PANTIP.COM : I4885434 เบื้องหลังหนังชีวิตเรื่อง "ผมไม่ได้รักคุณอีกแล้ว" [หุ้น]

ความคิดเห็นที่ 6

เบื้องหลังของหนังเรื่องนี้ก็คือ

เวลาดูงบการเงิน
ถ้าถือหุ้นตัวไหนเยอะๆ
และไม่ค่อยไว้ใจ ธุรกิจของบริษัท
ผมจะต้องตามอ่าน

"หมายเหตุประกอบงบการเงิน"

ถ้าบริษัทไหนพอจะมีธรรมาภิบาลอยู่บ้าง
ย่อมจะไม่ปกปิดข้อมูลที่ได้เกิดขึ้นจริงๆ

หมายเหตุประกอบงบการเงิน ในไตรมาสที่สอง
เริ่มสะดุดใจกับข้อความสั้นๆ
ที่ผู้บริหารพยายามจะบอกเป็นนัยๆให้รู้ว่า
บริษัทมีเจ้าหนี้รายใหญ่รายหนึ่ง
ซึ่งถ้าเกิดหนี้สูญ จะกระเทือนต่อฐานะของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

หลังจากดูหมายเหตุประกอบงบการเงิน
ก็เริ่มรู้สึกหวั่นๆใจอยู่ลึกๆ
ราคาหุ้นได้ตกลงมาเกือบยี่สิบเปอร์เซนต์

แต่บังเอิญมันเป็นช่วงที่บริษัท
กำลังจะโดนตลาดจับไปซื้อขาย
ในแบบคอลมาร์เก็ต
โดยให้ซื้อขายหุ้น ได้แค่วันละสามครั้ง
เปิดตลาดเช้า เปิดตลาดบ่าย และปิดตลาดบ่าย

ก็เลยตีความเข้าข้างตัวเองว่า
คนที่ถือหุ้นอยู่เทขาย
เพราะกลัวว่าหุ้นจะไม่มีสภาพคล่อง

แต่ความจริงที่ยิ่งทำให้คิดหนักมากขึ้นก็คือ
ถึงแม้บริษัทจะกระจายหุ้นแบบนอมินี
จนฟรีโฟลตครบตามเกณฑ์ของตลาดฯ
และสามารถซื้อขายในกระดานปกติต่อไป

ราคาหุ้นของบริษัทก็ไม่ได้ส่อแววว่าจะฟื้น
ทำไดเวอร์เจ๊งด้านลบกับฐานะของบริษัทในขณะนั้นอยู่พอสมควร

จึงตีความได้ว่า
ราคาหุ้นไม่ได้ตกเพราะเรื่องโดนคอลมาร์เก็ต

และแล้ววันหนึ่ง
บังเอิญไปอ่านกระทู้เกี่ยวกับบริษัทเข้า
มีท่านผู้รู้ท่านหนึ่งในเวปทีวีไอ (คุณฉัตรชัย ?)
ได้ออกความเห็นว่า
ราคาหุ้นตก อาจจะเกี่ยวกับบริษัทอัญมณียักษ์ใหญ๋ในอเมริกา
เกิดปัญหาการเงิน อาจถึงขั้นล้มละลาย
อ่านข้อความนั้นเสร็จเริ่มใจคอไม่ดี

ในที่สุด ก็เลยตัดสินหาเบอร์โทรฯของบริษัทจากเวปตลาดฯ
โทรไปหาฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์
พนักงานสาวผู้รับสาย ไม่กล้าให้ข้อมูลอะไร
แต่ได้ขอชื่อและเบอร์โทรไว้
หลังจากนั้นประมาณสองสามชั่วโมง
มีโทรศัพท์กลับมาจากบริษัท
คนที่โทรมา น่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัท
เข้าใจว่า เธอคงจะเช็คชื่อดูแล้ว
เป็นผู้ถือหุ้นอยู่จริงๆ สามารถให้ข้อมูลที่สามารถให้ได้

คำถามที่ผมถามนำไปคือ
ได้ข่าวมาว่า ลูกค้าของบริษัทที่อเมริกากำลังประสบปัญหาการเงิน
ความจริง มันเป็นการโยนหินถามทางมากกว่า
เพราะผมก็ยังไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย

yuck yuck yuck yuck yuck yuck yuck yuck yuck yuck

หลังจากอ้ำอึ้งไปแวบหนึ่ง
พนักงานสาวท่านนั้น ก็ได้บอกความจริงว่า
ลูกค้าของบริษัทมีปัญหาทางการเงินจริง
แต่บริษัทกำลังพยายาม หาทางแก้ไขปัญหาอยู่

ข้อมูลที่น่าตกใจ ยิ่งไปกว่าหนี้ที่อาจจะสูญคือ
บริษัทลูกค้ารายนี้
เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดของบริษัท

ผมคิดในใจต่อ
ถ้าเกิดมีอันเป็นไป
แทบจะเรียกได้ว่า บริษัทกำลังเดินตามรอย CEI
ซึ่งแทบล้มทั้งยืน จากการเสียลูกค้ารายใหญ่ไป

เธอได้ให้ข้อมูลแบบปลอบใจว่า
กำลังพยายามเปิดตลาดใหม่ๆอยู่
และได้ให้ข้อมูลทั่วไปอีกหลายอย่างที่สามารถบอกได้
แต่ผมก็รักษามารยาท ด้วยการไม่เอ่ยถามถึงผลประกอบการไตรมาสสาม
คิดว่า สามารถตีความเอาเอง จากข้อมูลที่ได้รับได้แล้ว

ก่อนจะวางสาย ผมได้สอบถามชื่อบริษัทซึ่งเป็นลูกค้าสำคัญที่สุด

คำตอบที่ได้คือ

M FABRIKANT

ผมจัดแจงเอาชื่อนั้นไปหาในกู่เกิ้ล
และผลลัพธ์ที่ได้ ก็ทำเอาใจหายวาบ
บริษัทดังกล่าว
เป็นบริษัทค้าอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ
และมีปัญหาการเงิน จนมีโอกาสถูกฟ้องล้มละลาย

ดังนั้น เรื่องชำระหนี้คงค้าง ยังคงพอพูดกันได้
แต่เรื่องสั่งซื้อสินค้าใหม่ คงเป็นไปไม่ได้
จนกว่าธนาคารเจ้าหนี้ จะเข้าไปปรับโครงสร้างหนี้จนเรียบร้อย

ด้วยข้อมูลแบบวงนอก ที่ถามจากผู้อื่น และหาเองจากเนต
จึงทำให้ผมต้องตัดสินใจพูดว่า

"ผมไม่ได้รักคุณอีกแล้ว"

ระหว่างช่วงสามเดือนแห่งการอคอยข่าวร้ายออกมา
ได้แต่ลุ้นว่า จะมีเจ้ามือคนไหน มือบอนและใจถึงเข้ามาปั่น
จะได้ขายทิ้งราคาดีๆ
แต่ความหวัง ก็ได้แต่เป็นแค่ความหวัง

ราคาหุ้นขึ้นจริง แต่ไม่มีสภาพคล่องคอจะรองรับการขาย
ระดับหลายหมื่นหุ้นได้
ในที่สุดก็ได้ขายค่อยๆ ทะยอยขายทิ้ง
และขายทิ้งล็อตใหญ่ก่อนวันงบออก
ได้สองหมื่น ห้าร้อยหุ้น ที่ราคาแถวๆสิบสี่บาทนิดๆ

จากกำไรตัวเลขเกือบสี่แสนบาท
กลายเป็นเกือบขาดทุน ทั้งๆที่ถือมานานกว่าสี่ปี
ได้แต่กินน้ำจิ้ม เป็นน้ำใบบัวบก แก้ช้ำใน

"คนไทยคำนวณหรือจะสู้พี่หรั่งลิขิต"

ฮ่าฮ่าฮ่า
แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 49 14:58:39
แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 49 13:44:48
แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 49 12:41:49

จากคุณ : endophine - [ 17 พ.ย. 49 12:32:53 ]