แสน + ประกันสุขภาพ + ประกันอุบัติเหตุ) แต่คล้อยหลังไป 3 ปี มีรายรับเข้ามาดีมาก ตัวเลขปัจจุบันนี้ก็ลดลงเหลือ 11% ของรายได้เองครับ หายใจคล่องขึ้นเยอะเลย พอมาปีนี้เลยถือโอกาสทำเพิ่ม เจียดส่วนนึง ไปซื้อประกันแบบคุ้มครองสูง ๆ ได้ทุนประกันเพิ่มมาอีก 5 แสน สร้างความอุ่นใจให้กับคนข้างหลังอีกเยอะเชียวครับ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 24 ต.ค. 49 12:48:42 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้ามีคนที่อยู่ข้างหลัง พ่อ แม่ ภรรยา ลูก ต้องทำครับ อย่างน้อย 10% ของรายได้ (ผมคิดเองครับมั่วๆ อย่าเชื่อมาก ครับ) หักภาษีได้ก็คุ้มมาก ผมส่งเบี้ย ปีละ150000 รวมประกันสุขภาพ ตอนนี้โสต คิดถึง พ่อ แม่ ครับ ดอกเบี้ยที่ได้ ไม่ต้องไปคิด น้อยเมื่อเทียบกับลงทุน จากคุณ : หมีอ้วนตัวหนึ่ง - [ 24 ต.ค. 49 15:52:49 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าเอาในแง่การลงทุนแล้วเอาผลตอบแทน ขอตอบว่าไม่คุ้มครับ (คิดเป็น Return ประมาณ 3-5% เท่านั้น) และต้องเอาเงินไปจมอยู่อย่างน้อย 10 ปี (ส่วนใหญ่ 20 ปี) แต่ถ้ามองในแง่ความคุ้มครองความเสี่ยงผมว่าคุ้มนะครับ เช่นถ้าเราเป็นอะไรไป คนที่เป็นภาระของเราจะได้มีเงินส่วนที่เราได้ทำประกันเป็นทุนให้เขาไป หรือมองว่าเมื่อครบอายุประกันเราจะมีเงินก้อน 1 ก้อนไว้สำรอง (กรณีเหมาะสำหรับคนที่เก็บเงินไม่อยู่ครับ) สำหรับ คคห.1 ค่าคอมของตัวแทนประกันก็ประมาณนั้นหล่ะครับ ทำไงได้เขาก็เหมาะเป็น Sales ของของอย่างนึงเขาก็ต้องได้ค่าตอบแทนของของที่เขาขายไป เอาง่ายๆคุณซื้อรถคันนึงถามว่าต้นทุนรถจริงๆเท่าไหร่กัน ที่เหลือเป็นค่าดำเนินการ ค่า com ของ Sales ทั้งนั้นหล่ะครับ อันนี้ถ้าเสียดายเงินส่วนนี้จริงๆ ลองเสียเวลาลองศึกษานิดนึงครับ แล้วเป็นตัวแทนเองเลย เสียเวลาไปสอบประกันแค่ครึ่งวันเท่านั้นครับ แล้วค่าคอมที่เราได้ก็เอามาลดเบี้ยของเราเอง ผมว่าคุ้มนะ เพราะผมก็ทำอย่างนั้นอยู่อย่างน้อยปีแรกก็ประหยัดค่าเบี้ยของเราเองไปแล้ว 30-40% แล้วแต่แบบปีถัดๆไปก็ลดลงหน่อย อย่างน้อยถ้าเราทำประกันให้คนที่เรารู้จักเองก็ประหยักเงินตรงนี้ไปได้เยอะแล้วหล่ะครับ แต่น้ำนะครับต้องศึกษาให้เข้าใจถึงเรื่องประกันด้วยแล้วจะได้ประโยชน์ที่สุด จากคุณ : @il (เอ๋อ้อยเอง) - [ 24 ต.ค. 49 17:09:28 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คิดง่ายๆครับ เราซื้อรถมาหนึ่งคัน เราจ่ายค่าประกันรถโดยไม่คิดอะไรเลย เพราะเรารู้ว่าจำเป็น ไปชนใครเข้าก้อสบายใจ แต่ตัวเราที่เป็นคนหาเงินมาจ่ายค่าผ่อนรถ เรากลับไม่อยากประกัน แปลกดีนะครับ จากคุณ : พ่อฟ้าใส - [ 24 ต.ค. 49 18:03:16 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เพราะคนส่วนมากชอบประกันไข่ทองคำ แต่ไม่ชอบประกันตัวห่านที่ออกไข่ทองคำ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 24 ต.ค. 49 23:14:29 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ถึงคุณหมีพูครับ ความหมายของการทำประกันโดยให้ทุนประกันเท่ากับค่าใช้จ่ายห้าปี คือเมื่อเสาหลักของครอบครัวต้องเสียชีวิตลง คนในครอบครัวต้องรู้จักการปรับตัวครับ จากคุณ : Axl - [ 25 ต.ค. 49 00:03:17 A:203.156.44.191 X: TicketID:012999 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 25 ต.ค. 49 05:13:35 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ตอบคุณ Axl " ความหมายของการทำประกันโดยให้ทุนประกันเท่ากับค่าใช้จ่ายห้าปี คือเมื่อเสาหลักของครอบครัวต้องเสียชีวิตลง คนในครอบครัวต้องรู้จักการปรับตัวครับ " หมีพูไม่เห็นด้วยในการกำหนดทุนประกันให้เท่ากับค่าใช้จ่ายห้าปี เพราะคำพูดประโยคนี้มาจากผู้ที่ไม่ชื่นชอบ / ไม่อยากรู้จัก / รู้จักประกันดีแต่แสร้งไม่พยายามเข้าใจหลักการประกันชีวิต (บางคนเป็นด็อกเตอร์จบเกียรตินิยมทางด้านเศรษฐศาสตร์ แต่กลับต่อต้านประกันชีวิตแบบสุดลิ่มทิ่มประตู แต่หารู้ไม่ว่าบริษัทที่ตัวเองทำงานอยู่ ก็อาศัยเช่าตึกออฟฟิสของบริษัทประกัน แถมบริษัทประกันยังไปถือหุ้นในบริษัทที่เขาทำงานอีก...หุหุหุ) ในต่างประเทศใกล้ ๆ บ้านเราอย่างประเทศญี่ปุ่น , สิงคโปร์ , มาเลเซีย , ฮ่องกง , ไต้หวัน , เกาหลีใต้  ผู้เอาประกันส่วนใหญ่ในประเทศเหล่านี้ ต่างมีเงินทุนประกันชีวิตที่สูง เพื่อให้ครอบคลุมภาระต่าง ๆ ในอนาคตข้างหน้าเป็นสิบ ๆ ปี ไม่ใช่แค่ห้าปีอย่างที่บ้านเราชอบพูดกันสนุกปาก แม้กระทั่งค่าลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันชีวิต ก็ยังสูงกว่าประเทศไทยมาก (คิดดูสิขนาด LTF ยังให้ลดหย่อนได้ตั้ง 3 แสน + RMF อีก 3 แสน แต่ทำไมเบี้ยประกันชีวิตถึงให้ลดหย่อนได้แค่ 5 หมื่น) หมีพูขอบอกวิธีคิดง่าย ๆ แบบพื้นฐานว่า ตัวเราควรทำทุนประกันเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม สำหรับคนที่ไม่รู้จะวางแผนอย่างไร นั่นคือ 6 เท่าของรายได้รวมตลอดปีครับ เช่น ได้เงินเดือน ๆ ละ 2 หมื่นบาท ตกปีละ 240,000 บาท คูณ 6 เท่า = ทุนประกันชีวิต 1,440,000 บาท (คิดไปเลย ทุนล้านห้าแสน) อึ้งไปเลยล่ะสิ...... ถึงได้แนะนำว่าให้ทยอย ๆ ทำเพิ่ม อย่าลงไปพรวดเดียว  แต่ถ้าซื้อแบบประกันตลอดชีพ เบี้ยประกันก็ไม่กี่หมื่น แต่ถ้าเลือกแบบประกันชนิดสะสมทรัพย์มีเงินคืน หรือส่งสั้น ๆ รับรองว่าส่งเบี้ยหัวฟูแน่นอน .... นี่คือปัญหาอีกอย่างของตัวแทนในประเทศไทย ที่รู้อยู่แล้วว่าลูกค้าเหมาะสมที่ทุนประกันเท่าไหร่ แต่ขายตามทุนประกันนั้นไม่ได้ เพราะชอบไปยึดติดว่า ประกันชีวิต = สะสมทรัพย์ แต่จริง ๆ แล้ว ประกันชีวิต/สุขภาพ/อุบัติเหตุ/วินาศภัย = เครื่องมือเก็บรักษาความมั่งคั่งให้คนที่ทำประกันนั่นเองครับ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 25 ต.ค. 49 11:45:04 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อ่านๆ แล้วเครียดครับเหมือนเป็นการทะเลาะกันของคนชอบกับคนไม่ชอบประกันเลย เมื่อก่อนเคยมีคนบอกผมเชียร์ให้ผมทำประกันโดยอ้างว่าประเทศที่เจริญแล้วอย่างญี่ปุ่น เฉลี่ยแล้วเค้ามีประกันชีวิตคนละ 5 ฉบับ ( จำได้เลยว่าเป็นเจ้าไหน ชื่อเริ่มด้วย A แต่จบด้วย P ) เห็นด้วยกับคห. ข้างบนๆ ว่าถ้ามองในแง่การลงทุนการทำประกันไม่คุ้มค่าครับ แต่ก็เห็นด้วยกับคุณหมีพูห์ว่ามันเป็นเครื่องมือในการรักษาความมั่งคั่งมากกว่าจะเป็นการสร้างความมั่งคั่ง ต้องยอมรับว่าคนเราพื้นฐานมาไม่เท่ากันนะครับ บางคนมีทุกอย่างพร้อมสรรพแล้วเค้าก็จะมองแต่ในมุมของคนที่ "มีพร้อม" แล้ว และเค้าจะมองในแง่ของการลงทุนมากกว่าการเอาประกัน สาเหตุก็เพราะว่าคนที่มีฐานะดีมากๆ การที่คุณจะทำหรือไม่ทำประกันก็แทบจะไม่มีผลอะไรกับคนข้างหลังเลย ดร.สุวรรณมีทรัพย์สินส่วนตัวมากกว่า 500 ล้านบาทครับ ท่านจึงคิดแบบคนรวยเพราะคนข้างหลังแทบจะไม่ได้รับผลอะไรเลยเมื่อท่านต้องจากไป จะคงเหลือไว้ก็แต่ความมั่งคั่งเท่านั้น ประกันชีวิตเหมาะกับคนที่มีภาระครับ ถ้าคุณมีลูกเล็กๆ มีภรรยาที่ไม่มีรายได้  และทรัพย์สินของคุณยังมีไม่ถึงล้านบาท คุณจะเห็นคุณค่าของมันมากขึ้น เวลา 5 ปีสำหรับบางครอบครัวอาจจะเกินพอ แต่บางครอบครัวอาจจะต้องขอสัก 10 ปี ทั้งนี้บอกเป็นสูตรสำเร็จไม่ได้ ต้องดูความสามารถในการสร้างรายได้ของคนข้างหลัง และปริมาณภาระของคุณด้วย ส่วนตัวแล้วถ้าอายุน้อยๆ และพ่อแม่ไม่ได้เดือดร้อนอะไร คือมีทรัพย์สินพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ไม่เดือดร้อนใคร การทำประกันชีวิตน่าจะทำแต่พอสมควรแล้วเน้นน้ำหนักไปที่การลงทุนจะคุ้มค่ากว่า แต่ถ้าต่อไปคุณมีครอบครัว หรือพ่อแม่หวังพึ่งพาแต่คุณคนเดียว คุณก็ควรจะเพิ่มน้ำหนักไปที่ประกันชีวิตมากขึ้น อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า "ต้อง" เลือกทำประกันกับตัวแทน "อาชีพ" เท่านั้น!!!!!!!! อย่าทำประกันกับตัวแทนที่ทำเป็น job เด็ดขาดครับ จากประสบการณ์ของคนใกล้ชิดหลายคนบอกเหมือนๆ กันครับ จากคุณ : nidku53 - [ 25 ต.ค. 49 15:49:53 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณสำหรับทุกๆความคิดเห็นมากครับ  ตอนนี้สงสัยเพิ่มอยู่ว่า  ประกันแบบสะสมทรัพย์เนี่ย  ถ้าเราเจ็บป่วยระหว่างการจ่ายเบี้ยประกัน  แบบสะสมทรัพย์จะครอบคลุมถึงพวกค่ารักษาพยาบาลด้วยรึเปล่าครับ  หรือต้องซื้อแบบประกันสุขภาพเพิ่มอีกอย่างนึง  ขอบคุณมากครับ ตอนนี้คิดว่าน่าจะส่งได้ราวๆเดือนละ 3 พัน  แปลว่าอยู่ในราวๆ ปีละ 35,000  คำนวณคร่าวๆ น่าจะเป็นแบบ 500,000 ได้ (แบบสะสมทรัพย์ระยะยาวของ AIA น่ะครับ  เพื่อนมันเป็นตัวแทนง่ะ) คิดว่าแบบนี้น่าจะเวิร์คมั๊ยครับ จากคุณ : Mr.jajaa - [ 25 ต.ค. 49 21:57:36 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าซื้อแต่ประกันสะสมทรัพย์มันจะไม่รวมค่าประกันสุขภาพ (สพ) ถ้าจะเอาค่ารักษาพยาบาล ค่าห้อง ค่าแพทย์ด้วยคุณต้องจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพเพิ่มอีกครับ แต่ก็จะรวมอยู่ในกรรมธรรม์เดียวกัน อย่างต่ำก็ปีละหลายพัน ( แล้วแต่ค่าห้องที่คุณเลือกครับ ) ลองปรึกษาตัวแทนดูก่อนครับ บางทีเขาอาจจะบวกมาให้แล้ว แต่คุณอาจจะปรับเพิ่ม-ลด ตามความจำเป็น ยืนยันเช่นเดิมว่าไม่ควรทำประกันกับคนที่ทำเป็น job ควรทำกับคนที่ทำเป็นอาชีพ คือชีวิตนี้ขายประกันเลี้ยงชีพอย่างเดียวเลย พวกนี้เค้าจะดูแลเราได้เต็มที่กว่า หลายๆ คนที่ทำประกันกับเพื่อน พอเพื่อนเลิกขายประกันไป หรือย้ายที่ทำงานใหม่ ( ซึ่งเป็นอาชีพหลักของเขา ) ไปอยู่ไกลๆ เรา พอมีปัญหาทีตามตัวลำบากมาก ( หรือไม่ก็หากันไม่เจออีกเลย ) แก้ไขเมื่อ 26 ต.ค. 49 11:22:24 จากคุณ : nidku53 - [ 26 ต.ค. 49 11:20:20 ]