• กฎข้อแรกในการเล่นหุ้น ต้อง stop loss เป็น ถ้าทำไม่ได้ก็อย่ามาเล่นหุ้น
เพราะหุ้นที่ไม่ดีจะถือไว้ทำไม ต้องขายไปให้คนอื่นถือแทน
• กฎข้อที่สอง คำว่า take profit ต้องไม่ทำ เพราะคำว่า take profit อ่านว่า ting (ทิ้ง) profit
ซึ่งเป็นคำอุบาทว์ ห้ามพูดและห้ามทำ จะขายหุ้นในพอร์ตได้ก็ต่อเมื่อราคาได้ตกลงมาแตะจุด stop loss
ที่เรากำหนดไว้ตามสัญญาณต่าง ๆ และต้องทำการเลื่อนจุด stop loss ตามขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อราคาวิ่งขึ้นไป
• หุ้นที่เราขาดทุนมาก ๆ ในอดีต เมื่อย้อนกลับไปดูจะพบว่า ล้วนมาจากการที่ไม่ทำการ stop loss ทั้งนั้น
• พอร์ตของเราจะกำไรมากหรือน้อย ขึ้นอยู่ที่ว่า เราทิ้งหุ้นที่ดีไปมากหรือน้อย
• กฎทุกกฎมาจากธรรมชาติ ซึ่งธรรมชาติจะมีสัดส่วนตายตัวของมันอยู่แล้ว ซึ่งอาจารย์ได้พูดถึง
ปฏิจจสมุทปบาท โดยอ่านรายละเอียดคำอธิบายของอาจารย์ในกระทู้บนเวบบอร์ดได้
• การซื้อหุ้นจะไม่ซื้อที่ bottom และการขายหุ้นจะไม่ขายที่ top เพราะไม่มีใครรู้ว่า ณ
เวลานั้นเป็นระดับต่ำสุดหรือสูงสุด เราจึงซื้อหุ้นที่ high คือสูงกว่าจุด bottom เพราะได้รับการ confirm
แล้ว และขายหุ้นที่ low คือจุดต่ำกว่าจุด top เพราะได้รับการ confirm แล้ว
• เมื่อเข้าซื้อหุ้นตาม buy signal ไม้แรก ระยะเวลาที่จะรู้ว่าถูกทางหรือไม่
จะใช้เวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์
• เมื่อราคาหุ้นมีการ breakout Standard Error Channel (SEC) ขึ้นไป จะเกิดขึ้นใน 2 กรณี คือ (หนี่ง)
ทะลุเส้นบนแล้วราคาวิ่งไปเลย หรือ (สอง) ทะลุเส้นบนแล้วอ้อยอิ่งเกาะเส้นบนไปสักระยะหนึ่ง
แต่ไม่ลงมาต่ำกว่าเส้นบน แล้วจึงจะวิ่งขึ้นไป
• เนื้อหาทั้งหมดที่อาจารย์สอนในวันนั้น ล้วนมีอยู่ในกระทู้ต่าง ๆ ที่อาจารย์ตอบบน web board set50.com
สามารถเข้าไปคลิกอ่านได้ จะละเอียดมากยิ่งขึ้นครับ
• การทำอะไรก็แล้วแต่ (ที่เรียกว่า “กรรม” ) เราทำบนฐานหรือพื้นฐานอะไร การมาเล่นหุ้นหรือลงทุนในตลาด
ก็เป็นการกระทำหรือกรรมอย่างหนึ่ง เรากระทำอยู่บนฐานอะไร ฐานแห่งความโลภ หรือฐานแห่งความกลัว
หรือฐานแห่งความมีสติ เมื่อเรามีสิ่งใดเป็นฐานหรือพื้นฐานในการกระทำ
ก็ย่อมส่งผลให้การกระทำของเราเป็นไปตามฐานหรือพื้นฐานเหล่านั้น
• การปลูกต้นไม้ เป็นการกระทำ ซึ่งมีฐานหรือพื้นฐานแห่งการอยากได้ผล ดังนั้น
การกระทำของเราก็ต้องหมั่นรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย
เพื่อที่ต้นไม้จะได้เจริญงอกงานจนสามารถผลิดอกออกผลมาให้เรารับประทานหรือนำไปขายได้
การลงทุนก็เช่นเดียวกัน
• การมาลงทุนในตลาดจึงต้องไม่กระทำบนฐานแห่งความโลภ ความกลัว และความหลง (ความหลงที่อาจารย์อธิบายคือ
การไม่เข้าใจถึงธรรมชาติของตลาดหลักทรัพย์ หรือสภาพความเป็นไปของตลาด
จึงทำให้ไม่สามารถกระทำหรือปฏิบัติให้สอดคล้องกับธรรมชาติของตลาด)
• การเล่นหุ้นบนฐานของความโลภ ความกลัว และความหลง ล้วนเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ส่วนการเล่นหุ้นบนฐานของความเมตตา นำมาซึ่งความสบายใจ
• เราเล่นหุ้นบนฐานของความโลภ เราก็ขาดทุน เพราะมุ่งที่จะซื้อในราคาที่ต่ำสุด เพื่อหวังว่าราคาจะขึ้นไป
ซึ่งถือว่าเป็นความผิดพลาด เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อในราคาที่ต่ำสุด
เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าราคานั้นเป็นราคาที่ต่ำสุดแล้ว และเป็นความผิดพลาดตรงที่ราคาที่ต่ำสุด
จะไม่มีจุด Stop Loss ให้ใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดขายออกไป
• เราเล่นหุ้นบนฐานของความกลัว กลัวว่ามีกำไรแล้ว เดี๋ยวจะกลายเป็นขาดทุนจึงขายทำกำไรออกไป ทั้ง ๆ
ที่ยังไม่มีสัญญาณอะไรบ่งชี้ให้ขาย ทำให้เสียโอกาสในการสร้างกำไรให้สูงขึ้น
• เราเล่นหุ้นบนฐานของความหลง คือเล่นโดยไม่รู้หรือไม่เข้าใจถึงธรรมชาติของตลาดหุ้น
ว่าเมื่อมีขึ้นก็มีลง เมื่อมีลงก็มีขึ้น ทำให้ไม่สามารถปรับการกระทำให้สอดคล้องกับธรรมชาติของตลาด
เพื่อสร้างกำไรจากการลงทุน
• ดังนั้น เราจึงต้องไม่เล่นหุ้นบนฐานของความโลภ ความกลัว และความหลง เข้ามาเจือปน
แต่เราต้องเล่นตามระบบ เมื่อมีสัญญาณซื้อก็ซื้อ เมื่อมีสัญญาณขายหรือแตะจุด Stop Loss ก็ขาย
• เราต้องเล่นหุ้นบนฐานของ “ขันติ” (ความอดทน) หุ้นที่เรามี ถ้าราคายังไม่ตกลงมาถึงจุด Stop Loss
ก็ไม่ยอมขายทำกำไร หรือที่เรียกว่า Take Profit เป็นอันขาด
• คำว่า Take Profit ต้องไม่มีคำ ๆ นี้อยู่ในสมองของเราเช่นเดียวกับ วอร์เรน บัฟเฟต
• คำว่า “ช้อน” ให้เอาไปเก็บไว้ในครัว ไม่ให้เอามาใช้ในตลาดหุ้น ก็จะไม่มีการ “ช้อนซื้อหุ้น”
เช่นที่คนส่วนใหญ่ทำกัน
• จะซื้อหุ้น ต้องรอให้หุ้นขึ้นมาก่อนค่อยเข้าซื้อ เพราะเมื่อหุ้นขึ้น จะขึ้นไปเรื่อย ๆ และในทางกลับกัน
เมื่อหุ้นลง ก็จะลงไปเรื่อย ๆ เช่นกัน
• ราคาหุ้นเมื่อลง จะลงไปถึง 78.6% เสมอ และเมื่อขึ้น จะขึ้นไปถึง 61.8% เสมอ ถ้าลงไม่ถึง 78.6%
ก็แสดงว่าจุด High ที่ใช้ในการตีเส้น Fibo ไม่ถูกต้อง หรือขึ้นไม่ถึง 61.8% ก็แสดงว่าจุด Low
ที่ใช้ในการตีเส้น Fibo ไม่ถูกต้อง
• จะซื้อหุ้นต้อง
1. รอให้ราคาลงมาแตะหรือใกล้ 78.6%
2. ต้องมีสัญญาณซื้อเกิดขึ้น
3. ต้องครบถ้วนทั้ง ข้อ 1 และ ข้อ 2
4. ถ้ามีเพียง ข้อ 1 หรือ ข้อ 2 เพียงข้อเดียวก็ไม่ซื้อ
• ถ้าราคาลงมาจนทะลุระดับ 78.6% ก็จะลงลึกต่อไปถึง 161.8% ทันที และถ้าทะลุ 161.8% ก็จะลงลึกต่อไปถึง
261.8%
• บางครั้งลงมาไม่ถึงระดับถัดไป แล้วราคากลับขึ้นไปใหม่ แสดงว่าการลงยังไม่สิ้นสุด
แต่การที่กลับขึ้นไปใหม่เป็นการขึ้นชั่วคราว เพราะฉะนั้น จะต้อง Pending เอาไว้ก่อน
โดยการจดบันทึกไว้กันลืม
จากคุณ :
mr.stock
- [
17 พ.ย. 49 02:32:31
]