Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    กฏทองคำ

    • กฎข้อแรกในการเล่นหุ้น ต้อง stop loss เป็น ถ้าทำไม่ได้ก็อย่ามาเล่นหุ้น
    เพราะหุ้นที่ไม่ดีจะถือไว้ทำไม ต้องขายไปให้คนอื่นถือแทน
    • กฎข้อที่สอง คำว่า take profit ต้องไม่ทำ เพราะคำว่า take profit อ่านว่า ting (ทิ้ง) profit
    ซึ่งเป็นคำอุบาทว์ ห้ามพูดและห้ามทำ จะขายหุ้นในพอร์ตได้ก็ต่อเมื่อราคาได้ตกลงมาแตะจุด stop loss
    ที่เรากำหนดไว้ตามสัญญาณต่าง ๆ และต้องทำการเลื่อนจุด stop loss ตามขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อราคาวิ่งขึ้นไป
    • หุ้นที่เราขาดทุนมาก ๆ ในอดีต เมื่อย้อนกลับไปดูจะพบว่า ล้วนมาจากการที่ไม่ทำการ stop loss ทั้งนั้น
    • พอร์ตของเราจะกำไรมากหรือน้อย ขึ้นอยู่ที่ว่า เราทิ้งหุ้นที่ดีไปมากหรือน้อย
    • กฎทุกกฎมาจากธรรมชาติ ซึ่งธรรมชาติจะมีสัดส่วนตายตัวของมันอยู่แล้ว ซึ่งอาจารย์ได้พูดถึง
    ปฏิจจสมุทปบาท โดยอ่านรายละเอียดคำอธิบายของอาจารย์ในกระทู้บนเวบบอร์ดได้
    • การซื้อหุ้นจะไม่ซื้อที่ bottom และการขายหุ้นจะไม่ขายที่ top เพราะไม่มีใครรู้ว่า ณ
    เวลานั้นเป็นระดับต่ำสุดหรือสูงสุด เราจึงซื้อหุ้นที่ high คือสูงกว่าจุด bottom เพราะได้รับการ confirm
    แล้ว และขายหุ้นที่ low คือจุดต่ำกว่าจุด top เพราะได้รับการ confirm แล้ว
    • เมื่อเข้าซื้อหุ้นตาม buy signal ไม้แรก ระยะเวลาที่จะรู้ว่าถูกทางหรือไม่
    จะใช้เวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์
    • เมื่อราคาหุ้นมีการ breakout Standard Error Channel (SEC) ขึ้นไป จะเกิดขึ้นใน 2 กรณี คือ (หนี่ง)
    ทะลุเส้นบนแล้วราคาวิ่งไปเลย หรือ (สอง) ทะลุเส้นบนแล้วอ้อยอิ่งเกาะเส้นบนไปสักระยะหนึ่ง
    แต่ไม่ลงมาต่ำกว่าเส้นบน แล้วจึงจะวิ่งขึ้นไป
    • เนื้อหาทั้งหมดที่อาจารย์สอนในวันนั้น ล้วนมีอยู่ในกระทู้ต่าง ๆ ที่อาจารย์ตอบบน web board set50.com
    สามารถเข้าไปคลิกอ่านได้ จะละเอียดมากยิ่งขึ้นครับ



    • การทำอะไรก็แล้วแต่ (ที่เรียกว่า “กรรม” ) เราทำบนฐานหรือพื้นฐานอะไร การมาเล่นหุ้นหรือลงทุนในตลาด
    ก็เป็นการกระทำหรือกรรมอย่างหนึ่ง เรากระทำอยู่บนฐานอะไร ฐานแห่งความโลภ หรือฐานแห่งความกลัว
    หรือฐานแห่งความมีสติ เมื่อเรามีสิ่งใดเป็นฐานหรือพื้นฐานในการกระทำ
    ก็ย่อมส่งผลให้การกระทำของเราเป็นไปตามฐานหรือพื้นฐานเหล่านั้น

    • การปลูกต้นไม้ เป็นการกระทำ ซึ่งมีฐานหรือพื้นฐานแห่งการอยากได้ผล ดังนั้น
    การกระทำของเราก็ต้องหมั่นรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย
    เพื่อที่ต้นไม้จะได้เจริญงอกงานจนสามารถผลิดอกออกผลมาให้เรารับประทานหรือนำไปขายได้
    การลงทุนก็เช่นเดียวกัน

    • การมาลงทุนในตลาดจึงต้องไม่กระทำบนฐานแห่งความโลภ ความกลัว และความหลง (ความหลงที่อาจารย์อธิบายคือ
    การไม่เข้าใจถึงธรรมชาติของตลาดหลักทรัพย์ หรือสภาพความเป็นไปของตลาด
    จึงทำให้ไม่สามารถกระทำหรือปฏิบัติให้สอดคล้องกับธรรมชาติของตลาด)

    • การเล่นหุ้นบนฐานของความโลภ ความกลัว และความหลง ล้วนเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
    ส่วนการเล่นหุ้นบนฐานของความเมตตา นำมาซึ่งความสบายใจ

    • เราเล่นหุ้นบนฐานของความโลภ เราก็ขาดทุน เพราะมุ่งที่จะซื้อในราคาที่ต่ำสุด เพื่อหวังว่าราคาจะขึ้นไป
    ซึ่งถือว่าเป็นความผิดพลาด เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อในราคาที่ต่ำสุด
    เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าราคานั้นเป็นราคาที่ต่ำสุดแล้ว และเป็นความผิดพลาดตรงที่ราคาที่ต่ำสุด
    จะไม่มีจุด Stop Loss ให้ใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดขายออกไป

    • เราเล่นหุ้นบนฐานของความกลัว กลัวว่ามีกำไรแล้ว เดี๋ยวจะกลายเป็นขาดทุนจึงขายทำกำไรออกไป ทั้ง ๆ
    ที่ยังไม่มีสัญญาณอะไรบ่งชี้ให้ขาย ทำให้เสียโอกาสในการสร้างกำไรให้สูงขึ้น

    • เราเล่นหุ้นบนฐานของความหลง คือเล่นโดยไม่รู้หรือไม่เข้าใจถึงธรรมชาติของตลาดหุ้น
    ว่าเมื่อมีขึ้นก็มีลง เมื่อมีลงก็มีขึ้น ทำให้ไม่สามารถปรับการกระทำให้สอดคล้องกับธรรมชาติของตลาด
    เพื่อสร้างกำไรจากการลงทุน

    • ดังนั้น เราจึงต้องไม่เล่นหุ้นบนฐานของความโลภ ความกลัว และความหลง เข้ามาเจือปน
    แต่เราต้องเล่นตามระบบ เมื่อมีสัญญาณซื้อก็ซื้อ เมื่อมีสัญญาณขายหรือแตะจุด Stop Loss ก็ขาย

    • เราต้องเล่นหุ้นบนฐานของ “ขันติ” (ความอดทน) หุ้นที่เรามี ถ้าราคายังไม่ตกลงมาถึงจุด Stop Loss
    ก็ไม่ยอมขายทำกำไร หรือที่เรียกว่า Take Profit เป็นอันขาด

    • คำว่า Take Profit ต้องไม่มีคำ ๆ นี้อยู่ในสมองของเราเช่นเดียวกับ วอร์เรน บัฟเฟต

    • คำว่า “ช้อน” ให้เอาไปเก็บไว้ในครัว ไม่ให้เอามาใช้ในตลาดหุ้น ก็จะไม่มีการ “ช้อนซื้อหุ้น”
    เช่นที่คนส่วนใหญ่ทำกัน

    • จะซื้อหุ้น ต้องรอให้หุ้นขึ้นมาก่อนค่อยเข้าซื้อ เพราะเมื่อหุ้นขึ้น จะขึ้นไปเรื่อย ๆ และในทางกลับกัน
    เมื่อหุ้นลง ก็จะลงไปเรื่อย ๆ เช่นกัน

    • ราคาหุ้นเมื่อลง จะลงไปถึง 78.6% เสมอ และเมื่อขึ้น จะขึ้นไปถึง 61.8% เสมอ ถ้าลงไม่ถึง 78.6%
    ก็แสดงว่าจุด High ที่ใช้ในการตีเส้น Fibo ไม่ถูกต้อง หรือขึ้นไม่ถึง 61.8% ก็แสดงว่าจุด Low
    ที่ใช้ในการตีเส้น Fibo ไม่ถูกต้อง

    • จะซื้อหุ้นต้อง
    1. รอให้ราคาลงมาแตะหรือใกล้ 78.6%
    2. ต้องมีสัญญาณซื้อเกิดขึ้น
    3. ต้องครบถ้วนทั้ง ข้อ 1 และ ข้อ 2
    4. ถ้ามีเพียง ข้อ 1 หรือ ข้อ 2 เพียงข้อเดียวก็ไม่ซื้อ

    • ถ้าราคาลงมาจนทะลุระดับ 78.6% ก็จะลงลึกต่อไปถึง 161.8% ทันที และถ้าทะลุ 161.8% ก็จะลงลึกต่อไปถึง
    261.8%

    • บางครั้งลงมาไม่ถึงระดับถัดไป แล้วราคากลับขึ้นไปใหม่ แสดงว่าการลงยังไม่สิ้นสุด
    แต่การที่กลับขึ้นไปใหม่เป็นการขึ้นชั่วคราว เพราะฉะนั้น จะต้อง Pending เอาไว้ก่อน
    โดยการจดบันทึกไว้กันลืม

    จากคุณ : mr.stock - [ 17 พ.ย. 49 02:32:31 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom