ความคิดเห็นที่ 1 ฝึกวิชยุทธ สงครามวันเดียว (1 Day War) + การวิเคราะห์สูตร คาราวะท่านอาจารย์ และ จอมยุทธทุกท่าน ช่วงหุ้นซึม ๆ ก้อเลยว่าง นั่งเขียน บทความ สำหรับรายย่อยไว้เรียนรู้ สำหรับท่านที่รู้แล้วช่วยกันเสริม ให้ด้วยนะครับ สงครามวันเดียว คืออะไรในตลาดหุ้น ความหมายก้อคือ เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ดูว่า หุ้นตัวนั้น มีแรงซื้อขายไปทางไหน โดยวัดออกมาเป็นค่าตัวเลข เพื่อให้ง่ายต่อการมองภาพ มาดูวิธีการละแนวคิดกันเลยครับ % 1 Day War = {(High-Open)+(Close-Low)}/{2*(High-Low)}*100 ดูสูตร งง มั๊ยครับ วิธีการนี้เป็นการวัดการประลองฝีมือ ของแรงซื้อ แรงขาย โดยการนำเอาค่า ทั้งสี่มาประมวลผล (เห็นมั๊ยครับ ใช้ประโยชน์ได้ทุกตัวเลย) การมองสูตร ท่านจอมยุทธน้องใหม่ ต้องมองให้ทะลุถึงแก่น ต้องฝึกครับ ยกตัวอย่างอันนี้ เราวิเคราะห์ ได้ว่า ค่าต้องวิ่งระหว่าง 0 – 100% sure เพราะ ค่าข้างล่าง คือ ช่องว่างใหญ่ (High – Low) ไม่มีสิทธ์ ออกนอกขอบเขตนี้เด็ดขาด ถ้าออกนอกนี้ มันจักสร้างค่าสูงต่ำ ใหม่ - ค่ามันจักเป็น 0 ได้ ถ้าข้างบน เป็น 0 ทำอย่างไร จะเกิดค่า 0 นั่นคือ Open = High and Low = Close พูดง่าย ๆ คือ เปิดสูงปิดต่ำ - ค่าของมันจักเป็น 100 ถ้าข้างบนเป็น 100 ทำนองกลับกันคือ Open = Low and Close = High งง มั๊ยครับ ลองแทนค่าดู - เอ้า มาดูต่อ ถ้า Open = Close ล่ะครับ มันจะเท่ากับ 50% น่ะซีครับ เขาเรียกว่าเกิด โดจิ ภาษาแท่งเทียน เขาว่างั้น คือ มีแรงซื้อ แรงขาย ยันกันไว้อยู่ มันต้องมาดูอีกว่า แท่งเทียนนั้น หางยาว หางสั้น ขอยังไม่กล่าว นะครับ เป้าหมายอันนี้ คือ อยากให้ทุกท่าน มองภาพออก และตีสูตรแตก บางท่านฝึกถึงขั้นโยกย้ายฟ้าดิน ขอเพียงบอกออกมา เพียง สี่ค่า C H L O เขามองปราดเดียวออก เกิดภาพ แท่งเทียน สูงยาวขาวทึบ ขึ้นมาในจิตใจเลย ส่วนการตีสูตรแตก พอเห็นจะมองความสัมพันธ์นั้นออกทันที สูตรนั้นมีจุดอ่อนแข็ง อย่างไร พัฒนาต่อได้หรือไม่ ถ้าทำได้เช่นนี้ จักทำให้เรามีพื้นฐานที่ดีเยี่ยม ฝึกวิชายุทธใด ๆ ก้อจักสำเร็จได้เร็วกว่าคนอื่น ที่ยกตัวอย่างนี้ เป็นสูตรง่าย ๆ ที่จับความสัมพันธ์ ทั้งสี่ค่า มาใช้ บางทีเราใช้กันไม่กี่ค่า แต่มันมีประโยชน์ นะครับ - ทำให้รู้ว่าหุ้นตัวนั้น มีความแข็งแกร่ง อย่างไร แรงขายเอเข้า หรือ เฮออก ต้องใช้ควบคู่กับ Value นะครับ วัดออกมา เป็น % กันเลย ผมชอบตัวที่มี % มาก ๆ มากกว่า 80% ก้อเยี่ยมแล้ว - ตัวที่ต่ำกว่า 50% มันไม่ค่อยดี ต้องจับตา และดูอย่างอื่นประกอบด้วย - เป็นกองสนับสนุนให้เราตัดสิน เข้าซื้อ ขาย และ ดูจังหวะ ตั้ง Bid – Offer ได้อย่างนึง อันนี้ ประยุกต์ให้เกิด 2 Day Way, 3 Day War, …. การบ้าน ให้ท่านจอมยุทธ ลองคิดดูนะครับ ได้อย่างไร การบ้านอีกข้อ มีความสัมพันธ์ กับ สโตแคสติกส์ อย่างไร แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 49 21:45:07 จากคุณ : mr.stock - [ 16 พ.ย. 49 21:43:59 ]

ความคิดเห็นที่ 2 %Turn Over มันคืออะไร มีหลักการใช้ประยุกต์ เช่นไร ? % Turn Over ที่เราเห็นผ่านตาไป มันคืออะไร มีหลักการใช้ประยุกต์ เช่นไร ? คาราวะท่านผู้อาวุโส เบื้องต่ำเบื้องสูงของสำนัก และ จอมยุทธ ทุกท่าน % Turn Over ตัวนี้เป็นตัวที่ ไม่ค่อยสนใจของหลาย ๆ คน บางคนอาจเคยเห็นผ่านตา แล้วมันคืออะไรกัน บทเรียนนี้ อยากจะชี้ ให้ จอมยุทธรายย่อยมือใหม่ ทราบว่า ค่า % Turn Over ที่คนทั่วไปมองผ่านเลยไป ที่แท้มันมีความพิสดาร หากใช้ออกโดยจอมยุทธที่เข้าใจถึงแก่นวิชา เรามาทำความรู้จักกันเลยดีกว่า % Turn Over ขอเรียกภาษาไทยว่า &#8220;อัตรารอบหมุน&#8221; วิธีนี้ จะทำให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นที่ใกล้จะปรับตัวขึ้น จากการดันราคาของรายใหญ่ หรือ กล่าวได้ว่ามีการไหลเข้าของเม็ดเงินสู่หุ้นตัวนั้น อย่างรวดเร็ว ที่มาของมัน (จะสอนให้มองการวิเคราะห์ สูตร ด้วย) % Turn Over = จำนวนหุ้นที่ซื้อขายกันในวันนั้น / จำนวนหุ้นที่จดทะเบียน หรือ ถ้าหากเรา คูณล่าง คูณบน ด้วย ราคาปิดหุ้น จักได้คร่าว ๆ ว่า = Value / Market Cap ไม่ งง นะครับ % Turn Over มีแนวคิดในเชิงสัมพัทธ์ เช่น หุ้น X มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านหุ้น มีการซื้อขายเฉลี่ยวันละ 10 ล้านหุ้น % Turn Over ในที่นี้ คือ 10% ต้องใช้เวลา 10 วัน จึงจักหมุน หุ้นให้ครบ 1 รอบ (อย่าสับสนนะ ครับ ว่ามีหุ้นเปลี่ยนมือไปทั้งหมด100% &#8230;.ไม่ใช่นะครับ มัน คือ การ หมุน รอบ) แนวคิดตัวนี้ บอกว่า ในกรณีไม่มีรายใหญ่เข้าเก็บหุ้น ลักษณะการการเคลื่อนไหวของอัตรารอบหมุน จักเป็นแบบไม่มีทิศทางที่ชัดเจน บางวันขึ้น บางวันลง เพราะว่า หุ้นนั้นมีการเปลี่ยนมือกันไปมานั่นเอง ไม่มีการสะสมพลัง แต่ถ้าหากช่วงใด พบว่า อัตรารอบหมุนของหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง เพิ่มขึ้นรวดเร็วอย่างผิดปกติ และมีนัยสำคัญ จะเป็นสัญญาณบอกให้เราทราบว่า มีรายใหญ่เข้ามายุ่งแล้ว อาจเป็นเพราะรายใหญ่ รู้ก่อนว่า ผลประกอบการออกมาดีมาก ๆ หรือ มีข่าวอะไรดี ๆ สำหรับหุ้นตัวนี้ การเพิ่มขึ้นของอัตรารอขึ้นรอบหมุน จะมาก่อน หรือ พร้อม ๆ กับการเพิ่มขึ้นของราคา หลักการนี้ เป็นการโยงความสำพันธ์ ของ Value กับ ราคา นั่นเอง แต่ถ้าหากว่าหุ้นตัวใดไหวตัวฮวบฮาบโดยไม่มี Value รองรับไว่ก่อนล่วงหน้า อาจเป็น หลาย ๆ วัน หรือ เป็นเดือน ก้อให้สังเกตุ นิดนึงว่า ไม่น่าจะเป็นหุ้นที่วิ่งยาวได้ บทเรียนนี้ จึงบอก และสอนจอมยุทธน้องใหม่ ได้ว่าสิ่งที่คนอื่นมองข้าม เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ หากใช้ออกโดยยอดยุทธอีกผู้หนึ่งกลับเปล่งประกายของวิชายุทธออกมาได้ หากเป็นตัวที่ยอดนิยม จักพิสดารมากกว่านี้ ถ้ามองให้ลึกถึงแก่นวิชา ดังนั้นเรามีความพร้อมมากน้อยเท่าไร ในการออกมาตะลุยยุทธภพครั้งนี้ วิชามีอยู่มากหลายรอให้ท่านได้ศึกษา อย่าได้รอช้า ยิ่งเป็นเร็วก้อเจ็บตัวน้อย เล่งฮู้ชง _________________ กลับไปข้างบน แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ฮั่วหยวนเจี่ย เจ้าสำนัก เจ้าสำนัก เข้าร่วมเมื่อ: Jul 17, 2006 ตอบ: 3924 ตอบตอบ: 23/07/2006 12:46 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote) เรื่องราวของ %Correlation หรือ วิชาดัชนีสัมพันธ์จิตใจ และ การประยุกต์ใช้ คาราวะ ท่านอาจารย์ และ จอมยุทธทุกท่าน จากการสนทนา กับ แม่นางย้งยี้ ผู้น้อยได้กล่าวอ้างเคล็ดวิชา %Correlation หรือ ชื่อทางยุทธบัญญัติว่า &#8220;วิชาดัชนีสัมพันธ์จิตใจ&#8221; อันเลื่องชื่อของจอมยุทธ เล็กเซียวหงส์ หากจักกล่าวโดยละเอียดจะค่อนข้างยาว ผู้น้อยจักสรุปให้ฟังเฉพาะแก่นของวิชายุทธนี้ %Correlation หรือ วิชาดัชนีสัมพันธ์จิตใจ เป็นวิทยายุทธที่เกิดจากแนวคิดที่ว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า หุ้นตัวนั้นมีความสัมพันธ์ กับ SET มากน้อยเท่าไร หากว่าเราล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ที่วัดค่าออกมาได้ จักนำไปใช้ประโยชน์โดยการเลือกตัวหุ้นที่จะเล่นได้ ดังนั้น เราจะหาความสัมพันธ์ ของตัวหุ้นกับ SET กัน โดยมีหลัการว่า เรารู้ว่า SET มีขึ้นมีลงในแต่ละวัน สมมุติว่าใน 1 เดือน (20 วันทำการโดยประมาณ) SET ขึ้น 15 วัน และ SET ลง 5 วัน ถ้าหุ้น X นั้นขึ้น 15 วัน และ ลง 5 วัน ตาม SET เลย เรากล่าวได้ว่า ดัชนีสัมพันธ์จิตใจ เท่ากับ 100% หรือ กล่าวได้ว่า ถ้าหุ้น X มีความเหมือนในการขึ้น และ ลง ตาม SET และมีความสัมพันธ์กัน เฉกเช่น ดัชนี และ จิตใจที่ 100% แต่สมมุติว่า หุ้น X ขึ้นเหมือน SET 10 วัน และ ลงเหมือน SET 5 วัน อีก 5 ที่เหลือ ไปคนละทางกับ SET เราจักกล่าวได้ว่า หุ้น X มี %Correlation เพียง 15/20 *100 = 75% งง หรือ ป่าวครับ อ่านหลักการคิดตรงนี้ หลาย ๆ รอบ ทีละคำ การประยุกต์ และนำไปใช้ - เราสามารถใช้เลือกตัวหุ้น ที่มีความสัมพันธ์ กับ ดัชนี SET แล้วแต่การนำไปใช้ บางคนขอให้เหมือนกันสัก 75% ก้อใช้ได้ - ถ้าเป็นจอมยุทธรุ่นยอดฝีมือจะดูออก ว่า ขาดบางสิ่งบางอย่างไป วิชาดัชนี ที่ใช้ออกไปนี้กระบวนท่า จะสวยแต่ขาดความแข็งแก่รง จำเป็นจะต้องใช้ควบคู่กับ พลังลมปราณ ในที่นี้ควรจัก กำกับด้วยปราณแห่ง &#8220;เบต้า&#8221; และ พลังแห่ง &#8220;Value&#8221; นั่นคือ เวลา SET ขึ้น หุ้น X จะขึ้นด้วย % การขึ้นที่สูงกว่า SET โดยมีสภาพคล่องรองรับ เช่นนี้ แล้วกำไรจักไปไหน (ถ้ารู้จักจังหวะขาย) - ใช้สนับสนุนค่าอื่น ๆ เพื่อประมวลผลในการตัดสินใจ - การใช้วิชานี้ ต้องดูจังหวะในการเข้าด้วย จะฝากข้อคิดอย่างหนึ่งว่า การเข้าซื้อหุ้นที่พื้นฐานดีและตั้งใจถือยาว แต่เข้าผิดจังหวะ ระยะเวลาที่ยาวนานนั้น ไม่สามารถชดเชยผลการขาดทุนที่เข้าผิดจังหวะได้ เพราะหุ้นไทย การถือยาวคือความเสี่ยงอย่างหนึ่ง (VI หลายคนคงเขม่นผมแล้ว) เพราะตลาดหุ้นไทย ถือว่าเป็นตลาดเกิดใหม่ และต้องยอมรับความจริงว่า การทำราคา ยังมีอยู่ ที่สอนกลยุทธ์ นี้ให้รายย่อยน้องใหม่สามารถ วิเคราะห์ได้เองในขั้นต้น ว่าควรเข้าหุ้นตัวไหนและลดความเสี่ยง เพราะหุ้นที่ตาม SET และมี Value ส่วนใหญ่พื้นฐานใช้ได้ อยู่ที่เราแล้วว่าจะหยิบตัวไหน มาเล่น นั่นคือ ถ้าเปรียบเทียบไปว่า SET เป็น มิเตอร์ไฟรวมของตึกสูงหลังหนึ่งที่มี 30 กว่าชั้น เดือนนี้อัตราการใช้ไฟสูงมาก เราต้องหาว่าตรงไหน ใช้เยอะ โดยอาจไล่ไปที่แต่ละชั้น (อันนี้ก้อเปรียบเหมือน Sector) เมื่อเรารู้ว่าชั้นนี้ใช้เยอะแล้ว ก้อ หาห้องที่ใช้ไฟเยอะ ๆ ได้ไม่ยาก แต่ก้อมีบางห้องใช้ไฟสุดโต่งเลย แต่ยอดรวมการใช้ไฟในชั้นนั้นไม่สูง ดังนั้น จะทิ้งท้าย บอกว่า ในการเข้าซื้อหุ้น จะต้องมีเหตุและผลในตัวเอง และต้องมีคำตอบที่ฟังแล้วเข้าท่า ในการเข้าซื้อแต่ละครั้ง ห้ามบอกว่า เพราะเชื่อมาร์ หรือมีข่าววงใน (แล้วมั่นใจเหรอว่า ข่าวนั้นจะหลุดมาถึงท่านได้ ถ้าเราเป็นรายย่อย ไม่ใช่พวกรายใหญ่ในกลุ่มของเขา) แต่ถ้าเรามีวิชา เราสามารถจับเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ไม่ยากครับ เล่งฮู้ชง อันนี้ ของแถม สำหรับท่านจอมยุทธ ที่เก่ง ฉกาจแล้ว สามารถใช้ Meta Stock ได้ มือใหม่ไม่ต้องไปสนใจ ดูผ่าน ๆ และไม่ต้องตกใจ ว่ามันคืออะไร เข้ามาดู สูตรกันเลย ครับ 1 Month %Correlation 1) SET:=Security("C:\Yahoo Data\Sector Yahoo Symbol\^SETI",C); 2) USet:=If(Set>=Ref(Set,-1),1,0); 3) U:=If(Set>=Ref(Set,-1) AND C>=Ref(C,-1),1,0); 4) DSet:=If(Set<Ref(Set,-1),1,0); 5) D:=If(Set<Ref(Set,-1) AND C<Ref(C,-1),1,0); 6) (Sum(U,20)+Sum(D,20))/(Sum(Uset,20)+Sum(Dset,20))*100 ตัวอย่าง ผลจากการ Run Security % 6MCorrel % 1MCorrel " SET 100 100 LVT N/A N/A TTA 79 85 LOXLEY 74 60 BANPU 63 50 SCIB-C1 80 80 ITD 78 85 ATC 75 50 TRUE 74 75 PTTEP 70 60 RCL 69 55 PTT 83 85 ZMICO-W3 N/A 80 NPC 71 70 SCB 76 75 SSSC 66 70 UCOM 79 60 KK 77 75 TOC 75 60 PSL 83 80 KTB 73 55 THAI 66 50 LANNA 67 60 BBL 78 65 SCC 76 70 ZMICO 83 90 LH 70 70 N-PARK 78 60 จากคุณ : mr.stock - [ 16 พ.ย. 49 21:44:20 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ความน่าจะเป็น ว่าหุ้นมีโอกาสขึ้นในวันต่อไป เมื่อมีเงื่อนไข ? ความน่าจะเป็น ว่าหุ้นมีโอกาสขึ้นในวันต่อไป เมื่อมีเงื่อนไขว่า ราคาปิดของเมื่อวาน ปิดที่ H หรือ เกือบ H คาราวะท่านอาจารย์ และ จอมยุทธทุกท่าน ผู้น้อย ได้สนทนากับ จอมยุทธ ท่านหนึ่ง แซ่ ลิ้ว ชื่อชิวแซ หรือ (ผู้เฒ่าใบไม้ร่วง) ท่านผู้เฒ่าได้ ให้ได้หลักการมอง มาอย่างหนึ่งในการเล่นเร็ว ว่า การเข้าซื้อหุ้นที่ปลายตลาด โดยเลือกหุ้นที่มีราคาปิด ตอนนั้น ที่ H หรือ เกือบ H ในวันรุ่งหุ้น หุ้น ตัวนั้นมีโอกาส วิ่งต่อ เพราะมีการเก็บหุ้น ของรายใหญ่ หรือ หุ้นตัวนั้นเป็นที่นิยมของผู้คน ผู้น้อยหลังจากได้ concept เลยมาทดสอบดูว่า ในช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา คำกล่าวนี้ เป็นจริงมากน้อยเท่าใด ซึ่งช่วงนี้ เป็นช่วงที่หุ้นกำลังตก ดังนั้น จึงลองตั้งเงื่อนไข ดังนี้ % 1 Day Way ของเมื่อวานต้องมากกว่า 90% และทดสอบ ภายใต้เงื่อนไข ที่ตั้งขึ้น เพื่อดูว่า 1 ราคาเปิดของวันนี้ มากกว่า หรือเท่ากับ ราคาปิด ของเมื่อวาน กี่วันในรอบระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา 2 ราคาปิดของวันนี้ มากกว่า หรือเท่ากับ ราคาปิด ของเมื่อวาน กี่วันในรอบระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ลอง run โปรแกมทดสอบดู พบว่า ขอยกตัวอย่าง SET ค่าแรก เป็นราคาเปิดของวันนี้ มากกว่า หรือเท่ากับ ราคาปิด ของเมื่อวาน กี่วันในรอบระยะเวลา 60 วันที่ผ่านมา = 5 ครั้ง ค่าที่สอง เป็นราคาปิดของวันนี้ มากกว่า หรือเท่ากับ ราคาปิด ของเมื่อวาน กี่วันในรอบระยะเวลา 60 วันที่ผ่านมา = 2 ครั้ง ค่าที่สาม เป็นวันที่ SET มีราคาปิดสูงมาก ๆ เกือบ H มีจำนวน 7 ครั้ง ในรอบ 60 วันที่ผ่านมา ตีความหมายได้ว่า ในรอบ 60 วันที่ผ่านมา SET มีการปิดที่ราคา H หรือ เกือบH จำนวนวันทั้งสิ้น 7 ครั้ง และในวันรุ่งขึ้น มีการเปิดตลาดมาสูงกว่า ราคาปิดของเมื่อวาน 5 ครั้ง แต่สุดท้ายแล้ว ในวันรุ่งขึ้นมีการปิดตลาด ที่สูงกว่าเมื่อวานเพียง 2 ครั้ง แต่ที่น่าสนใจ ท่านจอมยุทธลองดูหุ้นที่ ถือว่าเป็นหุ้น Market Cap เล็ก ๆ เช่น JAS, Loxley, THL มีบางสิ่งบางอย่างน่าสนใจ ถ้าหากว่า วันใดเกิดมีราคาพุ่งขึ้นไป ในวันรุ่งขึ้นมักมีคนตาม และ ทำให้เปิดสูงขึ้น และ มักจะมีราคาปิดที่สูงกว่าเมื่อวาน ซึ่งมีจำนวนครั้งที่พอมีนัยสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาจำนวนครั้งที่จุดพลุมันน้อยมาก ๆ แต่ถ้าจับได้ และ ออกให้เร็ว ก้อน่าจะพอได้ การประยุกต์ • ทำให้เราพอมองนิสัยของหุ้นบางตัวออกได้ คร่าว ๆ • ใช้ในการเลือกหุ้นของผู้ที่นิยม ความเสี่ยง มาก ๆ ซึ่งต้องพยายามหาจังหวะที่ควรเข้า เมื่อเกิดการจุดพลุ ดีกว่า ที่จะไปเข้าซื้อช่วงที่หุ้นมันซึมลงมา เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะซึมลงมามากน้อยเท่าไร หรือ อีกนานแค่ไหนจะมีการจุดพลุ ครั้งใหม่ ดังนั้นในช่วงท้ายตลาดก่อนตลาดปิด 15 นาที ให้ดูค่า 1 Day War ของหุ้นที่น่าจะมีกำลังภายในช่วยดัน ว่ามีการเข้าซื้อ lot ใหญ่ ๆ หรือไม่ ถ้าใช่ หากชอบเสี่ยง ก้อลองดู • ไม่แนะนำให้มือใหม่เล่น โดยวิธีนี้ เพราะต้องอาศัยการมอง อีกหลาย ๆ ปัจจัย และต้องเร็วพอ ถ้าเกิดผิดพลาดต้องมีวินัย cut ทันที ข้อเสนอแนะนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว ที่พิจารณาการเข้าซื้อ โดยการลดความเสี่ยง ขั้นหนึ่ง ในการตัดสินใจเพื่อเข้าซื้อ เป็นวิจารณญาณ ของท่าน เล่งฮู้ชง ตัวอย่างหุ้นตัวอื่น ๆ ที่เกิดจากการ run UpO UpC UpT SET 5 2 7 ASP 1 1 3 ATC 3 4 6 BANPU 2 3 5 BAY 6 5 9 BAY-W1 4 3 5 BBL 4 3 6 BEC 3 1 4 BECL 2 2 2 BFIT 4 4 6 CPF 6 5 10 CPF-W2 3 3 5 ITD 1 1 1 ITV 5 2 6 JAS 4 3 6 JAS-W2 4 4 7 KBANK 3 2 4 KEST 1 1 2 LOXLEY 7 7 8 PSL 3 2 5 PTT 3 1 5 PTTEP 3 4 6 SATTEL 4 3 6 SCB 2 1 2 SCB-W 1 1 1 SCC 3 4 8 SCIB 4 3 4 SCIB-C1 2 1 3 THL 4 3 4 TRUE 0 1 3 TTA 4 3 5 TT&T 2 4 5 UCOM 4 5 6 ZMICO 1 1 4 ตัวอย่าง โปรแกรม Y:=((H-O)+(C-L))/(2*(H-L))*100; Total:=If(Ref(Y,-1)>90,1,0); UpC:=If(Ref(Y,-1)>90 AND C>=Ref(C,-1),1,0); UpO:=If(Ref(Y,-1)>90 AND O>=Ref(C,-1),1,0); จากคุณ : mr.stock - [ 16 พ.ย. 49 21:45:34 ]

ความคิดเห็นที่ 4 การคำนวณดัชนีกลุ่มของหุ้น ที่เราอยากจะตั้งดัชนีขึ้นมาเอง ขอคาราวะเจ้าสำนักฮั๊วหยวนเจี่ย เบื้องต่ำเบื้องสูงของสำนัก ท่านผู้อาวุโส อาจารย์ และ จอมยุทธ์ ทุกท่าน เรื่องของวิชาดัชนี ที่นับว่าเป็นหนึ่งในวิทยายุทธ ต้องยกให้ พลังดัชนีของตระกูลต้วน คือ ดัชนีเอกสุริยัน อันเลื่องชื่อ ของท่านอ๋องต้วนอ้วงเอี้ย (ราชันทักษิณ หรือ หลวงจีนใต้) จัดได้ว่าเทียบชั้นยอดฝีมือแห่งยุคนั้น อันประกอบไปด้วย ท่านอั้งชิกกง (ยาจกอุดร) ท่านอึ้งเอี๊ยะซือ (มารบูรพา) และ ท่านอาวเอี้ยงฮง (พิษปัจฉิม) ดัชนีเอกสุริยัน ใช้เป็นยุทธ ยามต่อสู้ หรือ ใช้รักษาผู้คนยามบาดเจ็บ ดังนั้น เคล็ดวิชาดัชนีเอกสุริยัน ที่จะกล่าวจึงใช้ประยุกต์ในการเข้าซื้อ (โรมรันต่อสู้) หรือ ช่วงถอยออก (ช่วงพักฟื้นและเฝ้าดู) เริ่มเรื่อง การหาดัชนีจักอิงพื้นฐานของดัชนีตลาดรวม ซึ่งคำนวณดังนี้ ดัชนีหลักทรัพย์ไทย = มูลค่าตลาดรวม ณ เวลาปัจจุบัน/ มูลค่าตลาดรวมวันฐาน * 100 เอาล่ะ เรามาวิเคราะห์ สูตรกันดีกว่า โดยการมองแบบ เก้ากระบี่เดียวดาย ไม่เน้นการจำ เน้นให้เข้าใจ และใช้ออกไปด้วยสำนึกแห่งกระบี่ ไอ้เจ้ามูลค่าตลาด (Market Cap) มันคืออะไร มันก้อคือค่าที่วัดว่าหุ้นตัวนั้นมีมูลค่าเท่าไร ถ้าเราจะเข้ากว้านซื้อทั้งหมดในตลาด ดังนั้น ต้องเกิดจาก “ราคาปิดปัจจุบัน X จำนวนหุ้นที่มีทั้งหมดที่จดทะเบียน” คงไม่งง นะครับ คราวนี้ เราจะหา ดัชนีของกลุ่มหุ้นใด ๆ เช่น หุ้นปั่น 1 เลือกหุ้นที่จะมาทำดัชนี 2 เราก้อต้อง กำหนดวันฐาน 3 หา ราคาปิด X จำนวนหุ้นที่มีทั้งหมดที่จดทะเบียน ณ วันฐาน 4 หา ราคาปิดปัจจุบัน X จำนวนหุ้นที่มีทั้งหมดที่จดทะเบียน เราก้อวิเคราะห์ ต่อ เพื่อไม่ให้เราต้องทำงานหนัก เพราะ เราถือว่าตลาดมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้นเอาค่าที่จะมาคำนวณคร่าว ๆ ก้อพอ เราดูแล้วว่า จำนวนหุ้นที่จดทะเบียน เราเอาช่วงสั้น ๆ ก้อพอที่เรา พอที่มั่นใจว่า หุ้นตัวนั้นไม่มีการเพิ่มทุน หรือ เกิดการเปลี่ยนแปลงของจำนวนหุ้น (ถ้าท่านใดขยัน ก้อคำนวณตามขั้นตอนที่ให้ไปแล้วกันนะครับ อันนั้นถูกต้องแน่นอน) ดังนั้น ผู้น้อย เริ่มเลย โดยใช้ Meta stock เข้าช่วย ใครจะใช้ Excel ก้อได้ครับ 1 กำหนดหุ้นดังข้าล่าง เลือกเอาตัวที่ลากได้ง่าย Market Cap เล็ก ๆ 2 วันฐานเอาวันที่ 1 Aug 2003 เพราะจะเห็นการขึ้นลง และเปรียบเทียบ กับ SET ได้ 3 ค่าต่าง ๆ ณ วันฐาน (ผู้น้อยใช้จำนวนหุ้นเฉลี่ยในรอบหนึ่งปี เพราะต้องการทุ่นเวลา) 4 ค่าต่าง ๆ ณ เวลาปัจจุบัน (ใน meta stock จัดการให้อยู่แล้ว) มาดูสูตร กันดีกว่า ครับ {Paid Up Capital @ 1 Aug 2003} THLvo:=484; ITDvo:=3739; JASvo:=7834; CKvo:=1050; LOXLvo:=1998; TTAvo:=639; {Close price @ 1 Aug 2003} THLc:=2.18; ITDc:=3.35; JASc:=1.04; CKc:=0.207; LOXLc:=1.1; TTAc:=10.1; {Last update Close Price} THL:=Security("C:\Yahoo Data\Stock Yahoo Symbol\THL.BK",C); ITD:=Security("C:\Yahoo Data\Stock Yahoo Symbol\ITD.BK",C); JAS:=Security("C:\Yahoo Data\Stock Yahoo Symbol\JAS.BK",C); CK:=Security("C:\Yahoo Data\Stock Yahoo Symbol\CK.BK",C); LOXL:=Security("C:\Yahoo Data\Stock Yahoo Symbol\LOXL.BK",C); TTA:=Security("C:\Yahoo Data\Stock Yahoo Symbol\TTA.BK",C); (THL*THLvo+ITD*ITDvo+JAS*JASvo+CK*CKvo+LOXL*LOXLvo+TTA*TTAvo)/(THLc*THLvo+ITDc*ITDvo+JASc*JASvo+CKc*CKvo+LOXLc*LOXLvo+TTAc*TTAvo)*100 ดังนั้น วันเริ่มต้นดัชนี 1 Aug 2003 SET = 491.54 ดัชนี = 100 (ค่าที่คำนวณย้อนกลับโดย meta stock = 114 ถือว่าใกล้เคียง เพราะผู้น้อย เอาค่า หยาบ ๆ มาดูแนวโน้ม เท่านั้น) ถ้าใช้ Excel คำนวณจะดูง่าย กว่านี้ พอได้ idea คร่าว ๆ นะครับ จากคุณ : mr.stock - [ 16 พ.ย. 49 21:46:04 ]

ความคิดเห็นที่ 6 แนวคิดเรื่องการหาหุ้นที่มีความแข็งแกร่งมากกว่า SET คาราวะท่านเจ้าสำนักฮั่ว ท่านอาจารย์ ผู้อาวุโส และ จอมยุทธทุกท่าน ช่วงนี้พอที่มีเวลา และ สุขภาพอำนวย ผู้น้อยจึงอยากจะเสนอ แนวคิด เรื่องการหาหุ้นที่มีความแข็งแกร่งมากกว่า SET (ดัชนีเฉลี่ยที่เกิดจากหุ้นทุกตัวของตลาดโดยให้น้ำหนักตาม Market Cap) {เพียงแค่ SET ที่เราพูดกันตามปกติ ก้อมีความหมายลึกซึ้งถึงปานนี้ ดังนั้นหากเราได้ยิน คำต่าง ๆ เราต้องพยายามตีความหมายให้ออก และมองให้ลึกถึงแก่น} มาเข้าเรื่องกันดีกว่า สำหรับหุ้นที่มีความแข็งแกร่งมากกว่า SET ที่จะนำเสนอนี้ สามารถประยุกต์ประโยชน์ได้มากมาย เช่น - ประยุกต์สูตรเป็นค่า Beta ได้ - ใช้ในการเลือกหุ้น และ ดูว่ายังพอถือต่อได้ หรือ ควรจะทิ้ง - ใช้ในการเทียบว่าในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ มีความ Swing หรือบอกเราโดยนัยว่า มีความแกร่งในการทำกำไร มากน้อยเท่าไร เมื่อเทียบกับสภาวะตลาดโดยรวม ช่วงปูแนวความคิด เมื่อเราได้โจทย์แบบนี้มา เราก้อต้องมานั่งคิดต่อว่า เราจะหายังงัย ? จะเห็นว่าเมื่อมีการเปรียบเทียบเรื่องความแข็งแกร่งกัน นั่นคือเราจะต้องหา ค่าอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ทั้งสองค่า (ตัวหุ้น กับ SET) แล้วนำมาดูว่าใคร เจ๋งกว่ากัน แล้วไอ้ค่าอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ เราจะหายังงัย ? เราก้อคิดง่าย ๆ ว่า ราคามันเปลี่ยนไปกี่เปอร์เซนต์ เมื่อเวลามันเปลี่ยนไป เช่น วันนี้หุ้น A ราคา 10 บาท เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ราคา 9 บาท ดังนั้นอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคา ของหุ้น A = (10-9)/10 = 0.1 หรือ 10% แล้วถ้า SET มีอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาในรอบเวลาเดียวกันเพียง 3% เราก้อบอกได้ว่าในช่วงเวลานั้น หุ้น A มีความแข็งมากกว่า SET มาดูสูตรกันดีกว่า สำหรับบางท่านที่ใช้ Meta stock SET:=Security("C:\Yahoo Data\Sector Yahoo Symbol\^SETI",C); A:=ROC(Mov(C,25,E),1,%)*100; B:=ROC(Mov(SET,25,E),1,%)*100; A; B อธิบายได้ดังนี้ เราอ้างถึง SET จากโฟลเดอร์ที่เราเก็บไว้ กำหนดให้ A เป็นอัตราการเปลี่ยนแปลงของหุ้นใด ๆ (ที่ใช้ MA เพราะหากใช้การเปลี่ยนแปลงวัน ต่อ วันจะเห็นค่าโดยรวมสั้นไป ดังนั้นจึงใช้ ราคาเฉลี่ยแบบเอ็กโปแนลเชี่ยน ในช่วง 25 วัน) กำหนดให้ B เป็นอัตราการเปลี่ยนแปลงของ SET แสดงค่า A, B ตัวอย่าง ดูกราฟ เป็นการเทียบกันของ ITD กับ SET (ขออณุญาติ อ้างอิงชื่อหุ้น เพียงเพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่มีเจตนา ที่จะชักนำให้ผู้ใดเข้าซื้อ หรือ ขายออก กลต ห้ามตำหนิผม และ เวบท่านอาจารย์ฮั่ว นะครับ) สีน้ำเงินคือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของ SET สีแดง คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของหุ้นใด ๆ ต่ออันที่สอง และสามครับ เล่งฮู้ชง ภาพนี้ คือ ปลายปี 2003 ITD แกร่งกว่า SET บางครั้ง SET side way แต่ ITD ขึ้น ภาพนี้คือ ปัจจุบัน จะเห็นว่าช่วงใดควรหลีกเลี่ยง และช่วงใดควรเข้าซื้อ ถ้ากรณีคนเล่นรอบ ก้อควรใช้การพิจารณา อย่างอื่นเข้าประกอบด้วย เช่น กระแสข่าว ดูจุดวกกลับ ถ้ากรณีคนเล่นกลาง ก้อดู ตัดขึ้น SET ซื้อ และถือยาวจนตัดลง ถ้าเล่นระยะยาวเลย ไม่อยากแนะนำ เพราะ ระยะเวลาที่ยาวนาน บางครั้ง ไม่อาจชดเชย การเข้าซื้อที่ผิดจังหวะได้ ที่ยกตัวอย่างนี้ หาใช่สูตรสำเร็จที่ใช้ เพื่อรับมือทุกสถานการณ์ไม่ เป็นเพียงอาวุธขั้นปลายแถวเท่านั้น จริง ๆ ความลึกซึ้งของอาวุธแบบอื่น ๆ ยังมีมากกว่านี้ อยู่ที่แนวคิดของเราเป็นสำคัญ จากคุณ : mr.stock - [ 16 พ.ย. 49 21:48:21 ]

ความคิดเห็นที่ 7 บัญญัติยุทธวิชา พิณ 7 สาย (ภาคหนึ่ง) คาราวะท่านเจ้าสำนัก และ จอมยุทธทุกท่าน วิชาพิณ7 สาย นับเป็นยอดยุทธที่งดงามวิชาหนึ่ง ผู้ฝึกต้องเป็นผู้มีจิตใจหนักแน่น ไม่อ่อนไหวง่าย ผู้ที่ฝึกสำเร็จและเข้าใจแก่นแท้ของวิชา จักเป็นยอดยุทธ ชั้นแนวหน้าของยุทธภพ วิชาพิณ 7 สาย สามารถประยุกต์เป็น 9 สาย14 สาย หรือ 21 สาย จำนวนสายนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ฝึก ในขั้นต้น จะถ่ายทอดเพียง 7 สาย วิชานี้ได้แนวคิดมาจาก ครั้งหนึ่งผู้น้อย ได้มีโอกาสเดินทางไปหมู่บ้านเหมย ของสี่สหายกังหนำ ณ เมืองหางโจว (ฮั่งจิว) และได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเพลงยุทธ กับ ยอดยุทธทั้งสี่ ผู้ที่มีฝีมือสูงสุดหยั่ง เป็นท่าน “อึ้งเจ็งกง” ท่านอึ้งใช้พิณ เป็นอาวุธ ทุกครั้งที่พิณบรรเลงออกมามีทั้งเชื่องช้า และเร่งร้อน ยามที่ดีดสายที่หนึ่ง บันดาลให้ผู้คนฮึกเหิม ยามดีดสายที่เจ็ด กลับบันดาลให้ผู้คนหัวใจเต้นถี่รัว ทุกท่วงทำนองแฝงไปด้วยกำลังภายในลึกสุดหยั่ง จากการประลองครั้งนั้น ผู้น้อยได้เห็นแนวทาง และ บัญญัติยุทธ วิชาพิณ 7 สาย ซึ่งสะท้อนความคิดและอารมณ์ของผู้คนในตลาดหุ้น เพราะสามารถตอบคำถามโจทย์ หลาย ๆ อย่าง ให้ออกมาเห็นเป็นภาพที่ชัดเจนได้ เช่น เรื่องที่เรารู้ อยู่แล้ว และเป็นหลักแห่งความจริง ของตลาด ทำไมหุ้นขึ้นถึงต้องซื้อ ทำไมหุ้นลงถึงต้องขาย ทำไมหุ้นที่ราคาต่ำควรซื้อเข้าเยอะ ๆ และซื้อน้อยลงเมื่อหุ้นมันเริ่มวิ่งขึ้นสูง และไม่ควรซื้อเมื่อมันสูงเกินไป ทำไมหุ้นที่ขึ้นไปสูง ๆ แล้วราคาตกลงมาควรขายออก และ ควรต้อง Cut ไม่ควรขายออกเมื่อตกลงเกินจุดที่ต้อง Cut ที่สำคัญ มันบอกว่า เมื่อไร จุดไหนควรทำอย่างข้างบน ดังนั้นกล่าวได้ว่า พิณ 7 สายคือการบอกจุดเข้าซื้อ และควรเข้าซื้อเท่าไร กี่ % หรือขายออกเมื่อไร กล่าวอีกนัยหนึ่งว่าเป็นการบริหารพอร์ตรูปแบบหนึ่ง นั่นเอง หลักการ ของพิณ ขึงสายพิณตึง และซื้อเข้าเพียงครั้งเดียว ดังนั้นเงินจะเหลือ ให้ไปซื้อตัวอื่น ที่ตัดขึ้นเส้น 1 หรือ 2 หากใจร้อนเล่นเส้น 3,4,5 ก้อไม่ว่ากัน หากจุดวกกลับตัดเส้นพิณที่ 1 ซื้อ 100% หากจุดวกกลับตัดเส้นพิณที่ 2 ซื้อ 80% หากจุดวกกลับตัดเส้นพิณที่ 3 ซื้อ 60% หากจุดวกกลับตัดเส้นพิณที่ 4 ซื้อ 50% หากจุดวกกลับตัดเส้นพิณที่ 5 ซื้อ 40% หากจุดวกกลับตัดเส้นพิณที่ 6, 7 ซื้อ 0% ไม่ซื้อ เอาภาพไปดูก่อน เป็นหุ้น THLTHL (สงสัยเป็นหุ้นตัวใหม่ในตลาด มีหกตัวอักษร คงไม่ผิด กติกามั๊ง ถ้าผิดติงด้วยครับ) แนวโน้มมันลงตลอด แต่ถ้าผู้ฝึกเพลงพิณ 7 สาย ยังงัยก้อได้ตลอด ถ้าเลือกจังหวะ และความเสี่ยงที่จะเสียน้อยมาก ไอ้เส้นปะสีเขียว นั้นเป็น SET นะ จะเห็นได้ว่ามันยึดทางสายกลางตลอดเวลา สวิงอยู่ในเส้นพิณ ที่ 3,4,5 จบภาคหนึ่ง ต่อภาคสอง โดยให้ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดมา บอกต่อนะครับ ถึงเรื่อง แนวคิดการขายออก การประยุกต์ ข้อควรระวัง จุดสังเกต การใช้สูตร จากคุณ : mr.stock - [ 16 พ.ย. 49 21:49:12 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เป็นบทความเก่านะครับ คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์กับบางท่าน จากคุณ : mr.stock - [ 16 พ.ย. 49 21:50:20 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เอาไป 1 vote ขอบคุณครับ จากคุณ : j-Gang - [ 16 พ.ย. 49 23:22:19 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ช่วยโหวตให้ด้วย ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ จากคุณ : xczar - [ 17 พ.ย. 49 00:42:00 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอคารวะหลายๆจอก .... จากคุณ : MONOion - [ 17 พ.ย. 49 01:03:13 A:203.156.112.227 X: TicketID:040891 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ... จากคุณ : ellipsis - [ 17 พ.ย. 49 09:31:23 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอขอบคุณท่านอาจารย์ จากคุณ : อย่ารุมเค้านะ - [ 17 พ.ย. 49 09:57:17 ]

ความคิดเห็นที่ 18 Test จากคุณ : Lonely Nine Swords - [ 17 พ.ย. 49 15:27:56 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เป็นบทความเก่า ๆ ที่เคยเขียนไว้ เมื่อหันมามองภาพเก่า ๆ เมื่อครั้ง ท่องยุทธจักรหุ้น ได้ผุดขึ้นมา บทความที่นำมา ภาพต่าง ๆล้วนหายสิ้น และวิชา กระโดดไปมา บางท่านคงต่อไม่ติด  มีอีกหลายเทคนิค หลายบทตอน จะไปค้นและนำมาทยอยเผยแพร่ให้ หากมีคำถามก้อยินดีครับ อย่าถือว่าผมเป็นอาจารย์ จงนับเป็นสหายของท่านเถิด ตอนนี้ได้ไปเก็บตัวฝึกวิชา อยู่กับธรรมชาติ ร่ำสุรา เร้นกายอยู่ที่ บร์อด เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ไม่กี่เพลา เวลาช่างผ่านรวดเร็ว คงจักได้เวลาออกท่องยุทธ อีกสักครา เล่งฮู้ชง จากคุณ : Lonely Nine Swords - [ 17 พ.ย. 49 17:59:56 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ศิษย์พี่หายไปไหนมาครับ ผมยินดีต้อนรับศิษย์พี่กลับบ้านเป็นคนแรกครับ ศิษย์พี่ครับ ท่านอจ.รอศิษย์พี่อยู่ครับ แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 49 20:05:07 แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 49 19:53:18 จากคุณ : mr.stock - [ 17 พ.ย. 49 19:52:46 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ศิษย์พี่ใหญ่ ชอบชีวิตอิสระ สันโดษ ชอบกินสุรา ท่องเที่ยวไปทั่ว หากต้องการพบ ให้เข้าไปทักที่ สำนักบ้านมีดบิน ส่งที่อยู่ไปให้ทางหลังไมค์ แล้ว เอาล่ะ มาเริ่ม ปูพื้นแนวความคิด ที่ใช้รับมือกับตลาดหุ้นดีกว่า  (แต่ตอนนี้ ก้าวขึ้นมาทำศึกอนุพันธ์ อยู่ ที่นั่นเขียนรายละเอียด แนวคิดบางอย่างไว้ แล้วจะรู้ว่าเมื่อเรารู้จักมัน มันไม่ใช่ การเล่น ไฮโล ไปเอามาเผยแพร่ให่พวกเราได้เลย) ที่มา ของ เคล็ดวิชา และการแตกแนวคิดต่าง ๆ เล่งฮู้ชง หรือ เหล็งฮู้ชง เป็นนามแฝงที่ข้าพเจ้าเลือกใช้เนื่องจากแนวความคิดบางอย่างที่ใช้ในการเล่นหุ้น เกิดจากการตกผลึกจากการอ่านนิยายจีนเรื่อง กระบี่เย้ยยุทธจักร หรือ เดชคัมภีร์เทวดา เล่งฮู้ชงเป็นจอมยุทธ์ท่านหนึ่งที่มีความเป็นธรรมดาสามัญ แต่ความธรรมดาของเขาเป็นความดึงดูดใจผู้คนที่สุดเพราะเขาพิสูจน์ว่า คนธรรมดาผู้หนึ่งก็กลายเป็นวีรบุรุษได้ วีรบุรุษผู้กล้าไม่จำเป็นต้องมีฐานะอันพิเศษพิสดาร ขอเพียงมีจริยะอันสูงส่งเท่านั้น เล่งฮู้ชงเป็นบุคคลที่ปล่อยตัว เขาไม่วางท่าเคร่งขรึม ถึงกับไม่ยึดติดกับตัวตน ไม่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของธรรมเนียมคร่ำครึ เขาไม่สนใจว่าผู้อื่นมีความรู้สึกต่อเขาอย่างไร แม้แต่ท่านอาจรย์ปู่ “ฟงชิงหยาง” สั่งสอนเขาว่า คิดทำอะไรก็ทำเช่นนั้น เขาไม่เคยเห็นว่าตัวเองมีความสำคัญอันใด เป็นบุคคลอันรื่นรมย์ที่หาได้ยากยิ่งผู้หนึ่ง เล่งฮู้ชง กราบอาจารย์ฝึกกระบี่นานนับสิบปี ทุกครั้งที่ฝึกต้องตั้งสติ และให้คิดอยู่ในกรอบ เนื่องจากเป็นศิษย์พี่ใหญ่ย่อมต้องถูกอาจารย์เคี่ยวกรำ และเข้มงวดเป็นพิเศษ หากกระบวนท่าผิดเพี้ยนไปถือว่าผิด ครั้นมาพบท่านอาจารย์ปู่ฟงชิงหยาง ได้สอนเก้ากระบี่เดียวดาย ด้วยแนวทางตรงกันข้าม มิให้คร่ำครึงมงาย ให้ปล่อยตัวปล่อยใจ โดยเน้นที่สำนึกของกระบี่เป็นหลัก ซึ่งสอดคล้องกับนิสัยที่ไม่ยึดติด เก้ากระบี่เดียวดาย บัญญัติขึ้นโดยท่านปรมาจารย์ ต๊กโกวคิ้วป่าย (แสวงหาความพ่ายแพ้) ในชีวิตคิดแสวงหาความพ่ายแพ้ แต่ไม่ได้มา เคล็ดของเก้ากระบี่เดียวดาย ไม่เน้นที่กระบวนท่า แต่เน้นที่สำนึกของกระบี่ ทุกกระบี่ล้วนจู่โจมสู่ตำแหน่งที่ศัตรูมิอาจต้านรับ เคล็ดวิชาพอสรุปได้ดังนี้ “กระบวนท่าต่าง ๆ ล้วนเป็นของตาย ผู้ใช้กระบวนท่าต่างหากที่เป็นของเป็น หากหลงยึดคร่ำครึกับกระบวนท่าที่เป็นของตาย ต่อให้ฝึกท่าไม้ตายหลายร้อยหลายพันกระบวนท่า ในที่สุดยังถูกผู้คนทำลายไปสิ้น ดังนั้นหัดกระบวนท่า ต้องหัดให้เป็นใช้ให้เป็น โดยการหล่อหลอมทุกกระบวนท่าเข้าด้วยกัน ศัตรูก็ไม่สามารถจู่โจมทำลายได้ การหัดให้เป็นใช้ให้เป็นเป็นเพียงขั้นที่หนึ่ง ต้องทำถึงขั้นไร้กระบวนท่า ค่อยก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของวิชาฝีมือ คำว่า “หล่อหลอม” กล่าวถูกเพียงครึ่งเดียว ซึ่งความจริงท่ากระบี่ต่อให้หล่อหลอมอย่างไร ขอเพียงมีริ้วรอยให้สืบสาว ศัตรูยังมีช่องว่างฉกฉวย แต่หากซึ่งไร้กระบวนท่า ศัตรูจะทำลายกระบวนท่าได้อย่างไร เพียงแต่คนที่ไม่เคยฝึกวิชาฝีมือ ได้แต่ฟาดฟันออกไปแบบมั่ว ๆ โดยไร้กระบวนท่า ย่อมถูกผู้อื่นล้มได้ง่าย เพราะใช้ออกโดยไร้สำนึกของกระบี่ อีกทั้งมองกระบวนท่าของศัตรูไม่ออก ” เก้ากระบี่เดียวดาย เน้นการค้นหาจุดอ่อนของกระบวนท่าของคู่ต่อสู้ หากคู่ต่อสู้มีกระบวนท่าเดียว เก้ากระบี่เดียวดายก็มีกระบวนท่าเดียว หากคู่ต่อสู้มีกระบวนท่าที่เปลี่ยนแปลงนับร้อยนับพันกระบวนท่า เก้ากระบี่เดียวดายก็เปลี่ยนแปลงตามและมีนับพันกระบวนท่า ข้าพเจ้าอ่านถึงตอนนี้ ได้แนวคิดได้ว่า หากเราหลงยึดกับสูตรสำเร็จ หรือ Indicator ที่ใช้หาจุดซื้อขายของหุ้น หากเชื่อมั่นในสูตรสำเร็จจนเกินไป และนำไปใช้กับตลาดหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาย่อมต้องเกิดหายนะขึ้นแน่ ๆ เพราะสูตรต่าง ๆ อาจจะใช้ได้ดีในสถานการณ์หนึ่งเท่านั้น การที่จะใช้เก้ากระบี่เดียวดาย ต่อกรกับคู่ต่อสู้ (ในที่นี้หมายถึง SET เพราะ SET เป็นภาพสะท้อนที่เกิดจากการซื้อขาย ของนักลงทุน ไม่ว่ารายใหญ่ รายย่อย หรือสถาบัน กองทุน ต่างๆ) ซึ่ง SET มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่หยุดนิ่ง ดังนั้นการรับมือกับ SET ย่อมต้องลื่นไหลไปตามกระแสคลื่นแห่ง กราฟ SET ไม่มีการไปขวางตลาด เน้นที่สำนึกและความเป็นจริง หุ้นขึ้นก็ซื้อ หุ้นลงก็ขาย ซื้อต่ำขายสูง ซื้อที่สูงขายที่สูงกว่า ซึ่งเก้ากระบี่เดียวดายเป็นแนวความคิดหนึ่งเท่านั้น โดยการมองให้ออกว่า SET มีจุดอ่อนตรงไหนให้เข้าโจมตีเพื่อทำกำไร โดยมีการลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเข้าซื้อ เมื่อ SET ยังคงมีแนวโน้มที่ดีก็ยังคงถือทำกำไร หากจะเปลี่ยนตัวหุ้นต้องมั่นใจว่าตัวใหม่มีศักยภาพที่ดีกว่าเดิม และมีแผนรับมือเมื่อลงผิดจังหวะ โดยการตั้งจุด Cut Loss ข้าพเจ้าหวังเพียงให้นักลงทุนหน้าใหม่ มีความรู้ว่าควรจะรับมือกับตลาดหุ้นอย่างไร มิอาจคาดหวังว่าทุก ๆ ท่านจักได้กำไรกันทุกคน เพราะทุกท่านมีแนวความคิดที่แตกต่างกัน จึงทำให้ในสถานการณ์หนึ่ง ๆ มีคนที่คิดขายหุ้น และ ซื้อหุ้นในเวลาเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นวิชายุทธ์ที่มีที่มาแหล่งเดียวกัน แต่สิ่งที่หวังในใจลึก ๆ เพียงแต่ให้ทุกท่านลงทุนอย่างมีหลักการ มีเหตุผลที่สามารถตอบตนเองได้อย่างมั่นใจว่าเข้าซื้อ หรือขายออก เพราะอะไร และเหตุผลนั้นเป็นสิ่งที่ใจของเราเห็นว่าถูกต้องแล้ว เล่งฮู้ชง จากคุณ : Lonely Nine Swords - [ 17 พ.ย. 49 22:25:27 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ตอนนี้เอาเรื่องหุ้นไปก่อน เห็นมีบทความเรื่อง เรียนรู้วิชาพรรคมาร การดันราคาหุ้นขึ้นสูงในตอนท้ายตลาด มีความหมายเช่นไร ? ตอนนี้ให้เสริมเรื่อง  การกดราคาหุ้นให้ต่ำในตอนท้ายตลาด มีความหมายเช่นไร ? (เขียนไว้เนิ่นนานแล้ว) รายละเอียด คารวะจอมยุทธ์ทุกท่าน การจับสัญญาณตอนท้ายตลาดนั้น สามารถบอกอะไรเราได้หลายอย่าง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นในช่วงเวลา Matching สามารถตีความได้มากมาย การเปลี่ยนแปลงนี้มีทั้งเป็นแบบธรรมชาติ และแบบจงใจให้เกิดขึ้น ในกรณีที่เป็นแบบธรรมชาตินั้น เกิดจากความต้องการขาย อย่างแท้จริงของผู้ขายที่กำลังร้อนเงินจริง ๆ ส่วนในกรณีหลังที่เป็นแบบจงใจให้เกิดนั้น เป็นการแทรกแซง ราคาหุ้นอย่างจงใจเพื่อหวังผล ตัวอย่าง เช่น หุ้น ABC มีแรงเหวี่ยงของการซื้อขายภายในวันอยู่ช่วง 9.5 – 10 บาท จนกระทั่งก่อนปิดตลาดก็ยังอยู่ในระดับนี้ มีแรง Bid ขอซื้อที่ 9.6 บาท และ Offer ขายที่ 9.7 บาท ปรากฎว่าหลังจากผ่านการ Matching ราคาปิดกลับตกไปเหลือ 9.4 บาท ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ เราตีความได้ว่า หากมองในแง่ดี คือเป็นการเสนอขายอย่างเป็นธรรมชาติ ผู้ลงทุนมีความต้องการเงินอย่างรีบด่วน จำเป็นต้องขายหุ้น ABC ออกมา ทำให้ราคาตกอย่างเห็นได้ชัด แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแผนของผู้ลงทุนบางรายทำขึ้นมา เพื่อส่งผลทางด้านจิตวิทยาของหุ้น ABC ในวันต่อไป ที่เป็นเช่นนี้เพราะ หลังจากหุ้น ABC ร่วงต่ำลงมาแล้ว จะมีนักลงทุนส่วนหนึ่งที่ซื้อหุ้นในระหว่างวันได้ติดสูง ซึ่งในบ้านเราต้องยอมรับว่า มีการเล่นหุ้นแบบระยะสั้นมาก ๆ หรือ Trader กันเป็นจำนวนมาก หุ้นที่มีอยู่ในมือกลายเป็นของแพง และไม่อยากจะถือแล้ว มีบางส่วนขอทำ Cut Loss ส่วนผู้ลงทุนท่านอื่นที่จ้องอยู่ภายนอก เห็นว่าราคาชักจะลงดิ่ง ความเชื่อมั่นชักถดถอย ดูแล้วไม่ค่อยสวย สู้อยู่ห่าง ๆ ดีกว่า ไม่ว่าการลดต่ำลงของราคาหุ้นช่วงท้ายตลาด มีสาเหตุจากอะไร แต่เป็นสิ่งที่นักลงทุนรายใหญ่เข้าใจ และจ้องที่จะเก็บหุ้นบางตัวเข้าพอร์ต ดังนั้นจึงมักจะนำวิธีนี้มาใช้เสมอ เพราะการเก็บหุ้นจำนวนมาก ๆ มักเป็นที่สังเกตของตลาด หากทำให้ราคาตกต่ำลง ไม่เป็นที่ต้องตาของนักลงทุนรายย่อยทั่ว ๆ ไป ดังนั้นรายใหญ่สามารถเก็บของเข้าพอร์ตได้ในราคาที่ถูกกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อของมีจำนวนมากพอก็สร้างความร้อนแรงให้หุ้น หรือจุดพลุเตรียมทะยานในขั้นต่อไป นักลงทุนรายย่อยจะรู้ได้อย่างไร จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์และคำชี้แนะจากผู้ช่ำชอง หรือต้องฝึกยุทธ์ให้มากโดยการเฝ้าสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงของ Value ซึ่งจะช่วยได้ และมองออกว่า การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นนั้นเกิดจากการแทรกแซงของนักลงทุนรายใหญ่หรือไม่ ข้อสังเกตอย่างหนึ่ง หากตอนที่ทำ Matching มี Volume เกิดขึ้นไม่มาก น้อยกว่าช่วงกลางตลาดที่มีการซื้อขายกัน และราคาหุ้นตกต่ำอย่างผิดสังเกต ก็ให้ระมัดระวังตัวกับหุ้นตัวนี้ และตามสังเกตอย่างใกล้ชิด เพราะ มันมีสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว มื่อคืน 18/10/04 ได้คุย กับท่าน "เค" ถึงหุ้นตัวหนึ่ง ว่ามีการกดราคาท้ายตลาด แต่ ไม่มี value ก้อแนะไปว่า ไม่ควรขายหมู ควรถือไว้ก่อน และตามสังเกต ว่า เจ้าเขย่าเอาของ (เป็นอีกบทเรียนหนึ่ง จะสอน ในวันที่ 29/10 เรื่องการวิเคราะห์ รายคำสั่งของการซื้อขาย) เล่งฮู้ชง จากคุณ : Lonely Nine Swords - [ 17 พ.ย. 49 22:30:24 ]