ความคิดเห็นที่ 1 ใครๆก็ตามที่เป็นเจ้าของบริษัทต้องการอย่างยิ่งนำเข้าตลาด เงินๆมหาศาลจะเข้ากระเป๋าเจ้าของเหล่านี้ ใช่ว่าจะหยุดแค่นี้ยังเข้ามาหลอกเงินรายย่อยได้เรื่อยๆไป คำตอบสุดท้ายคือ เงินๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : ใครไม่ต้องการเงินมั่ง - [ 11 พ.ย. 49 09:02:01 A:124.120.129.172 X: TicketID:000564 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีไงครับ....แล้วก็ไม่ต้องไปกู้ยืมเงินที่มีดอกเบี้ยแพง ๆ ด้วย ถ้าขาดทุนก็มีเพื่อนมาร่วมขาดทุนด้วยกัน ส่วนเรื่องกำไรนั้นมันก็ต้องแบ่งตามสัดส่วนถ้าเราถือหุ้นมากก็มีสิทธิมีเสียงมากกว่าอยู่แล้ว... จากคุณ : บอนน์ - [ 11 พ.ย. 49 10:21:06 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ก็มีทั้งแบบ คห2 คห1 ล่ะคับ ตอบแบบ บ. ดีๆ เอาแบบมีหลักการทั่วไป ก็ระดมทุนไปขยายกิจการ ไม่ต้องกู้เสียดอกเบี้ยแพงๆ คงเป็นคำตอบที่น่าฟังที่สุด มันก็จริงคับ กำไรได้มา ก็ต้องแบ่งไปให้ผู้ถือหุ้น แต่คงต้องไม่ลืมว่า บ. เอง ก็ได้เงินทุนเพิ่มไปตั้งแต่ขาย IPO แถมถ้ากิจการเติบโตดี มูลค่าหุ้นเพิ่ม สัดส่วนหุ้นของเจ้าของเองก็แปรเป็นเงินจำนวนมากขึ้นด้วย แต่ก็คงต้องยอมรับ ว่าพวกที่หวังเอาเข้าตลาดหุ้นเพื่อฟันเงินรายย่อย ก็คงมีเหมือนกัน - - จากคุณ : Archez - [ 11 พ.ย. 49 10:55:58 ]

ความคิดเห็นที่ 4 กลุ่มบริษัทที่มีกำไรมากจริงๆ  และมีทุนเพียงพอในการขยายกิจการ  เขาก็ไม่เอามาเข้าตลาดหุ้นให้โง่แบ่งกำไรให้คนอื่น สำหรับเรื่องการเสียภาษีเยอะเรอะ เมินซะเถอะ  ง่ายมาก เขาก็ใช้วิธีเปิดบริษัทใหม่ เปิดกิจการใหม่ ซื้อโน่น ซื้อนี่ ขยายการลงทุนไปเรื่อยๆ แค่เนี้ยะ ไม่ยากเลย อ้อ แล้ววันดีคืนดี ก็ขนเอาบริษัทใหม่ๆนี่แหละมาเข้าตลาดหุ้น แต่บริษัทแม่แท้จริง ยังอยู่นอกตลาด และเมื่อเข้ามาแล้ว มีกำไรมากจริงๆ เขาก็ไม่ยอมอยู่ในตลาดหุ้นต่อไป เพื่อแบ่งกำไรให้คนอื่น สรุปแล้ว คือเข้ามาเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าของบริษัทตัวเองเป็นหลัก โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลัง boom  จะมีบริษัทต่างๆเพิ่มทุนพาเหรดเข้ามากันใหญ่  บริษัทที่มีอยู่ก็หาทางเพิ่มทุนในทุกรูปแบบ มี promotion ลด แลก แจก แถม พวกกลุ่มบริษัทที่มีหุ้นน้อยๆ จะเอื้ออำนวยต่อการฮั้วกันปั่นมาก  เรียกว่าในเวลาแค่ปีเดียว ราคาหุ้นจะถูกปั่นให้ขึ้นไปมากกว่ากำไรทั้งหมดที่บริษัทเคยทำได้ตั้งแต่ตั้งบริษัทมา  และคงต้องใช้เวลาอีกสัก 20 ปีข้างหน้า ในการสะสมกำไร ให้ทันกับราคาหุ้นที่ขึ้นไปรอก่อนแล้ว เรียกว่าเจ้าของแค่เพียงขายหุ้นส่วนหนึ่งให้รายย่อย  ก็ชักต้นทุนออกได้หมด แถมยังเหลือกำไรเป็นกอบเป็นกำ  จากนั้นก็ปล่อยให้หุ้นยืนตายซาก   หรือถ้ายังสนุกอยู่ ก็เข้ามาปั่นเล่นได้อีก  หรือไม่ก็มีคนอื่นมาช่วยปั่น เพราะรู้ว่าเจ้าของไปนอนเล่นนับเงิน ไม่สนใจจะมาดูแลหุ้นตัวเองแล้ว  เชิญเล่นไปตามสบาย จากคุณ : prettypetite - [ 11 พ.ย. 49 15:07:38 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้าบริษัทหนึ่ง มีกำไรต่อสินทรัพย์ ปีละ 15% มีหนี้ต่อทุน 50% แต่ตลาดยังโตได้อีกมาก และถ้าบริษัทต้องการที่จะโตปีละ 30% และสมมุติว่าต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มเป็นสัดส่วนเดียวกันกับยอดขายที่เพิ่ม ถ้าเป็นคุณจะทำอย่างไร ..กู้??? สมมุติว่า ปีแรกกู้ ปีที่สอง สาม สี่ กู้อีก ผ่านไป สิบปี หนี้ต่อทุนเป็นเท่าไร คุณว่า ความมั่นคงของบริษัท ที่มีหนี้ต่อทุนขนาดที่ว่าเป็นอย่างไร คุณว่า ธนาคารจะปล่อยกู้ให้กับ บ. ที่มีสัดส่วนหนี้ได้เท่าไร และจะได้กี่ปี คุณจะควบคุมการเติบโตของตัวเองก็กลัว เสียลูกค้า เสียรายได้ที่ควรจะได้ จะเพิ่มทุนก็ไม่ได้ เพระงก กลัวว่าจะต้องแบ่งกำไรให้คนอื่น ถึงตอนนี้ คุณว่า บริษัทมีสภาพคล่องเป็นอย่างไร จะรอดไหม นั่นแหละ คำตอบ จากคุณ : ชนะมาร - [ 11 พ.ย. 49 17:42:29 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คิดง่าย ๆ แต่ไม่รู้ลึก ๆ  สมมติง่าย ๆ บริษัทหนึ่งมีกำไร  500  ล้าน  คุณคิดว่าเขาบอกคุณตรง ๆหรือ เขาไปทำให้มันขาดทุนก็ได้     วิธีการของเขาก็คือ ไปตั้งบริษัทที่เป็นนอมินี่    คือพวกเขานั่นแหละ แต่คนอื่นไม่รู้ไง   แล้วก็ไปซื้อ ๆขาย ๆ  หรือจ่ายเป็นค่าแรง ค่าก่อสร้าง  จิปาถะ  ฯลฯ  สรุปแล้วทำให้มันขาดทุน ซะ  400  ล้าน  แล้วเขาก็บอกว่าได้กำไร 100 ล้าน ให้ปันผลพวกคุณไง   ถ้าขาดทุนก็เอาเงินคุณนั่นแหละไปเพิ่มทุน  แล้วก็ขาดทุนอีก  เพิ่มทุนอีก อยู่อย่างนี้ เงินนักลงทุนก็หายไปเรื่อย  แต่เป็นเงินหมุนเวียน  เลยไม่มีใครอยากถาม   คนเล่นหุ้นก็ยอมเสียเปรียบอยู่แล้ว  บริษัทรู้ทุกอย่างว่าปีนี้กำไรขาดทุน   ถ้ากำไรเขาก็ปั่นให้หุ้นลงก่อน แล้วซื้อ    พอคุณรู้ว่าเขากำไรคุณก็ซื้อตาม  เขาก็ลากขึ้นสูง  แล้วขาย   พอไปซักพัก เขาก็ออกข่าวอะไรมาอีก  เขารู้อีก  คุณก็ไม่รู้  สรุปแล้วเขารู้ทุกอย่าง   เหมือนเปิดถ้วยแทง   กำไรเห็น ๆอย่างนี้เขาไม่อยากมาในตลาดหุ้นหรือ   คุณที่ถามมานี้ผมจะบอกอะไรให้อย่าง  คุณไม่รู้อะไรเลย  ให้เลิกเล่นหุ้นซ่ะ   ขนาดผมรู้บ้างยังแย่เลย   ออกไปให้ไกลจากตลาดหุ้นให้มากที่สุด   แต่ผมไล่คุณก็ไม่ไปอยู่ดี  เพราะคุณมีความโลภเหมือนผมไง จากคุณ : ไฟเลี้ยว - [ 11 พ.ย. 49 20:16:33 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คอรัปชั่นในประเทศไทยฝังรากลึกจัง จากคุณ : minimi - [ 11 พ.ย. 49 22:18:51 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ปัญหาก็คือ ตลาดหุ้นไทยมันมีบริษัทห่วยๆอยู่เยอะ (มากๆ) เลยมีคห แบบ คห 7, 6, 1, และ 4 เยอะ ตามจริงแล้ว เป็นเหมือนคห ที่ 5 และ 3 มันก็เป็นแค่การระดมทุนวิธีหนึ่งแค่นั้นเอง จากคุณ : .. (! o_o !) - [ 11 พ.ย. 49 22:54:42 ]

ความคิดเห็นที่ 9 5-3 ไม่ใช่ความจริง แต่มันเป็นหลักการ ที่ควรเป็น(หรือจะเรียกว่าข้ออ้างก็ไม่ผิด) 7-6-1-4 คือความจริงที่เป็นอยู่ จากคุณ : Nexus - [ 11 พ.ย. 49 23:04:23 ]

ความคิดเห็นที่ 10 บางบริษัท ถึงจุดต้องเดินต่อ ถ้าไม่เดินต่อก็จะค่อย ๆ ถอยหลังแต่เจ้าของไม่มีตังแล้ว ไม่อยากกู้ ก็มาระดมทุนโดยเอาเข้าตลาด บางบริษัทมีโครงการใหม่ที่หม้ผลตอบแทนมากกว่าโครงการเดิม แต่ตังหมด ไม่อยากกู้ ก็เข้ามาระดมทุน บางบริษัทเจ้าของมองว่ามัน peak สุด ๆ แล้ว ต่อไปจากนี้จะเริ่มเป็นขาลงของกิจการ ธุรกิจ หรืออุตสาหกรรม ก็เอามาแจกจ่ายในจังหวะที่ได้ราคามากที่สุด ฯลฯ จากคุณ : Capo - [ 12 พ.ย. 49 01:00:52 ]

ความคิดเห็นที่ 11 บริษัทคุณจะโป่งขึ้นหลายเท่า ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นมหาศาล(ในทางบัญชี) เช่นถ้าบริษัทคุณดี อย่างมากก็ได้แค่เงินเดือนกับปันผล แต่ถ้าเอาเข้าตลาดแล้วบริหารดีๆ(คิดซะว่าไม่ได้โดนปั่น) จากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น ทำให้เรามีเงินทางบัญชีมากขึ้น(ก็ยังไม่ได้ขายนี่นา) อย่างoishiคุณคิดว่าคุณตันขายชาเขียวกี่ปีถึงจะมีปันผลขนาดเป็นพันล้าน แต่พอเอาเข้าตลาด ได้พื้นฐานบวกอารมณ์ของนักลงทุน คุณตันสามารถขายหุ้นได้เท่าไหร่ การที่บริษัทอยู่นอกตลาดเราอาจได้กำไรไปเต็มๆ แต่เอาบริษัทเข้าตลาดเราได้มูลค่าหุ้นเพิ่มมหาศาลเลยครับ จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา - [ 12 พ.ย. 49 01:22:44 ]

ความคิดเห็นที่ 12 หลักการง่ายๆอธิบายง่ายๆนะ หากจะหาเงินมาขยายกิจการมี2ทาง 1.กู้แบ๊ง,ออกหุ้นกู้  ทำให้สถานะบริษัทมีหนี้มากขึ้นและถูกบังคับให้ต้องจ่ายดอกเบี้ยแพง 2.เข้าตลาดหุ้น สถานะหนี้ไม่มีเพิ่มขึ้น และไม่ต้องจ่ายดอกแต่จะจ่ายเงินปันผลแทน(ไม่จ่ายก็ได้) อันนี้เป็นหลักการของบริษัทดีๆนะ ไม่ใช่บริษัทกิ๊กก๊อก จากคุณ : eak1111 - [ 12 พ.ย. 49 01:42:13 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 13 พ.ย. 49 07:35:11 ]

ความคิดเห็นที่ 14 แล้วถ้าเกิดบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว เขาจะได้เงิน(ที่จะนำไประดมทุน ลงทุนเพิ่มเติม)จากมูลค่าของหุ้นเหรอครับ หากหุ้นขายไม่ออกล่ะครับ(เช่นบริษัทดูไม่มีอนาคต) ก็ไม่ได้เงินที่จะระดมทุนใช่ไหมครับ และจำนวนหุ้นที่ออก ราคาหุ้นเริ่มต้น อะไรพวกนี้ ใครเป็นคนกำหนดครับ หากราคาต่อหุ้นลดต่ำลง จะเกิดปัญหาอะไรกับบริษัทเหล่านี้หรือไม่ เป็นผลเสียยิ่งกว่าเดิมหรือไม่ ครับ จากคุณ : robbiepit - [ 13 พ.ย. 49 10:30:08 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อยากจะตอบให้ คห.14 นะแต่กลัวหน้าแหก...ไม่ชัวร์ จากคุณ : eak1111 - [ 14 พ.ย. 49 22:51:57 ]