ความคิดเห็นที่ 1 Q: เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาตอนนี้ สาเหตุมาจากอะไร? A: เหตุผลง่ายๆ ก้อแค่ Demand มันมากกว่า Supply ก้อเท่านั้นเอง ในเมื่อตลาดต้องการเงินบาทมากกว่าดอลล่าร์ ก้อทำให้ราคาของเงินบาทสูงขึ้น แต่สิ่งที่เราควรจะมาทำความเข้าใจคือ ทำไมตลาดจึงต้องการเงินบาท มันเกิดปัญหาจากตัวไหนกันแน่ อุปสงค์หรืออุปทาน? บาทหรือดอลล่าร์? โดยสรุป สาเหตุหลักๆ มีอยู่ 4 ปัจจัยครับ          1. Global Imbalance          2.  การอ่อนตัวลงของดอลล่าร์สหรัฐ          3. การเพิ่มขึ้นของดุลบัญชีเดินสะพัด          4. การไหลข้าวของเงินทุนจากต่างประเทศ จากคุณ : m_ple - [ 12 ธ.ค. 49 08:50:58 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Q: Global Imbalance กับการอ่อนตัวของค่าเงินดอลล่าร์? A: ใช่ครับ สองสิ่งนี้ เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับสถานการณ์ตอนนี้ 1. Global Imbalance     ประเด็นนี้นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกคงดาดเดากันได้ไม่ยาก โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐที่ขาดดุลการค้าอย่างมหาศาลต่อประเทศคู่ค้าต่างๆ  อย่างเช่นเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึงไตรมาสละ 200,000 ล้านดอลล่าร์!! (GDP ไทยรายไตรมาสก้ออยู่ที่ประมาณเกือบๆ 200,000 ล้านเหมือนกัน แฮ่ๆ แต่เป็นบาทนะครับ หรือแสดงว่าสหรัฐขาดดุลมากกว่าประเทศไทยผลิตทั้งประเทศ 40 เท่า โอ้ว มายกู๊ดดดเนสสส) เอาง่ายๆ แค่กับจีนประเทศเดียว สหรัฐขาดดุลเดือนละเป็นหมื่นๆ ล้าน ไม่แปลกใจเลยที่ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดจะออกมาเป็นแบบนั้น     สหรัฐพยายามแก้ปัญหาด้วยการบีบให้จีนปล่อยให้ค่าเงินหยวนแข็งขึ้นไปบ้าง แต่ค่าเงินจีนขึ้นทีละนิดหนึ่ง ไม่มากพอที่จะ offset ผลต่างตรงนั้นได้ ถ้าเงินหยวนไม่แข็งขึ้น ก้อต้องทำให้ดอลล่าร์อ่อนลง ซึ่งนำไปสู่ 2. การอ่อนค่าลงของดอลล่าร์สหรัฐ     ผลจากข้อหนึ่งกลายมาเป็นข้อสองนี้ละครับ ผมไม่ทราบว่าดอลล่าร์ที่อ่อนค่าลงเนี่ย เป็นผล Market Drives หรือเป็นเพราะสหรัฐตั้งใจ จะด้วยเหตุใดก้อแล้วแต่ เงินสหรัฐก็ได้อ่อนค่าลงแล้วครับ    หลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันข้อนี้คือ ไม่ใช่แค่เงินบาทอย่างเดียวที่แข็งขึ้น เพราะค่าเงินทั่วโลกต่างเจอสถาณการณ์แบบนี้เช่นเดียวกันทั้งสิ้น Source: Bureau of Economic Analysis จากคุณ : m_ple - [ 12 ธ.ค. 49 08:51:21 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Q: เฮ้ แต่เงินบาทแข็งขึ้นมากกว่าชาวบ้านชาวช่องนะ (โดยเฉพาะในภูมิภาค)  A: จริงครับจริง       ค่าเงินบาทตอนนี้ไปเทียบกับตอนต้นปี 49 หรือช่วงครึ่งหลังปี 48 เงินบาทมันแข็งขึ้นเกินหน้าเกินตาสกุลอื่นๆ ขึ้นมามาก มาลองคำนวณกัน ค่าเงินบาท ณ วันที่ 20 เดือนกันยายน 2549 ซึ่งนับว่าเป็นค่าสูงสุดของปีนั้นด้วย อยู่ที่ 42.14 บาท/ดอลล่าร์ ส่วนค่าเงิน ณ วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 35.6 แสดงว่าเงินบาทไทยใช้เวลาแค่ปีเศษๆ แข็งค่าขึ้นมา 15.52% โอ้ววว Source:Bloomberg จากคุณ : m_ple - [ 12 ธ.ค. 49 08:51:53 ]

ความคิดเห็นที่ 4 Q: แล้วมันผิดปกติไหม? A: อย่างไรก็ดีนะครับ การดูว่าค่าเงินขึ้นมาเท่าโน้นเท่านี้เปอร์เซ็นต์นั้น มัน Subjective และเกิด Bias ได้ง่าย เพราะเราสามารถเลือกเวลาในการเปรียบเทียบได้    ทีนี้ สมมติว่าผมบอกว่า ลองย้อนกลับไปไกลกว่านั้นอีกนิด แค่อีกครึ่งปี ค่าเงินเมื่อต้นปี 2548 โดยใช้ ณ วันที่ 3 มกราคม 2548 ซึ่งอยู่ที่ 38.93 บาท/ดอลล่าร์ จะเห็นได้ว่า ค่าเงินเราแข็งขึ้นมาแค่ 8.55% เองนะครับ     เพราะอะไร?     ก้อเพราะว่าช่วงครึ่งปีแรก 2548 ค่าเงินบาทเองที่อ่อนตัวลงไป เนื่องจากตอนนั้นไทยนำเข้าสินค้าต่างประเทศเยอะ (ดูรูปประกอบในความเห็นถัดไปครับ)โดยเฉพาะหมวดพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้นำเข้าต้องขายบาทเพื่อไปซื้อดอลล่าร์มากขึ้น เพื่อเอาดอลล่าร์ไปซื้อน้ำมันที่ราคาแพงขึ้น    เพราะฉะนั้น สำหรับผม ผมกลับมองว่า บาทไม่ได้แข็งเกินคนอื่นอย่างมีนัยสำคัญครับ (ย้ำครับว่าแข็งกว่าคนอื่น แต่ไม่ได้มีนัยสำคัญ)    อย่างไรก้อดี (อีกรอบ) ที่ไทยแข็งกว่าชาวบ้าน คงเป็นเพราะ Internal Factor นั่นคือ เหตุผลข้อสามและสี่ครับ Source:Bloomberg จากคุณ : m_ple - [ 12 ธ.ค. 49 08:52:32 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Q: ปัจจัยอะไรของประเทศไทยที่ทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น? A: ที่เห็นชัดๆ นะครับคือ 3. การเพิ่มขึ้นของดุลบัญชีเดินสะพัด      จากตัวเลขจะเห็นว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา นั่นเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง เนื่องจากเวลาที่เราค้าขายได้ดุลการค้ามาเป็นเงินดอลล่าร์ เราก้อต้องการแลกดอลล่าร์นั้นเป็นเงินบาทเพื่อนำมาจับจ่ายใช้สอยใช่ไหมครับ ทีนี้ พอทุกๆคนได้ดอลล่าร์เพิ่มขึ้นเหมือนๆ กันหมด ก้อเลยทำให้ต้องมาแย่งซื้อบาทกันในตลาด ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น ปล.ขี้เกียจทำรูปใหม่ครับ เลยไป capture มาจากเวปไซต์ของ BOT (ความจริงทำแล้วรูปไม่สวยเท่าเค้า ฮา) แล้วลดรายละเอียดเอา ไม่งั้นมันจะใหญ่เกินจนโพสต์ไม่ติด ถ้าดูไม่ชัดรบกวนไปดูตาม link นะครับ Source: http://www.bot.or.th/bothomepage/databank/EconData/EconFinance/index06.htm จากคุณ : m_ple - [ 12 ธ.ค. 49 08:52:54 ]

ความคิดเห็นที่ 6 4. การไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ     อันนี้พี่ๆ ในห้องนี้คงทราบกันดี เวลาพูดถึงเงินทุนไหลเข้า เรามักจะดูในตลาดหลักทรัพย์ก่อนเสมอ เพราะเราเชื่อว่ามันเป็นตลาดที่ไหลเข้ามาได้ง่าย และบอกอะไรเราพอสมควร และเราจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ปีที่แล้ว จนกระทั่งปีนี้ตลาดหุ้นไทยมีเงินไหลเข้ามาเป็นบวกแทบจะทุกเดือนในอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างสูงอีกด้วย โดยเฉพาะปีนี้ จะมีขายสุทธิก้อแค่ช่วงเดือนพฤษภาและมิถุนานิดหน่อยเท่านั้น ลองเทียบกับปี 2004 จะเห็นภาพได้ชัดเจน เพราะทั้งปี 2004 ต่างชาติซื้อสุทธิแค่ 6 พันล้านบาทเท่านั้นเอง ในขณะปี 2005 ต่างชาติซื้อสุทธิเป็นประวัติการณ์ถึง 119 พันล้านบาท Source: Setsmart จากคุณ : m_ple - [ 12 ธ.ค. 49 08:53:28 ]

ความคิดเห็นที่ 7 การเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ด้วยเหตุผลสองข้อ ข้อแรก นำเข้ามาเพื่อเก็งกำไรค่าเงินทางอ้อม พูดง่ายๆ คือ เอาเงินมาพักไว้เฉยๆ ไม่ได้สนใจในกำไรในตัวหุ้นเองเท่าไรหรอก พอเงินบาทขึ้นมาในระดับที่ต้องการ ก้อขายหุ้นได้เงินบาท แล้วเอาเงินบาทแลกเป็นดอลล่าร์ กินกำไรส่วนต่างสบายแฮ ส่วนเหตุผลอีกข้อคือ ไหนๆ มาลงทุนแล้ว ก้อเลือกตลาดที่มันดูดีหน่อย และพอลองหันไปมองรอบๆ แล้ว ตลาดไทยมี P/E ratio ต่ำสุด เพราะฉะนั้น จับผลัดจับผลูขึ้นมา ได้กำไรจากหุ้นอีก แหม สองเด้งเลย เหตุผลเหล่านี้ละครับ ที่ทำให้ค่าเงินเราแข็งขึ้น Source: Set research จากคุณ : m_ple - [ 12 ธ.ค. 49 08:53:48 ]

ความคิดเห็นที่ 8 Q: แล้วแบงค์ชาติทำอะไรอยู่? A: ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายการเงินของแบงค์ชาติก่อนนะครับ นโยบายการเงินในโลกนี้แบ่งได้เป็นสองชนิดใหญ่ คือ 1) Exchange Rate Targeting คือนโยบายที่พยายามรักษาค่าเงินไว้ใน Rate ที่ต้องการ ซึ่งอาจจะผูกไว้กับค่าเงินสกุลหลัก หรือตะกร้าเงินก้อได้ครับ หรืออาจทำเป็น Currency Board ก้อได้ ซึ่งรูปแบบนี้ ประเทศไทยใช้เมื่อตอนก่อนเกิดวิกฤตการณ์การเงินในปี 2541 โดยการผูกค่าเงินไว้กับตระกร้าเงินสกุลต่างๆ ส่วนนโยบายการเงินอีกแบบหนึ่งคือ 2) Non Exchange Rate Targeting หรือนโยบายอื่นๆ ที่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายในการคงไว้ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยน อันนี้จะมีสองประเภทใหญ่ๆ คือ 2.1) Monetary Targeting คือนโยบายที่คงไว้ซึ่งฐานเงินในประเทศ ประเทศไทยใช้นโยบายนี้หลังวิกฤตการณ์การเงินในปี 2541 ซึ่งเป็นผลอันเนื่องมาจากไทยพยายามคง Exchage Rate ไว้ที่ ~ 25 อันนี้ถือเป็นข้อเสียใหญ่สุดของ Exchange Rate Targeting เพราะยากในการกำหนดว่าค่าเงินไหนคือระดับที่เหมาะสมจนไม่ก่อให้เกิด Trade Imbalance ซึ่งตอนนั้นไทยนำเข้าเยอะมาก เพราะเงินบาทแข็งเกินจริง จนสุดท้ายแบงค์ชาติไม่สามารถรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนได้อีกต่อไป เนื่องจากเงินทุนสำรองที่ใช้ในการแทรกแทรงหมดลง จนต้องขอรับความช่วยเหลือจาก International Monetary Fund (IMF) 2.2) Inflation Targeting หลังจากเปลี่ยนมาใช้ MT ได้สักพัก ทางแบงค์ชาติคิดว่า นโยบายเงินดังกล่าวมีประสิทธิภาพน้อย ทำให้ในเดือนพฤษภาคมปี 2543 แบงค์ชาติเปลี่ยนมาใช้ IT นี้เป็นนโยบายการเงินแทน MT เดิม โดยสรุปคือ การใช้นโยบายการเงินคือ ทำไงก้อได้ให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบ(Band)ที่กำหนดคืออยู่ระหว่าง 0 ถึง 3.5% โดยใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation)  เป็นตัวชี้วัด ซึ่งอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานก้อคือ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) โดยไม่นำสินค้า Commodity บางชนิด และสินค้าพลังงานเข้ามาคำนวณ เนื่องจากเห็นว่า สองตัวนี้อยู่เหนือการควบคุมของนโยบายการเงิน ส่วนเครื่องมือทางการเงินที่ใช้ในการส่งสัญญาณคือ อัตราดอกเบี้ย RP14 วัน ปัจจุบันแบงค์ชาติจะควบคุมอัตราเงินเฟ้อ เป็นสำคัญ (ย้ำตัวใหญ่ๆ เลยครับว่า เป็นสำคัญ) แปลไทยเป็นไทยคือ อัตราเงินเฟ้อต้องอยู่ใน Band ก่อน ตัวอื่นๆ (อัตราแลกเปลี่ยน ฐานเงิน บลา บลา บลา) ค่อยว่ากัน อย่างไรก็ดี แบงค์ชาติเชื่อว่า ถ้าเราสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้แล้ว อัตราแลกเปลี่ยนจะเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Factor) และจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนแท้จริง สรุปอีกครั้ง นโยบายการเงินของแบงค์ชาติจะดูอัตราเงินเฟ้อ เป็นสำคัญ (เป็นสำคัญๆๆ) และจะไม่ไปแทรกแทรงค่าเงินบาท ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกลตลาด จากคุณ : m_ple - [ 12 ธ.ค. 49 08:54:20 ]

ความคิดเห็นที่ 9 Q: แล้วทำไมแบงค์ชาติถึงไม่แทรกแทรงค่าเงินบาท? A: แบงค์ชาติแทรกแทรงค่าเงินเป็นปกติอยู่แล้วครับ แต่แทรกแทรงในความหมายของแบงค์ชาติคือ การทำให้ค่าเงินไม่แกว่งตัว (fluctuate) จนเกินไปในช่วงสั้นๆ จะก่อให้เกิดความผันผวนได้  กล่าวคือ การป้องกันไม่ให้ค่าเงินเป็น 35 บาทวันนี้ ขึ้นจาก 34 บาทเมื่อวาน และพรุ่งนี้จะเป็น 36 แต่จะพยายามทำให้ค่าเงินวันนี้เป็น 35 บาทขึ้นมาจาก 34.99 เมื่อวาน และคิดว่าพรุ่งนี้น่าจะอยู่ที่ 35.01พูดตามหลักสถิติก้อคือลด Standard Deviation หรือลดความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนนั่นเอง แต่คำว่าแทรกแทรงในความหมายของคนทั่วไปที่เรียกร้องอยู่ในขณะนี้คือ การทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงจาก ณ ปัจจุบันที่ 35.5 ให้กลายเป็น 40 บาท หรือเท่าไรก้อว่ากันไป นั่นล่ะ ทำไมแบงค์ชาติไม่ทำแบบนั้น นอกจากเหตุผลแบบกำปั้นทุบดินว่า ก้อเราไม่ได้ใช้ Exchange Rate Targeting แล้วนี่หว่า (ฮา) ก้อคงต้องตอบว่าเรามีบทเรียนกันมาแล้วนี่ครับ ว่าการแทรกแทรงค่าเงินที่ควรจะไปตามปัจจัยพื้นฐานแล้ว ผลลัพธ์เป็นอย่างไร เราเจ็บตัวกันมามากพอแล้วเมื่อตอนปี 41 และสิ่งนั้นพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่งว่า การแทรกแทรงค่าเงินไม่มีประสิทธิภาพพอ อีกทั้งยังก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างใหญ่หลวงด้วย เพราะต้นทุนในการทำมันน้อยๆ ซะเมื่อไร จากคุณ : m_ple - [ 12 ธ.ค. 49 08:54:37 ]

ความคิดเห็นที่ 10 Q: ถ้าแบงค์ชาติจะทำซะอย่าง ทำไมจะทำไม่ได้ จะปล่อยให้การส่งออกตายหรือไง อย่างลืมนะว่าเราพึ่งพิงการส่งออกเป็นหลัก ถ้าการส่งออกล่ม เศรษฐกิจเราล่มไปด้วยแน่ๆ? A:ใช่ครับ ถ้าแบงค์จะทำสักอย่าง ทำไมจะทำไม่ได้ เอางี้ เรามาลองเล่นเกมส์ภาษา (RPG: Role Playing Game) กันสักหน่อยดีไหมครับ ต้อนรับ PS3 (ฮา) สมมติว่าเราเป็นแบงค์ชาติ และเราจะทำให้ค่าเงินอ่อนเป็น 40 บาทล่ะ เราจะทำอย่างไรกัน เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ขอยกตัวอย่างเป็นแบบ Extreme Case นะครับ ค่าเงินที่แข็งตัวเพราะเงินบาทมันขาดตลาด มีแต่คนอยากถือ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ดอลล่าร์ในเมืองไทยมันเยอะมาก ไม่มีใครอยากถือ ถ้าเราจะทำให้มันอ่อนตัวลง เราทำได้สองแบบคือ เพิ่มเงินบาทในตลาด หรือลดดอลล่าร์ในตลาด จริงไหมครับ เอาละมาดูกันทีละอย่าง เพิ่มเงินบาทในตลาด ง่ายที่สุดคือ แบงค์ก้อพิมพ์เงินออกมาเยอะๆ ดิ  โอ้ว จริงด้วย ^^" แต่อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าแบงค์พิมพ์เงินออกมาเฉยๆ เงินที่มีมากขึ้น จะก่อให้เกิดเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยจะขึ้นราคาจาก 25 เป็น 30 และจะส่งผลกระทบต่อทุกคนบนประเทศนี้ แค่นึกภาพก้อสยองแล้วครับ และที่สำคัญจำได้ไหมเอ่ย ว่าเราใช้ IT เป็นนโยบายการเงิน ^^  อย่างที่บอก เป้าหมายแรกของแบงค์ชาติ คือการควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ใน Band ให้ได้ อย่างอื่นค่อยว่ากัน ว้า วิธีนี้ท่าทางจะใช้ไม่ได้แล้ว มาลองดูวิธีที่สองกันคือ ถ้าไม่พิมพ์เงินเพิ่ม ก้อต้องเอาเงินที่แบงค์ชาติมีอยู่ไปใส่ในตลาด พูดให้ง่ายก้อคือ ไปไล่ซื้อหลักทรัพย์ อาทิ พันธบัตรในตลาดเพื่อเพิ่ม supply ของเงินบาทในตลาด อันนั้นน่าจะเป็นไปได้หน่อย ปัญหาคือ ต้องซื้อมากขนาดไหนถึงจะพอ หรือซื้อไปเรื่อยๆ และการสร้างอุปสงค์หลอกๆ มาในตลาดจะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากน้อยขนาดไหน  วิธีการนี้มันเสี่ยงเกินไปในทางปฏิบัติ ที่สำคัญ ไม่มีใครกล้ายืนยันว่ามันจะได้ผล หรือได้คุ้มเสีย ถ้ามีคนรู้ว่าเราจะแทรกแทรงด้วยวิธีนี้ ทุกคนจะเข้ามาเก็งกำไรกันหมด ราคาสินทรัพย์ในตลาดจะพุ่งขึ้นอย่างมาก ปัญหาที่ตามมาคือปัญหาเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่จะสูงขึ้นครับ ลดดอลล่าร์ในตลาด วิธีนี้ดูน่าจะเป็นไปได้หน่อย คือการแบงค์ชาติไปไล่ซื้อเงินดอลล่าร์ในตลาด โอเช งั้นเราไปหาเงินกันก่อน เราก้อออกพันธบัตรหรืออะไรก้อได้ พอเรามีเงินบาทอยู่ในมือ เราก้อไปไล่ซื้อดอลล่าร์ เข้าท่าๆ แต่ปัญหาคือ (อีกแล้ว) ต้นทุนในการหาเงินบาทเพื่อไปไล่ซื้อดอลล่าร์ใครจะรับผิดชอบ แบงค์ชาติเอาอยู่หรือเปล่า ต้องซื้อดอลล่าร์ขนาดไหนเงินถึงจะอ่อนในระดับที่เราต้องการ แสนล้าน? แล้วต้นทุนในการทำอย่างนั้น คิดแค่ดอกเบี้ย 5% เท่ากับเท่าไร 5 พันล้าน คุ้มไหม ไหวเปล่า เช่นเคยครับ ถ้าทุกคนรู้ว่าแบงค์ชาติจะแทรกแทรง ทุกคนจะไปเก็งกำไรกันสนุกสนาน และต้นทุนจะไม่ใช่แค่ 5% แล้วทีนี้ แล้วถ้าเกิด เอาวะ ถ้า 5 พันล้านคุ้ม ตกลงเอา แล้วถ้าเกิดซื้อไปแล้ว เงินกลับไม่อ่อนลงไปตามที่คิด (เพราะดอลล่าร์ดั๊นอ่อนลงไปอีก) ทีนี้จะเอาไงดี เห็นไหมครับ ไม่ง่ายเลยกับการแทรกแทรงค่าเงินบาท ที่สำคัญคือต้นทุน กับการปกปิดไม่ให้คนอื่นๆ รู้ว่าเรากำลังจะแทรกแทรง ซึ่งข้อหลังนี้มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แค่เตรียมตัวจะทำ มันต้องทำอะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งคนทั่วๆไป โดยเฉพาะกองทุนเขี้ยวๆ เค้าอ่านออกอยู่แล้วว่าแบงค์กะลังจะทำ การเข้าไป Take positon ตรงกันข้ามเพื่อการเก็งกำไรเนี่ย หมูๆ เลย สุดท้ายแล้ว วิกฤตการณ์ค่าเงินบาทอย่างปี 41 อาจกลับมาอีกครั้งก้อได้ ใครจะไปรู้ หรือใครจะกล้ารับประกันว่ามันจะไม่กลับมา จากคุณ : m_ple - [ 12 ธ.ค. 49 08:55:19 ]

ความคิดเห็นที่ 11 Q: ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่ทำผ่านกรอบ IT อย่างที่บางคนแนะนำ A: อันนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากกระทู้ของคุณ (ขอโทษนะครับ ผมจำชื่อ จขกท ไม่ได้ และกระทู้โดนหลุมดำดูดไปแล้วแบบไม่ทราบสาเหตุ :l) ที่ห้องสีลมเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งคุณ... (ถ้าพี่เข้ามาโปรดแสดงตัวด้วยครับ ^^) เสนอว่า ทำไมเราไม่ลดดอกเบี้ย RP14 ลงทันที 1% เพื่อลดแรงดึงดูดไม่ให้เงินไหลเข้า จริงๆ หลายฝ่ายก็คิดนะครับ ต่อให้เราใช้ IT ก้อเถอะ เราน่าจะหาช่องเพื่อควบคุมค่าเงินบาทได้ แต่การลดดอกเบี้ยมันอาจส่งผลตรงกันข้ามหน่ะสิครับ เพราะมันอาจจะเป็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ก่อให้เกิดการลงทุนเพิ่มเติม การจับจ่ายใช้สอย และทำให้ต่างชาติมองเห็นช่องทางในการลงทุน ส่งผลให้เงินไหลเข้ามาอีกในท้ายที่สุดหน่ะสิครับ จากคุณ : m_ple - [ 12 ธ.ค. 49 08:55:35 ]

ความคิดเห็นที่ 12 Q: แล้วแบงค์ชาติ (ควร) จะทำอย่างไร? A: อันนี้ผมไม่กล้าเดาใจแบงค์ชาติหรอกครับ เอาเป็นว่าเค้าจะทำอย่างไรก้อปล่อยเค้าไป เรารอดูแล้ววิจารย์เสียงดังๆ ให้เค้าได้ยินดีกว่า    อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าวิธีที่ดีที่สุด คือการปล่อยให้เงินเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยพื้นฐาน ดีกว่าที่เราเข้าไปแทรกแทรง และที่สำคัญ ควรมีมาตรการป้องกันการเก็งกำไรค่าเงิน คือ ต้องพยายามทำให้ค่าเงินเปลี่ยนตามปัจจัยพื้นฐานเท่านั้น อย่าให้มีใครไปเก็งกำไรได้ โดยเฉพาะกองทุนภายนอก ซึ่งผมว่าทางแบงค์ชาติเค้าก้อคงคิดแนวนี้เหมือนกัน ดูจากมาตรการล่าสุดที่คุณธาริษาประกาศมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เรื่องห้าม Non-resident ซื้อขายตราสารหนี้ระยะสั้นแบบ Sell and Buy Back กับสถาบันการเงินไทย เป็นต้น จากคุณ : m_ple - [ 12 ธ.ค. 49 08:55:53 ]

ความคิดเห็นที่ 13 Q: ทิศทางค่าเงินบาทต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร A: อันนี้คำถามเศรษฐีเลยนะครับเนี่ย ^^” ถ้าใครรู้คงรวยไปแล้ว แต่ดูจากแนวโน้ม และภายใต้ Assumptions ปัจจุบัน คงต้องบอกว่า น่าจะแข็งขึ้นไปอีก เพราะปัจจัยสำคัญอยู่ที่เงินดอลล่าร์จะอ่อนตัวไปอีกมากน้อยขนาดไหน เพราะสัญญาณต่างๆ ของเศรษฐกิจสหรัฐดูไม่สวยเท่าไร รวมถึงตัวเลขแนวโน้มดุลบัญชีเดินสะพัด ก้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ       อีกอย่างคงต้องเดาใจประเทศยักษ์ใหญ่ต่างๆ อย่างจีน เพราะประเทศเหล่านี้ถือเงินดอลล่าร์ไว้อย่างมหาศาลเลยนะครับ การปล่อยให้เงินดอลล่าร์อ่อนลงไปเรื่อยๆ แบบนี้ ไม่ส่งผลดีต่อเงินสำรองของประเทศเหล่านั้นแน่ๆ        ให้เดาก้อคงน่าจะแกว่งตัวอยู่ที่ 35-37 ละครับ ในปีหน้านี้ และอาจต้องทำใจไว้ล่วงหน้านะครับ สำหรับผู้ส่งออกว่าเงินบาทจะอ่อนไปถึง 40-42 นั้น คงไม่ได้เห็นกันในระยะสั้นๆ แล้วละครับ T-T จากคุณ : m_ple - [ 12 ธ.ค. 49 08:56:13 ]

ความคิดเห็นที่ 15 Q: ถ้างั้นผู้ส่งออกไทย ควรปรับตัวอย่างไร A: จะโหดร้ายไปไหมครับ ถ้าจะบอกว่า ธุรกิจส่งออกเนี่ย ทุกคนก้อต้อง keep in mind ไว้อยู่แล้ว ว่าจะต้องเผชิญความเสี่ยงทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน และอยากให้ทุกท่านทำใจว่า ค่าเงินระดับ 40 บาทต่อดอลล่าร์คงจะไม่มีให้เห็นในระยะสั้นๆ อีกแล้ว เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราควรจะมาคิดกันดีกว่า ว่าเราจะช่วยตัวเองได้อย่างไร เพื่อนำพาธุรกิจให้อยู่รอดไปได้ในสถานการณ์ที่เงินหนึ่งดอลล่าร์แลกได้ 35 บาท ผมขอเสนอพอเป็นแนวทางดังนี้ครับ ระยะสั้น 1) การป้องกันความเสี่ยงทางอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging)     ธุรกิจรายใหญ่ๆ คงจะไม่มีปัญหาในการหาช่องทางในการ Hedging อย่างน้อยๆ ก้อสามารถไปทำ Forward กับสถาบันการเงิน แต่สำหรับรายเล็กๆ น่าเป็นห่วงเพราะตลาด Derivatives เมืองไทยยังไม่มีให้เล่นพวก Currency Futures หรือ Currency Options เสียด้วย เพราะฉะนั้นทางเลือกของรายย่อยก้อยิ่งน้อยลงไปอีก ซึ่งรายย่อยแต่ละรายมันก้อมี สภาพแวดล้อม (Circumstance) ไม่เหมือนกันอีก เพราะฉะนั้น คงยากที่จะเสนอการแก้ปัญหาแบบครอบจักรวาล (Universal Solution) อย่างไรก็ดี ขอยกตัวอย่างพอเป็นแนวทางอาทิ ถ้าธุรกิจของคุณเล็กเกินไปในการไปทำ Forward กับสถาบันการเงิน อาจจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มกัน และไปคุยกับธนาคารเป็นกลุ่ม หรืออาจจะลองปรึกษาสมาคมการค้าที่คุณเป็นสมาชิกอยู่ จะได้เพิ่มอำนาจการต่อรองด้วยครับ เผลอๆ ต้นทุนในการทำ Forward จะลดลงไปอีก  หรืออีกทางหนึ่ง อาจทำโดยการ hedging ด้วยตนเองอาทิ สมมติคุณมีออร์เดอร์แล้ว มีกระแสเงินดอลล่าร์ที่คาดว่าจะได้รับแล้วแน่นอน คุณก้อไปกู้เงินมาเป็นดอลล่าร์ แล้วไปแลกเป็นเงินบาทในวันนี้ คุณจะได้อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันนี้ พอคุณได้รับดอลล่าร์มาในอนาคต คุณก้อเอาไปคืนแบงค์ แต่แน่นอนครับ ดอกเบี้ยในการกู้ยืม คือต้นทุนในการ hedging ซึ่ง แต่ละรายก้อไม่เหมือนกัน ถ้าคุณมั่นใจว่า บาทจะแข็งกว่าดอกเบี้ย คุณก้อคุ้ม แต่ถ้าไม่แข็งไปกว่านั้น ก้อไม่คุ้ม อันนี้ก้อแล้วแต่ครับ ผมเข้าใจว่ามันอาจจะเป็นไปไม่ได้ (not feasible) ก้อแค่เสนอเป็นแนวๆ เฉยๆ 2) การ Quote ราคาสินค้าเป็นสกุลอื่นๆ นอกจากดอลล่าร์    อันนี้ น่าลองนะครับ ผู้ส่งออกบางราย ไม่ว่าค้าขายกะชาติใด ก้อจะ quote เป็นดอลล่าร์ดะไปหมด เมื่อก่อนเราทำแบบนี้เพราะเราคิดว่าดอลล่าร์มันเสถียรที่สุด แต่ปัจจุบันมันเปลี่ยนไปแล้ว เพราะฉะนั้น เราก้อควรจะเปลี่ยนตามบ้างสิครับ ลอง qoute เป็นสกุลเงินที่ค่อนข้างไปเปลี่ยนแปลงไปตามค่าเงินบาทดู พอดีผมไม่ได้ลองทำ test ดู correlation ของเค่าเงินสกุลต่างๆ กับไทยดู เลยไม่รู้ แต่พอเสนอเป็นแนวเท่านั้น เช่น ส่งออกไปญี่ปุ่น ก้อลอง qoute ราคาเป็นญี่ปุ่นดู หรือ ถ้าส่งออกไปสหรัฐและพอมีพาวเวอร์พอ ลองต่อรองว่าให้ quote สินค้าเป็นบาทดู แล้วผลักภาระความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนให้กับผู้นำเข้าชาวลุงแซมเอง อาจให้ส่วนลดกับเค้าเพื่อจูงใจ (ส่วนลดที่ว่านั้นก้อคือ ต้นทุนในการทำ hedging ของเราครับ) บางทีเค้าอาจจะสนครับ เพราะเครื่องมือในการ hedging ของเค้ามากกว่าของเราเยอะ และต้นทุนถูกกว่าด้วย ระยะยาว 1) เพิ่ม productivity     การทำกำไรให้เพิ่มขึ้นมีอยู่สองทาง คือ การเพิ่มยอดขาย หรือการลดต้นทุน ซึ่งเราควรทำทั้งสองอย่าง การเพิ่ม productivity ก้อคือการลดต้นทุนนั่นเอง ซึ่งต่อไปเวลาการเปิดการค้าเสรี เราต้องเจออะไรแบบนี้อยู่แล้วครับ เพราะฉะนั้น มาเริ่มกันตั้งแต่วันนี้เถอะ มาลอง analyse ธุรกิจตนเองอย่างจริงจัง ว่าส่วนไหนจะเพิ่ม productivity ได้บ้าง แล้วก้อเริ่มซะ ขอคำแนะนำจากผู้รู้ในธุรกิจเราก้อไม่เลวนะครับ ^^ 2) การมองหาตลาดใหม่ๆ กับการเพิ่ม value added ให้กับสินค้า      นั่นก้อเป็นการเพิ่มยอดขายนั่นเอง ลองคิดหาทางเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าตัวเองดู บางทีแค่เปลี่ยน packaging ก้อเวิร์คแล้วครับ และที่สำคัญควรมองหาตลาดใหม่ๆ ผมเห็นผู้ส่งออกบางรายมีลูกค้าแค่รายเดียวจากสหรัฐ ผมเคยถามว่าแล้วเค้าอยู่ได้ไง เค้าก้อตอบว่า เค้าอยู่แบบนี้มาเป็นปีปีแล้ว ยังอยู่ได้เลย แต่ผมกลับมองว่า โหมันเสี่ยงมากเลยนะ ถ้าลูกค้าเค้าเจ๊ง คุณเจ๊งตามเลยนะ คุณก้อบอกว่า แหมลูกค้าเค้าบริษัทออกใหญ่ไม่เจ๊งหรอก แฮ่ๆ พี่ไม่รู้จัก Enron กับ Worldcom ซะแว้ววว ^^" อย่าลืมครับ ลดการพึ่งพิงสหรัฐอเมริกา หรือถ้าเป็นหุ้นในปอดก้อคือ การ diversify นั่นเองครับ ความจริงมีมาตรการอื่นๆ แต่คนทำต้องเป็นภาครัฐครับ ซึ่งผมมองว่า ถ้าเรามัวแต่รอภาครัฐ เราคงตายก่อน ก้อเลยยกยอดอันนี้ไว้โอกาสหน้าแล้วกัน จากคุณ : m_ple - [ 12 ธ.ค. 49 08:57:22 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ยาวมากแล้วครับ (ไม่รู้ว่าจะมีใครตามอ่านหรือเปล่าด้วย ฮา) หวังว่าคนที่คลิกเข้ามาอ่านคงได้อะไรบ้างไม่มากก้อน้อยนะครับ ^^ จากคุณ : m_ple - [ 12 ธ.ค. 49 08:57:39 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เข้ามาอ่านครับ ได้ความรู้อีกแว้ว จากคุณ : นายโอ้นโต้น - [ 12 ธ.ค. 49 09:21:56 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เขียนอธิบายดีมากๆครับ ... เข้ามาชม จากคุณ : Arriba - [ 12 ธ.ค. 49 09:25:54 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณคุณ m_ple มากครับ อ่านแล้วเข้าใจมากขึ้นเยอะเลยครับ จากคุณ : thitiv - [ 12 ธ.ค. 49 09:26:11 ]

ความคิดเห็นที่ 21 แบงค์ชาติหากแทรกแซงมากไป จะมีเงินดอลล่าเป็นทุนสำรองเยอะมากเกินไป นั่นหมายถึงเงินบาทไปอยู่ในมือต่างชาติกันหมด ทำให้ควบคุมลำบาก ความสำคัญคือเงินบาทไปอยู่มือต่างชาติที่เป็นนักลงทุนหรือนักเก็งกำไร ??? ตรงนี้แหละที่ดูยาก คุณ m_ple แวะมาบ่ออยๆนะ เรื่องตลาดเงินผมว่ามันน่าติดตามไม่น้อยกว่าตลาดหุ้น จากคุณ : rockriverarms - [ 12 ธ.ค. 49 09:27:56 ]

ความคิดเห็นที่ 22 กระจ่างขึ้นเยอะทีเดียวเชียวครับ ขอบคุณครับ โหวตให้ๆ แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 49 09:46:57 จากคุณ : Rocket Fuel - [ 12 ธ.ค. 49 09:39:37 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณครับ ได้ความรู้เพิ่มขึ้นมากเลย อย่าตื่นตนกเกินเหตุนะครับ จากคุณ : pojta - [ 12 ธ.ค. 49 09:43:32 ]

ความคิดเห็นที่ 24 Vote จากคุณ : areewan - [ 12 ธ.ค. 49 09:45:50 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ...อืม จากคุณ : finding - [ 12 ธ.ค. 49 09:46:34 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เยี่ยมมาก ขอเสริมอีกนิด ที่เราไม่ต้องขึ้นค่าน้ำมันตอนนี้ทั้งที่น้ำมันดีดขึ้นมานิด ก็เพราะเรื่องนี้ด้วย ดังนั้นท่านที่ใช้น้ำมันอยู่โปรดรู้ด้วยว่า เพราะเรื่องค่าเงิน ซึ่งกรณีนี้ ทำให้ค่าครองชีพ และเงินเฟ้อไม่เพิ่มขึ้นมาก ในดีมีร้าย ในร้ายมีดี ตอนที่หลังฟองสบู่แตก ผู้ส่งออกตั้งตัวได้ ดร นิเวศ รวยขึ้นมากเพราะซื้อหุ้นส่งออกช่วงนั้นด้วย ผู้นำเข้า คนกู้นอก ตายสนิท ตอนนี้ก็กลับกันบ้าง เดี๋ยวโลกมันก็เข้าสู่สมดุลเอง แต่คงอีกพักใหญ่พอสมควร จากคุณ : ปิงฟ่า - [ 12 ธ.ค. 49 09:56:47 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ... ขอบคุณครับคุณ m_ple เป็นประโยชน์มากเลยครับ จากคุณ : roadtrip - [ 12 ธ.ค. 49 10:16:25 ]

ความคิดเห็นที่ 28 แบงค์ชาติมีแต่คนเก่งๆไม่ต้องกลัวหรอกครับ คราวที่แล้วที่เกิดวิกฤตค่าเงินบาทนั้นไม่ใช่ความผิดแบงค์ชาตินะครับที่ไปต่อสู้ค่าเงิยบาทผิดที่เอกชนนะทะลึ่งไปกู้เงินนอกเข้ามามากเอง แบะ แพะ ครับเอกชนไทย หากคราวนี้เกิดวิกฤตอีกรอบเอกชนก็อาจจะผิดอีกที่มั่วแต่กู้เงินในประเทศ5555555555 แต่แบงค์ชาติจะทำให้ค่าเงินอ่อนได้ไม่ ไม่รู้ครับแต่มาเลนี้ตรึ่งไว้ได้มันแปลกดีนะ เงินบาทอ่อนแบงค์ชาติก็ทำไรไม่ได้ บาทแข็งก็ทำอะไรไม่ถูก555555555555 คติพจน์ที่ดีสำหรับคุณ m_ple ช่วยบอกพรรคพวกที่นะ คนดีชอบแก้ไข คนไม่ดีชอบแก้ตัว จากคุณ : หนูเด็กดีค่ะ (หนูเด็กดีค่ะ) - [ 12 ธ.ค. 49 10:35:28 ]

ความคิดเห็นที่ 29 สมมติว่าลดอัตราดอกเบี้ยลงเร็วขึ้น จะช่วยลดให้ค่าเงินบาทอ่อนลงได้บ้างไหมคะ จากคุณ : areepun (areepun) - [ 12 ธ.ค. 49 10:36:14 ]

ความคิดเห็นที่ 30 การแก้ปัญหาตามตำราไม่ต่างจากเดินแก้ผ้ากลางฝูงชน คาดเดาได้และไม่ทันเกมส์   สุดท้ายแพ้แน่นอนเหมือนปี  40  ที่สู้ตามตำราเศรษฐศาสตร์    หารู้ไม่ว่าคู่ต่อสู้คือคนที่แต่งตำราให้ดอกเตอร์ไทยเรียน จากคุณ : boonpong - [ 12 ธ.ค. 49 10:44:54 ]

ความคิดเห็นที่ 31 อ่านยังไม่จบ แต่ขอดูดไปแบ่งเพื่อนๆก่อนนะครับ แหะๆ จากคุณ : clientuser - [ 12 ธ.ค. 49 11:08:59 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอพูดไรหน่อย ขอค้านความเห็นที่ 30 หน่อย สู้ตามตำราเศรษฐศาสตร์ มันไม่ออกมาควายๆ เหมือนปี 40 หรอก ปี 40 มันสู้ตามตำราแบบไทยๆ มันถึงได้ชิบหายวายป่วงกันแบบนั้น มีอย่างที่ไหน ส่งออกได้น้อยลง นำเข้ากระจุย ขาดดุลบัญชี ทะลึ่งใช้ค่าเงินเท่าเดิม ตำราชาติไหนเขียน ตำราไทยเขียนเองไง ส่วน ความคิดเห็นที่ 28 มีส่วนถูก คือ แบงก์ชาติสมัยนั้นมันสมควรโดนประนาม ไปเรียนเมืองนอกเมืองนามาขนาดนั้น แต่ไม่รู้เอาตำราเล่มไหนมาใช้ แต่รอบนี้ผมคิดว่า แบงก์ชาติทำดีแล้วนะ แต่คนที่เจ็บปวดต้องมีแน่ๆ บางทีมันก็หลีกเลี่ยงยากเพื่อทำในสิ่งที่ควรทำ สมัยก่อนวิกฤตรอบที่แล้ว ที่มันรุนแรง เพราะคนไทย ไม่ยอมที่จะเจ็บปวดเลย รัฐบาลไทยไม่มีรัฐบาลไหน กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ผลถึงออกมาแบบนั้น จากคุณ : ปิงฟ่า - [ 12 ธ.ค. 49 11:10:45 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณท่าน จขกท ครับ ...หลายๆ บทความมีคำถามมากมาย ...แต่ ควห ที่ 15 - ไม่มีคำถามครับ เพราะปัจจุบันจะไปทำอย่างนั้นคงไม่ได้ (ไม่เห็นด้วยงะ * ซึ่งความคิดเห็นผมผิดแน่ๆ เพราะมองไม่เหมือนคนอื่น) จากคุณ : สมาร์ท อินเวสเทอร์ - [ 12 ธ.ค. 49 11:20:15 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ครับคุณ mple ผมคือคนที่เสนอให้ลดดอกเบี้ย เพื่อลดปัจจัยที่ทำให้บาทแข็ง ที่คุณmple บอกว่า การลดดอกเบี้ยมันอาจส่งผลตรงกันข้ามหน่ะสิครับ เพราะมันอาจจะเป็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ก่อให้เกิดการลงทุนเพิ่มเติม การจับจ่ายใช้สอย และทำให้ต่างชาติมองเห็นช่องทางในการลงทุน ส่งผลให้เงินไหลเข้ามาอีกในท้ายที่สุดหน่ะสิครับ ผมเห็นด้วยครับมันเป็นที่จะเกิดในอีก 1 ปีข้างหน้าครับ การลงทุนที่แท้จริงมันใช้เวลาครับ แต่การลงทุนผ่านตลาดเงิน ตลาดทุนมันใช้เวลาไม่กี่วันครับ อย่าเอาปัจจัยที่มีผลในเวลาที่ต่างกันมาคิดครับ ปัญหาปัจจุบันมันเป็นปัญหาเงินบาทแข็งในระยะสั้นครับ ถ้ามันจะแข็งจากการลงทุนแท้จริงในอีก 1 ปีข้างหน้ามันไม่มีผลอะไรครับ การใช้นโยบายนอกจากคำนึงถึงผลของมันแล้ว ต้องคำนึงถึงเวลาที่จะเกิดผลนั้นด้วยครับ จากคุณ : ชีวิตคือชีวิต - [ 12 ธ.ค. 49 11:36:27 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ลงชื่อไว้ก่อน เดี๋ยวกลับมาอ่าน จากคุณ : platalay - [ 12 ธ.ค. 49 12:15:21 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณมากครับ สำหรับบทความดีๆ จากคุณ : *John* - [ 12 ธ.ค. 49 12:23:48 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อ่านจบแล้วขอร่วมแสดงความคิดเห็นครับ ถ้าเรามองค่าเงินบาทกับ US$  อย่างเดียวผมว่าภาพไม่ชัดครับ (ตรงนี้ผมว่าหยุดมองไปซักปีก็ได้ ปล่อยให้การอ่อนค่าของ US$ เป็นไปตามกลไกตลาด ตามธรรมชาติ มันจะหยุดตรงไหนก็ปล่อยมัน) แต่อยากให้มองค่าเงินบาท เทียบกับประเทศอื่นๆ เพราะปัญหาคือ ค่าเงินบาทของไทย แข็งค่า เร็วกว่าสกุลอื่นๆ แม้ประเทศเหล่านั้น เศรษฐกิจแข็งแกร่งกว่าไทย เพราะตรงนี้ กระทบขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยเต็มๆ (ไม่เกี่ยวกับกำไรขาดทุน) ใจผมจึงอยากให้เงินบาทอ่อนค่าลงมากกว่านี้อยู่ดีครับ แนวทางที่ผมเคยเสนอผ่านกระทู้ทั้ง 2 แนวทางก็ยังเชื่อว่าน่าจะทำได้ครับ 1. การลดดอกเบี้ย (โดยเฉพาะดอกเบี้ยระยะสั้น) ผมเชื่อว่าได้ผล+ มากกว่าผล - ครับ   1.1 ระยะสั้นเป็นการสะกัดการเก็งกำไร ยังไงเงินต่างประเทศก็ไม่ไหลออกในปี สองปีนี้แน่ แถมจะไหลเข้าเรื่อยๆ แล้วทำไมเราต้องไปจ่ายดอกเบี้ยสูงๆ ให้ด้วย ทำให้เม็ดเงินที่จะไหลเข้ามาเป็นเป็นเงินระยะยาวมากขึ้น ซึ่งอาจนำมาลงทุนในรูปแบบระยะยาวมากขึ้น แทนที่จะเป็นการลงทุนในตลาดพันธบัตร หรือหุ้นกู้ ซึ่งสามารถเข้าออกได้เร็ว ซึ่งน่าจะส่งผลให้ตลาดหุ้นขึ้นต่อเนื่องได้ไกลๆ  1.2 ช่วยเหลือภาคธุรกิจ ธุรกิจ SME ที่ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าขอเงินบาทคงพอจะรอดได้บ้าง หากภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง  1.3 เงินเฟ้อ ไม่เป็นปัญหา การแข็งค่าของเงินบาท รวมถึงการที่ราคาน้ำมันมีแน้วโน้มทรงตัว หรือลดลง ทำให้ระดับเงินเฟ้อไม่น่าจะเป็นปัญหาในปีที่จะถึงนี้  1.4 ไม่เชื่อว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ผิด เห็นด้วยกับความเห็นที่ 34 ครับ การลดดอกเบี้ยไม่ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจดีขึ้นในช่วงข้ามวันครับ ใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าการลงทุนที่แท้จริงจะเกิดขึ้น แต่ผลที่ได้รับในระยะสั้นก็คือการลดการเก็งกำไรได้ทันที 2. การ refinance เงินกู้ของรัฐ จากสกุลต่างประเทศ เป็นเงินบาท ผมว่าน่าจะทำได้ไม่ยาก และไม่เสียหายตรงไหน .............. เป้าหมายของแนวทางทั้งสอง ไม่ได้อยู่ที่ค่าเงินบาทเทียบกับ US$ ว่าจะต้องกลับไปที่ 38 - 40 บาทครับ เพราะถ้าตั้งเป้าอย่างนั้น แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ทำ แต่เป้าหมายต้องเป็นว่า ค่าเงินบาทของไทย ต้องไม่แข็งค่าเร็วไปกว่าประเทศคู่แข่ง ทั้งนี้เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยให้ได้ครับ แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 49 13:11:29 จากคุณ : *John* - [ 12 ธ.ค. 49 13:08:52 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นได้ดีมากครับ ไว้ขอผมศึกษาให้รู้มากกว่านี้ก่อนจะมาร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยครับ จากคุณ : jyoshiki - [ 12 ธ.ค. 49 13:19:59 A:61.7.150.17 X:61.7.150.17 TicketID:108909 ]

ความคิดเห็นที่ 39 แล้วถ้ารัฐเอาเงินส่วนเกินไปลงทุนล่ะครับ มันจะเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า จากคุณ : Nexus - [ 12 ธ.ค. 49 13:38:07 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ส่วนค่าเงินไทย ตอนนี้ขายดอลได้ราว 35.5 ต่อ 1 US$ จากการอ่อนค่าที่เริ่มแถว 25 บาท ไปที่ 55 = 30 บาท ได้ตีกลับแล้ว 65% จาก gap และห่างไกลจากจุดเกิดวิกฤติ  เพียงแค่ 42%   จึงเริ่มมีความเสี่ยงสูงมาก กองทุนต่างชาติกองเก่าๆ  เริ่มเทเงินเข้าซื้อหุ้นไทยตั้งแต่ปี 1998 และซื้อหนักมือเมื่อกลางปี 2003 ที่ค่าเงินบาทเฉลี่ย 45 บาท  ณ ตรงนี้ กำไรอัตราแลกเปลี่ยน 20% ได้กำไรในหุ้นหลักๆที่ถือไม่ต่ำกว่า 400%  ขายตรงไหนก็ได้กำไร   กองทุนที่จะเข้ามาเล่นระยะสั้น ตอนนี้คงหวังไม่ได้มากจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว นอกจากแค่หลบการอ่อนค่าของเงินดอล  และหวังเก็งกำไรจากหุ้น  ถ้าทำไม่ได้ก็พร้อมทิ้งทันที จากคุณ : prettypetite   - [ 6 ธ.ค. 49 13:37:03 ] นี่ก็ผ่านมา 6 วัน  ตามที่ดิฉันคาดไว้  อัตราแลกเปลี่ยน ซื้อเข้า และขายออก  ระหว่างบาทต่อยูเอส  ไม่เหลือให้ทำกำไรแล้ว   แต่บาทยังคงแข็งขึ้นเมื่อเทียบเงินสกุลอื่นๆ   ทั้งนี้ เป็นเพราะยูเอสดอลเริ่มแข็งขึ้น จากเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าที่คาดเล็กน้อย ดิฉันได้ลงตารางเปรียบเทียบ ใน 1 อาทิตย์ ให้ดูในกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I4930306/I4930306.html คนที่เล่นหุ้น และทำธุรกิจ ห้ามละเลยอัตราแลกเปลี่ยนเป็นอันขาด  ดิฉันใช้เป็นหลักในการทำงานตั้งแต่ปี 2517 จากคุณ : prettypetite - [ 12 ธ.ค. 49 13:52:18 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณครับ จากคุณ : สามวาฯ - [ 12 ธ.ค. 49 14:01:23 ]

ความคิดเห็นที่ 42 วิเคราะห์ดี อ่านเข้าใจง่าย น่าจะหาตังใช้โดยการเขียนบทความลงหนังสือนะเนี่ย ป.ล. แต่จะว่าไป คห.28 ก็น่าสนใจนะ ทำให้สงสัยว่าจริงๆแล้วแบงค์ชาติมีคนเก่งๆอยู่จริงหรือเปล่า แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 49 15:03:31 จากคุณ : ธีรภัทร์2 - [ 12 ธ.ค. 49 14:34:07 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณครับ ได้ความรู้มากๆ ครับ จากคุณ : ขอบฟ้า จันทรา ดาบ - [ 12 ธ.ค. 49 14:50:13 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณครับอ่านได้หมดแล้วครับ ช่วงนี้หุ้นว่างๆหิวความรู้ลักษณะนี้มากครับ ช่วงนี้รู้สึกว่าประเทศในเอเชียที่ค่าเงินแข็ง ไม่ว่าจะหาทางออกทางใหนพี่แกก็เล่นดักทาง ไว้หมดซะงั้น จากคุณ : psvp - [ 12 ธ.ค. 49 15:35:47 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ...  ขอบคุณมากครับ จากคุณ : Mr.Zack - [ 12 ธ.ค. 49 15:55:10 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ... ขอบคุณครับ จากคุณ : GABLIEL - [ 12 ธ.ค. 49 16:13:02 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณครับ จากคุณ : หนุมานมาเอง - [ 12 ธ.ค. 49 16:27:14 ]

ความคิดเห็นที่ 48 รู้แต่ว่า ธปท หน้าเขี๋ยวววววแล้วเนี่ย . . . ผมว่าทำได้อย่างเดียว คือ หยุดการเคลื่อนไหวของเงินที่เข้ามาเก็งกำไร และอนุญาตเฉพาะ FDI เท่านั้น จากคุณ : กระเพราหมู - [ 12 ธ.ค. 49 16:58:23 ]

ความคิดเห็นที่ 49 1 จึ๊ก จากคุณ : pinestand - [ 12 ธ.ค. 49 18:21:50 ]

ความคิดเห็นที่ 50 อ่านแล้วได้ความรู้ขึ้นเยอะเลยค่ะ สนุกดี ขอบคุณคุณm_pleมากมากนะคะ แล้วจะตามอ่านอีกนะคะ จากคุณ : jurabux (jurabux) - [ 12 ธ.ค. 49 19:44:06 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ขอบคุณครับสำหรับข้อเขียนดีๆ .... ส่วนตัวผมมองว่าการรักษาให้อัตราแลกเปลี่ยนอ่อนกว่าความเป็นจริงหน่อยน่าจะดีกว่า เหมือนที่จีนไม่ยอมให้หยวนแข็งขึ้นทั้งๆที่ถูกบีบต่างๆ เหมือนส่งเสริมส่งออก และลดการนำเข้า(ในส่วนที่ควบคุมได้)ไปในตัว และอีกอย่างคือ เห็นด้วยกับการที่ค่าเงินควรสะท้อนความเป็นจริง แต่เพียงระดับหนึ่งก็พอ ควรคำนึงถึงช่วงเวลาด้วย การเปลี่ยนแปลงในค่าเงินควรมีการเข้าแทรกแซงบ้าง ให้มีการเปลี่ยนไปแบบค่อยเป็นค่อยไป การขยับตัวร่วมสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ช่วงเวลาไม่กี่เดือนนี่ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกรายกลางรายเล็กมากเกินไป ระยะกลางจะทำให้ผู้ส่งออกเหล่านี้อยู่ไม่ได้ หรืออยู่ได้แต่เหมือนถอยหลังไปสองสามปีเพราะสภาพคล่องตึงตัว แข่งขันกับคนอื่นลำบาก จากคุณ : c-sar-salad - [ 12 ธ.ค. 49 19:49:51 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณอย่างยิ่ง .... จากคุณ : MONOion - [ 12 ธ.ค. 49 19:54:34 A:221.128.89.86 X: TicketID:040891 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : dolphin (Pattamas) - [ 12 ธ.ค. 49 19:58:09 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ จากคุณ : Axl - [ 12 ธ.ค. 49 20:32:51 A:192.168.0.114 X:203.156.44.191 TicketID:012999 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 12 ธ.ค. 49 20:52:14 ]

ความคิดเห็นที่ 56 มาอ่านเพิ่มความรู้ ขอบคุณทุกท่านครับ จากคุณ : domedare - [ 12 ธ.ค. 49 20:57:52 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ขอบคุณสำหรับข้อมูล ผมเห็นด้วยว่า การที่ประเทศเล็กๆอย่างเราจะเข้าไปแทรกแซงตลาดเงินโดยตรงเพื่อปรัยอัตราแลกเลี่ยนให้เหมาะสมคงเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย นอกจากพยายามให้มีมาตราการลดความสะดวก กับแรงจูงใจของการเก็งกำไรให้มากที่สุด แต่ขณะเดียวกันจาก บทความข้างต้นก้รู้สึกว่า ธปท เหมือนไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลยมากกว่า เพราะกลัวแต่จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ รวมทั้งลึกๆผมคิดว่า คนธปทกลัวว่าถ้าพลาด แล้วจะเดือดร้อนเหมือนคนในอดีตมากกว่าที่โดนกันมาแล้ว จึงอยู่เฉยๆดีกว่า ไม่เสี่ยงเปลืองตัว อย่างเรื่อง ข้ออ้าง RP14วัน ว่าถ้าลดแล้วกลัวว่าจะเป็นการส่งสัญญาณผิด ผมคิดว่า การลงทุนคงไม่มีใครเขาดูที่ตัวเลขเดียวโดดๆ และขณะเดียวกันเมื่อกังวลเรื่องเข้าใจผิด ธปทก็น่าจะมีมาตราการควบที่ป้องกันได้ออกมาพร้อมๆกัน (แต่อย่าถามผมว่าคืออะไร เพราะผมไม่รู้ ผมว่าไปตามหลักการเฉยๆ) แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 49 21:04:44 จากคุณ : ปุถุชนคนไทย - [ 12 ธ.ค. 49 21:03:26 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ขอคารวะ ครับ จากคุณ : purekung99 - [ 12 ธ.ค. 49 21:20:53 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เข้ามาดูครับ จริง ๆ เทรนการคาดการว่าดุลบัญชีเดินสะพัด ของเมกา จะติดลบ และมากขึ้น ๆ นั้นมันมีมานานแล้วหนิครับ แต่ฝูง อีแร้ง ยังไปแห่ทำกำไรจาก คอมมินิตี้กัน พอทำกำไรกันจนพุงกางแล้ว    จะให้เข้ามาตลาดหุ้นก็กระไร อยู่  ก็เลยเข้ามาตลาดเงิน  พอแร้งตัวนึง เข้าไปจิกเหยื่อ ตัวที่สองที่สามเห็น เลยพุ่งตาม ๆ กัน ตอนนี้ เลยเป็นเทรนชัดเจน ว่ามีการเก็งกำไรแล้ว อีแร้งพวกนี้ จากการดู ๆ แล้วผมว่า มันเล่นกัน เป็น ปี สองปีนะ และจ้องจะฟันกำไรเป็น 40-80% ด้วย ยังไง ค่าเงินไม่หยุดแค่นี้แน่  มันคงไหลไปเรื่อย ๆ  จนกว่า  เสื่อ ทีวี ออกข่าวทุกวัน  คนตามร้านน้ำชา พูดถึงเรื่อง ค่าเงิน  จากแต่ก่อนพูดเรื่อง ข่มขืน หรือ เรื่องหวย ประเทศเรา ที่ผมอ่านเจอ เห็นเขาว่า เงินเข้ามาเกือบ ล้านล้าน บาทแล้วหนิ แต่เข้ามาตลาดหุ้น ไม่ถึงแสนล้าน นี้ก็เป็นเพราะ บลูชิพเรา พื้นฐานมันรับได้แค่นี้ เงินก็เลยไม่เข้ามาในตลาด มาเก็งใน ตลาดพันธบัตรแทน ชาวหุ้นคงเครียด เพราะบาทแข็งแต่หุ้นไม่ขึ้น หุหุ เครียดเพราะยังไม่ทันทำกำไร หากเศรษฐกิจ พังไป จะกระโดด ออกจากตลาดทันหรือเปล่า ใช่ไหมครับ 5555 จากคุณ : Jeonathan (Jeonathan) - [ 12 ธ.ค. 49 22:27:17 ]

ความคิดเห็นที่ 60 แบงค์ชาติไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัวต้องชดใช้เงินตามคำสั่งศาลดังเช่นอคีตผู้ว่าการกำลังโดนอยู่ขณะนี้ พูดตรงๆดีกว่า  อย่าหาข้อแก้ตัวเลย จากคุณ : ศิล - [ 13 ธ.ค. 49 00:01:51 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ขอบคุณด้วยคนค่ะ คอมมินิตี้ จาก คคห 59 คืออะไรเหรอคะ จากคุณ : moomin - [ 13 ธ.ค. 49 02:09:26 ]

ความคิดเห็นที่ 62 น่าจะเปิดโอกาสให้คนไทยนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น จากคุณ : shine-rise - [ 13 ธ.ค. 49 02:28:03 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบคุณ ทุกๆ ท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ และขอบคุณทุกๆ ความเห็นที่ร่วมกันแสดง ที่สำคัญ ขอบคุณทุกๆ เสียงคำขอบคุณนะครับ ปลื้มทีเดียว _/l\_ และที่สำคัญที่สุด (สำหรับผม) ขอบคุณทุกๆ เสียงโต้แย้งนะครับ อย่างน้อยมันทำให้เราทุกคนมองภาพได้ไกล และกว้างขึ้น (ข้อดีของเวปบอร์ดมันอยู่ตรงนี้ละครับ ^^" ) อยากจะตอบทุกๆ ความเห็นเลยนะครับ แต่เกรงว่าวันนี้คงไม่ต้องทำงานพอดี (ฮา) คงต้องเลือกบางอันที่คิดว่า น่าสนใจ เหมาะสำหรับจุดขึ้นมาให้พวกพี่ๆ ทุกคนช่วยเสนอความคิดเห็นแล้วกันนะครับ ก่อนอื่น ขอ update ค่าเงินก่อน มันแข็งขึ้นไปอีกแล้วที่ 35.26 สูงสุดในรอบ 9 ปี (ก้อตั้งแต่เราเจ๊งคราวก่อนละครับ) อ่านจากไทยโพส เห็นผู้ช่วยผู้ว่าคนหนึ่งของแบงค์ชาติให้ความเห็นว่า ฟังดีดีนะครับ "ธปท.มีมาตรการดูแลเงินบาทอยู่ตลอด  ซึ่งก็มีหลายด้านทั้งด้านปริมาณ  ราคา  และการสกัดกั้น ส่วนจะมีมาตรการใหม่ๆ ออกมาเพิ่มเติมหรือไม่ ธปท.ต้องขอเวลาดูผลของมาตรการควบคุมการลงทุนในตราสารและพันธบัตรระยะสั้นของบัญชีผู้มีถิ่นฐานต่างประเทศอีกระยะหนึ่ง   เพราะหากมีออกมาบ่อยก็คงไม่เหมาะสม" source: http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&post_date=13/Dec/2549&news_id=134777&cat_id=600 แบงค์ชาติเวลาทำอะไรก้อตาม ผมว่าเค้าคงบอกตรงๆ ไม่ได้หรอก (ไม่งั้นโดนเก็งกำไรสะดือปลิ้นเลย) เค้าถึงใช้คำว่าส่งสัญญาณแทนไงครับ ^^ จากคำพูดนี้ ชี้ให้เห็นว่า เงินยังไหลเข้ามาไม่หยุด (บาทถึงแข็งขึ้นไปเรื่อยๆ) และเงินไหลเข้าไปยังตลาดพันธบัตรแทน (เมื่อวานตลาดหุ้นขายสุทธิ และวันก่อนๆ ถึงแม้ซื้อสุทธิ แต่ก้อไม่มีนัยสำคัญ ถึงขนาดทำให้บาทแข็ง) เมื่อวานมีคุณ Carpenters (ขออภัยที่เอ่ยนามนะครับ เพราะต้องการ refer ความเห็นดีดีจากคุณครับ) จากกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B4955806/B4955806.html ชี้ให้เห็นว่า เงินสำรองของแบงค์ชาติเพิ่มสูงขึ้นมามาก แสดงให้เห็นว่า แบงค์ชาติเข้าแทรกแทรงค่าเงินอย่างต่อเนื่อง แต่มั๊นก้อยังแข็ง แสดงว่างวดนี้หนักหนาสาหัสจริงๆ ทำให้ผมรู้สึกว่า การที่บอกว่า แบงค์ชาติไม่ยอมทำอะไร มันออกจะไม่ยุติธรรมต่อเค้านะครับ (อย่างไรก้อตาม มุมมองส่วนตัวครับ) อย่างที่ผมได้แสดงไว้ตามความเห็นข้างต้น แบงค์ชาติจะป้องกันไม่ให้ค่าเงินแข็งหรืออ่อนตัวเร็วเกินไป และป้องกันไม่ให้มีการเก็งกำไร ส่วนทิศทางจะเป็นไปทิศทางใด ก้อแล้วแต่ปัจจัยพื้นฐานครับ สำหรับทิศทางค่าเงิน เมื่อวันจันทร์ มีข่าวน่าสนใจมาจาก Reuters ที่ link นี้ครับ http://today.reuters.com/news/articlenews.aspx?type=businessNews&storyID=2006-12-11T180223Z_01_L11805890_RTRUKOC_0_US-USA-GREENSPAN.xml ป๋ากรีนบอกว่า เงินดอลล่าร์จะอ่อนลงไปอีก นั่นหมายความว่า คงยากที่เงินบาทจะต้านอยู่ (ถ้าความคิดป๋าแกเป็นจริงนะครับ) ตามข่าวกันให้ดีดีนะครับ สำหรับคนทำธุรกิจและคนเล่นหุ้นทุกๆ ท่าน เพราะมันส่งผลต่อเงินในกระเป๋าคุณๆ โดยตรง ^^ จากคุณ : m_ple - [ 13 ธ.ค. 49 09:11:48 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ได้ความรู้ขึ้นเยอะเลยค่ะ จากคุณ : warina (warina) - [ 13 ธ.ค. 49 10:16:53 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ขอบคุณผู้ตั้งกระทู้และผู้แสดงความคิดเห็นทุกท่านครับ ตรงใจมากๆ ในหลายกระทู้ ผมเชื่อว่าแบงค์ชาติทำงาน และเหตุการณ์ครั้งนี้มันหนักหนาสาหัสจริงๆ แต่มองว่าเราไม่วางมาตรการเชิงรุกหรือเชิงป้องกันไว้ตั้งแต่ต้น เหมือนคอมพิวเตอร์ที่ไม่ติดตั้ง antivirus พอไวรัสเข้ามาแล้วค่อยดักลบไปทีละตัว แก้ไปทีละอย่าง บางทีมันก็แก้ลำบากครับ การควบคุมดูแลนั้นต้องใช้วิสัยทัศน์ มองไปข้างหน้า ไม่ใช่อยู่แค่ปัจจุบัน ค่าเงินจะเป็นอย่างไรก็ได้ แต่อย่าเปลี่ยนแปลงเร็วหรือผันผวนจนเกินไป วันละ 20-30 สตางค์หรือสองอาทิตย์บาทนี่ไม่ไหวครับ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ตอนนี้เหลือแต่ทุกคนต้องระมัดระวังตัวเองทั้งในแง่ธุรกิจและส่วนตัว อย่าทำอะไรเกินตัว หาหนทางถอยไว้บ้าง ผมจะรออ่านความเห็นดีๆ ต่อครับ... จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 13 ธ.ค. 49 10:19:04 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ยอดเยี่ยมครับ ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ เขียนแล้วเข้าใจง่ายมากๆครับ จากคุณ : ขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง (jiiwii) - [ 13 ธ.ค. 49 10:22:36 ]

ความคิดเห็นที่ 67 อธิบายได้ยอดเยี่ยมมากๆ อ่านแล้วเข้าใจง่าย โหวตให้อีกหนึ่งเสียงครับ จากคุณ : endophine - [ 13 ธ.ค. 49 10:37:22 ]

ความคิดเห็นที่ 68 บอกตรงๆ ว่า ไม่ปลื้มกับผลงานในช่วงที่ผ่านมาเลย ภายใต้ระบบทุนนิยม ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ไม่ต้องให้ผู้คนเชื่อถือได้ถึงขั้น อลัน กรีนสแปน  แต่ต้องทำให้คนในประเทศไทยเชื่อมั่นได้ว่า ธปท สามารถนำ(lead)และจัดการได้อย่างเหมาะสม  ผมเชื่อว่า ธปทได้ทำงานอย่างหนักแล้ว แต่สิ่งที่จะสร้างความเชื่อถือได้มันคือผลงาน  ค่าเงินเพิ่งหลุด 36 THB/USD เมื่อ วันที่ 30 พย. ผ่านมา 10 กว่าวัน เมื่อวานหลุด 35.25 แล้ว  จะให้เราคิดว่าอย่างไรมาตรการที่ออกมาไม่ได้ผลหรือ? ออกมายืนยันสร้างความมั่นใจหน่อย  ว่าเราพอที่จะควบคุมได้ ยกกรณีตัวอย่าง ได้คุยกับผู้นำเข้ารายหนึ่ง เขาบอกว่า สถานการณ์แบบนี้ เขาคาดว่า บาทจะแข็งไปเรื่อยๆอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นก็พยายามสต๊อกของแค่พอสมควร   เพื่อนอีกรายอยาก เปลี่ยนคอมพิวเตอร์ใหม่ ไปเจอคนขายที่รู้จักกันก็ บอกว่า รอต้นปีได้ที่แรงกว่า ราคาอาจถูกกว่าด้วย อีกประเด็นหนึ่ง ในสถานการณ์เช่นนี้ มาตรการด้านการเงินอย่างเดียว อาจไม่แรงพอ  มาตรการด้านการคลัง ควรถูกนำมาใช้เสริม  มั่วแต่ฟื้นฝอยหาตะเข็บ หาตังค์ที่หล่นหาทั้งวัน ส่งออกจะแย่ เงินที่เข้ากระเป๋าจะลด ไม่แน่ใจว่า สนใจหรือปล่าว  ออกมาพูดชัดๆว่า รัฐบาลก็พยายามจะช่วยเหลือ จะหยุดเรื่องหวย หันมาเร่งทำงานร่วมกับธปท หาทางผลักดันมาตรการเสริมต่างๆ หนึ่ง สอง สาม สี่  และจะเร่งรัดงบประมาณให้มีการใช้ไวๆ โดยเฉพาะโครงการที่จำเป็นต้องลงทุน ที่ต้องนำเข้าของจากต่างประเทศ   อย่างนี้ อาจพอสร้างความเชื่อมั่นได้บ้าง จากคุณ : รอรับความกรุณา (พ่อน้องMAN) - [ 13 ธ.ค. 49 11:05:00 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณคุณ m_ple อีกครั้งสำหรับความเห็นเพิ่มเติมครับ ผมว่าพวกเราส่วนใหญ่เห็นตรงกันครับว่า สถานการ์ณครั้งนี้ยังไม่จบลงง่ายๆ สงครามครั้งนี้ยังคงยืดเยื้อต่อไป และมีแนวโน้มที่รุนแรงขึ้นได้ ปัญหาที่ทำให้ผม (และเชื่อว่าหลายๆ ท่าน) กังวลคือ แนวทางในการรับมือกับปัญหา ที่ดูเหมือนว่ามาตรการที่ใช้ ล้วนเป็นมาตรการที่มีผลระยะสั้น แทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะการ ทำ Swap ซึ่งเคยผิดพลาด พ่ายแพ้หมดรูปมาแล้ว และหากยังใช้เป็นมาตรการหลักในการตอบโต้ต่อไป จะทำให้เกิดการเสียหายมากกว่าครั้งก่อน การแก้ไขกฏระเบียบต่างๆ ผมมองว่าคงมีผลระยะสั้น พวก  hedge fund ต่างๆ คงใช้เวลาปรับตัว และหาทางโจมตีใหม่ได้ไม่นาน ที่ผมอยากเห็นก็คือ การส่งสัญญาณ เชิงนโยบาย เพื่อให้คนคิดโจมตีรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้เขาโจมตีได้ง่ายๆ พวกแร้งทึ้งจะได้ไปหาตลาดอื่นโจมตี แทนที่จะเป็นเงินบาท จากคุณ : *John* - [ 13 ธ.ค. 49 11:17:08 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ขอบคุณค่ะ กระจ่างขึ้นเยอะเลย จะกลับเอาไปทำความเข้าใจให้ชัดเจน กะให้เข้าสมองเลย เอาไปเตรียมสอบต้นเดือนหน้าค่ะ อธิบายเก่งเหมือนอาจารย์ที่สอนเลยค่ะ...เอ.. อ.ปลอมตัวมาเปล่าเนี่ย จากคุณ : คาคาชิ ซัง - [ 13 ธ.ค. 49 11:49:19 A:203.150.102.161 X: TicketID:130474 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ที่กระทบชาวหุ้นคือ  ตอนนี้ต่างชาติขายเพราะได้กำไรค่าเงินบาทดอลล่าห์ละ 2-3 บาท  ดังนั้น ค่าหุ้นจะต่ำลง จากคุณ : ศิล - [ 13 ธ.ค. 49 12:43:13 ]

ความคิดเห็นที่ 72 การที่ค่าเงินแข็ง ไม่ดี ค่าเงินอ่อนกว่าความเป็นจริงดี เช่น จีน ไง ตอนนี้ ก็น่าให้ ทุกคนสามารถซื้อดอลลาร์ ไว้ได้ เอาแบบที่ ญี่ปุ่น เคยทำ และ แบงค์ชาติก็พิมพ์ธนบัตรไทยเพิ่ม แจกให้คนไทย ทุกคนๆละ 1 ล้านบาท ให้นำไปซื้อดอลลาร์อย่างเดียว ห้ามซื้ออย่างอื่น ดูว่า ค่าเงินจะอ่อนลงมาทันทีไหม พอค่าเงินอ่อนก็ให้ ทุกคนไปแลก ดอลลาร์กับทางแบงค์ชาติได้ ตามใจที่อยากจะแลก แต่ต้องไม่แลกก่อนที่ค่าเงินจะอ่อนถึง 40 บาท ตอนนี้เงินอ่อนค่า ก็จะดี ไม่เห็นต้องคิดมากเลย  ยิ่งมีดอลลาร์มากๆยิ่งดี จากคุณ : phon77 - [ 13 ธ.ค. 49 13:45:31 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ได้ความรู้ดีครับ เข้าใจง่ายด้วย บอกตามตรงไม่ค่อยได้สนใจทางด้านนี้ แต่พอได้อ่าน ก็รู้สึกว่าน่าสนใจดีครับ นานๆ ที จะเห็นการวิเคราะห์โดยใช้เหตุผลกันจริงๆ ในห้องนี้ครับ จะติดตามอ่านต่อไปครับ อ่ะ โหวตให้ด้วย จากคุณ : เอ..ชีวิตมันขาดไรไปน๊า - [ 13 ธ.ค. 49 16:12:14 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ยังไงก็ช่าง ปีหน้ามีคนว่างงานเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 5 ล้าน แน่นอน ปล่อยไปตามกลไกการตลาด... จากคุณ : spa162 - [ 13 ธ.ค. 49 19:21:56 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ขอออกตัวก่อนว่าไม่ค่อยรู้เรื่องมากนัก เป็นวิศวกร แต่สนใจเรื่องแบบนี้ครับ มีความเห็นหน่อยครับ ถ้าผิดแล้วช่วยบอกด้วยครับ เรื่องดอกเบี้ย RP ถ้าลดแล้ว ในทางหนึ่งทำให้แรงจูงใจในการเข้ามาของต่างชาติลดลงก็จริง แต่ทำให้แรงจูงใจในการซื้อภายในประเทศสูงขึ้น เพราะอาจมีคนในประเทศที่กู้ตลาด RP แล้วไปปล่อยกู้ต่อในอัตราตลาดก็ได้ เหมือนกับสมัยก่อนที่ดอกเบี้ย RP ต่ำมากทำให้ธนาคารหนึ่ง ซื้อเงินในตลาด RP ไปปล่อยกู้ โดยไม่พยายามหาเงินฝาก แล้วทำกำไรตรงนั้น ผมจำได้ว่าสิ่งแรกที่หม่อมอุ๋ยทำหลังจากตำแหน่งคือ ขึ้นดอกเบี้ย RP จากคุณ : ผู้เฒ่าสายลม - [ 13 ธ.ค. 49 20:07:15 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ดิฉันอยากทราบว่า สัญญาณการเทขาย ของฝาหรั่ง จะมาแบบไหน ช่วยสะกิดๆ แรงๆ ด้วยเจ้าค่ะ จากคุณ : ป้าแก่ - [ 13 ธ.ค. 49 21:11:11 A:58.64.123.184 X: TicketID:129739 ]

ความคิดเห็นที่ 77 อ่อ ดิฉันว่า ฝาหรั่งมาทุบแน่ อยู่ที่เวลา อย่าประมาทนะเคอะ แต่ตอนนี้สัญญาณยังอ่อน อยู่ :-)เม่าน้อยๆ คงยังไม่รู้สึกตัว จากคุณ : ป้าแก่ - [ 13 ธ.ค. 49 21:19:05 A:58.64.123.184 X: TicketID:129739 ]

ความคิดเห็นที่ 78 กลัวว่าจะมีปัจจัยอื่น มาป่วน และรอทุบอย่างป้าแก่ว่าแหละครับ จากคุณ : IRQ5 - [ 14 ธ.ค. 49 11:20:52 A:202.91.23.1 X: TicketID:129004 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ชาวหุ้นกลัวมากที่สุดตอนนี้คืออีกนานแค่ใหนที่ต่างชาติคิดว่าเงินที่พักใว้ในหุ้นเมื่อเปลี่ยนเป็นเงินแล้วจะได้ผลตอบแทนที่พอใจ จากคุณ : Abarica - [ 14 ธ.ค. 49 12:41:51 ]

ความคิดเห็นที่ 80 นึกไปนึกมาไปอยู่ป่าดีกว่า สบายใจ วันๆไม่ต้องแคร์เงินจะขึ้นจะลง กรูจะจนลง หรือพลาดโอกาสตักตวง หรือกรูจะรวยขึ้นอีกเท่าไร วันๆมานั่ง time the market คอยจ้องว่ามันแห่ซื้อหรือขายทิ้งเมื่อไร ฟองสบู่มันจะแตกเมื่อไร ควรขายกองทุนนี้ดีไหม จะเข้าซื้อวันนี้ดีไหม เอ๊ะ หรือว่าพรุ่งนี้เกิดมันตก รอซื้อพรุ่งนี้ดีกว่า เอ๊ะ แต่ถ้ามันขึ้นก็พลาดโอกาส เอ๊ะ แต่ดูจากที่ผ่านมาเดือนเดียวมันกระชากขึ้นไป 15% แนวโน้มดอลล่าร์ลงต่ออีกนี่ เอ๊ะ หรือว่าเดี๋ยว ยุโรป จีน ญี่ปุ่น อเมริกา คงประชุมกันหาขอยุติเอง เราอาจคิดมากไป ฯลฯ ยิ่งรู้มาก ยิ่งทุกข์มาก จากคุณ : Nesbitt Burns - [ 14 ธ.ค. 49 15:40:33 A:125.24.11.51 X: TicketID:064373 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ขอบคุณที่เข้ามาเขียนบทความนี้ กระจ่างขึ้นเยอะเลย โอกาสหน้า ถ้าเข้ามาเขียนอีก จะตามไปอ่าน จากคุณ : oran_mango (oran_mango) - [ 14 ธ.ค. 49 22:56:34 ]

ความคิดเห็นที่ 82 คิดมากไปหน่อยแล้วจ้ะ Nesbitt Burns ก็อย่าไปลงทุนไรเยอะแยะ ยุบยิบ เอาแค่พองาม ดูแลทั่วถึง จากคุณ : ป้าแก่ - [ 14 ธ.ค. 49 23:51:47 A:58.64.108.82 X: TicketID:129739 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ยังอ่านไม่ครบทุก Comment รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้าง แต่ก็สนุกดีครับ เหมือนเคยได้ยินหรือได้อ่านมาจากซักที่ ว่าเราไม่น่าจะยึดติดไปว่าวิธีการว่าการผูกบาทกับดอลลาเป็นวิธีที่ไม่ดี เพราะไม่มีอะไรแน่นอน แต่ละวิธีก็จะมีข้อดีของตัวเอง มาถึงตอนนี้ถ้ายังจะเน้นส่งออก แต่ค่าเงินดันแข็งเร็วกว่าประเทศอื่นอย่างนี้ ก็ลองเป็นแบบตระกร้าเงินแบบเก่า ผูกกับดอลลาแบบจีนไปเลย พอเห็นแนวโน้มว่าชักไม่ดีแล้ว ก็ค่อยๆ ปรับเป็นแบบนี้ แบบนั้น หรือจะทำยังไงต่อก็ได้ อย่าคิดว่าวิธีไหน คือวิธีที่ถูก/ผิด หรือไม่เหมาะสมในทุกๆ กรณีน่ะครับ แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 49 09:22:07 จากคุณ : Calaglin - [ 15 ธ.ค. 49 09:17:45 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ขอบคุณที่เข้ามาเขียนบทความนี้ กระจ่างขึ้นเยอะเลย โอกาสหน้า ถ้าเข้ามาเขียนอีก จะตามไปอ่าน Vote!!!! จากคุณ : jasmin rice - [ 15 ธ.ค. 49 11:42:53 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ตอนนี้ดูเหมือนแบงค์ชาติกำลังเล่นบทเดิมแต่กลับด้านกันอยู่น่ะสิครับ คราวต้มยำกุ้งซื้อบาท คราวนี้มาซื้อดอลล่า ยิ่งผยุงซื้อดอลล่ากดบาทไว้เท่าไหร่ พวกเก็งกำไรก็ยิ่งแห่เป็นแร้งลงมาที่ไทยมากเท่านั้น เพราะแบงค์ชาติกำเงินลงมาเล่นซะเอง ยิ่งแข็งขืนเท่าไหร่ก็ยิ่งเปิดโอกาสให้กองทุนเก็งกำไรตาโตมากเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดบาทก็ต้องแข็งมากกว่านี้อยู่ดี ยิ่งพยุงเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าทางพวกนักเก็งกำไรมากเท่านั้น เพราะปิดประตูขาดทุนได้เลย! ประตูขาดทุนไม่มีเลย ใครๆได้เห็นก็ต้องแห่กันมารุมประเทศไทยทั้งนั้นละครับ เศรษฐกิจ การเมือง ไทยไม่ได้แข็งแกร่งดีเด่นอะไรกว่าชาวบ้านในแถบเดียวกันเลยถ้าเทียบกันแบบ head to head แถมยังมีความเสี่ยงมากๆทั้งด้านความไม่พอใจของประชาชนทางด้านเศรษฐกิจ ที่ไม่เดินหน้า ลามไปก่อให้เกิดปัญหาการเมืองตามมา เนื่องจากความที่เป็นรัฐบาลที่มีชนักติดหลังเรื่องที่มาของอำนาจ ซึ่งปัญหากำลังค่อยบ่มเพาะรอวันสะเก็ดแตกอยู่ ่ยังไงคราวนี้ก็มีดีหน่อยตรงที่ทุนสำรองมีเยอะตามที่ IMF เพิ่งออกมาบอก (งง เหมือนกันว่าทำไมก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือนมีแต่ผู้มีชื่อเสียงเวลานี้ตะโกนบอกรัฐบาลไทยถังแตก แต่เวลาผ่านมาไม่กี่เดือนดันบอกไทยมีทุนสำรองสูงแข็งแกร่งมาก?) สรุป ปีหน้าท่าทางจะมหาหินจริงๆครับ ไม่อยากให้ไทยเป็น case study ในหนังสือเศรษฐศาสตร์ฝรั่งอีกเลย... จากคุณ : พิษประจิม - [ 15 ธ.ค. 49 19:22:19 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ขอแตกประเด็นไปเรื่องเศรษฐกิจภาพรวมและการแก้ปัญหาค่าเงินบาทครับ จากคุณ : <เซ็นเซอร์> - [ 16 ธ.ค. 49 03:01:58 ]

ความคิดเห็นที่ 87 #85 คุณเข้าใจความแตกต่างระหว่างทุนสำรองกับเงินคงคลังหรือเปล่า? จากคุณ : Nesbitt Burns - [ 16 ธ.ค. 49 11:26:48 A:125.24.12.8 X: TicketID:064373 ]

ความคิดเห็นที่ 88 นี่คือสิ่งที่น่ากลัว Reverse Crisis นั่นคือศัพท์ที่มีขึ้นมาในหัวดิฉัน เหมือนกับที่หลายๆ ให้ความเห็นไว้ด้านบน สิ่งที่เกิดมันตรงข้ามกับครั้งที่แล้ว เงินไหลเข้า แทนที่จะไหลออก (รอให้ถึงเวลาไหลออกเถอะ..น่ากลัวกว่าหนที่แล้ว) ดอกเบี้ยลง แทนที่จะขึ้น อัตราการลงทุนลดลง ทั้งที่ดอกเบี้ยลด ผลกระทบที่น่าห่วงคือ ประเทศไทยพึ่งพิงการส่งออกในสองภาค คือภาคอุตสาหกรรม (อิเลคโทรนิคส์ เป็นหลัก) และภาคการเกษตร อย่าลืมว่าปีนี้น้ำท่วมพื้นที่เกษตรของไทยไปกว่า 20-30% (ขอให้ดูจากภาพถ่ายดาวเทียมนะคะ อย่าดูแค่ข่าว) นั่นแปลว่าสินค้าเกษตรส่งออกปี 2550 จะได้รับผลกระทบแน่นอนในด้านปริมาณ (พื้นที่เพาะปลูกเสียหาย) และราคา (ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น) ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมส่งออกก็จะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และคู่แข่งที่มีศักยภาพมีเพิ่มขึ้น (จีน เวียดนาม เจ้าเก่า และฟิลิปปินส์ฟื้นแล้ว) มาดูการลงทุนในโครงการ megaproject ต่างๆก็ยังไม่คลอด สาเหตุเพราะรัฐบาลไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (เจบิค ธนาคารโลก เอดีบี) ได้เพราะเขาไม่สนับสนุนรัฐบาลเผด็จการ นั่นแปลว่างบลงทุนของรัฐบาลจะต้องมาจากเงินได้ภาษีอากรกับการออกพันธบัตรในประเทศ  เรื่องรายได้ภาษีอากรนั้นในปี 2550 น่าจะยากเพราะสาเหตุจากเศรษฐกิจชะลอตัว กิจการก็จะทำกำไรได้น้อยลงหรือขาดทุน บวกกับขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่สรรพากรในการเก็บภาษีลดลง กลัวทำผิด กลัวประเมินผิด เลยอยู่เฉยๆดีกว่า (นี่เป็นเรื่องจริง ได้ยินมาเอง) การออกพันธบัตรรัฐบาลนั้น ก็ต้องรอดูไป ปีหน้าเขาว่า GDP จะอยู่ที่ 4-5% สวดมนต์ไว้แยะๆ น่าจะดี จากคุณ : Michy - [ 17 ธ.ค. 49 20:47:23 ]

ความคิดเห็นที่ 89 เงินบาทจะอ่อนก็แปลกแล้วครับ เราเริ่มได้ดุลการค้า ดุลบริการเราก็เกินดุลตลอดอยู่แล้ว เงินลงทุนทั้งทางตรงทางอ้อมและเงินโอนก็เข้ามา แต่คนไทยลงทุนข้างนอกไม่ได้ เหมือนน้ำไหลเข้าด้านเดียว ดอลล่าที่เหลือ แบ๊งชาติ์ก็ต้องมาไล่ซื้อเก็บไป จากคุณ : polac - [ 17 ธ.ค. 49 23:53:44 ]

ความคิดเห็นที่ 90 คนโง่ๆไม่รู้เรื่องหุ้นแบบผมมาอ่านก็เข้าใจขึ้นมาเป็นกองเลย ขอบคตุณมากครับสำหรับบทความดีๆ จากคุณ : กิด (Antonymer) - [ 19 ธ.ค. 49 14:47:23 ]

ความคิดเห็นที่ 91  ขอบคุณมากเลย   จากคุณ : corydoras - [ 19 ธ.ค. 49 16:42:47 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ในที่สุด แบงค์ชาติก็ทำงานซะที ตลาดหุ้นไทยวันนี้ถือเป็นประวัติการณ์ลดลงสุดๆเลย จากคุณ : dark45 - [ 19 ธ.ค. 49 17:17:18 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ไม่กล้าลดดอกเบี้ย เพราะเพิ่งขึ้นให้พวกบัตรเครดิตไป ปกป้องธ.กับสถาบันการเงิน แต่ไม่ปกป้องรายย่อยเลย :( ตลาดเสรี แต่เอาอำนาจมาแทรกแซง งี้ใครจะเชื่อมั่นครับ ทำไมไม่ลดดอกเบี้ย แล้วปล่อยให้เป็นกลไลตลาด ผลประโยชน์ใครครับ ไม่ยอมลดดอกเบี้ยเนี่ย ธ.กับสถาบันการเงินพวกท่านใช่หรือไม่ จากคุณ : HaHaHa - [ 19 ธ.ค. 49 19:01:08 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ถ้าออกมาตรการมาแล้ว เลือดสาด แบบนี้.. ธปท อยู่เฉย ๆ ดีกว่า.. แก่แล้ว ไม่มีปัญญาบริหารเงิน ๆ ทอง ๆ  ก็กลับไปเลี้ยงหลานเหอะ ยิ่งบริหารประเทศไป คนไทยก็ยิ่ง ป่วยหนัก จากคุณ : Green Turbo - [ 19 ธ.ค. 49 21:38:23 ]

ความคิดเห็นที่ 95 เยี่ยมมากค่ะ จากคุณ : sonia en bangkok - [ 19 ธ.ค. 49 21:51:19 ]

ความคิดเห็นที่ 96 กระทู้มีคุณภาพ ให้คะแนนเต็มสิบเลยค่ะ ^^ จากคุณ : -->+:+โชยุ&วาซาบิจัง+:+<-- - [ 19 ธ.ค. 49 22:14:46 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ได้ความรู้จริงๆครับ กระทู้นี้ จากคุณ : T-E-N-A - [ 19 ธ.ค. 49 22:24:47 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากนะครับ ผมได้ความรู้เยอะเลย ขออนุญาตนิดนึงนะคับ แทรกแทรง <= "แทรกแซง" ไม่ได้ติติงอะไร แต่ถือว่าช่วยๆ กันแล้วกันนะฮะ ^^ แก้ไขเมื่อ 19 ธ.ค. 49 23:50:27 จากคุณ : อนาคิน (Invincible_man) - [ 19 ธ.ค. 49 23:37:23 ]

ความคิดเห็นที่ 99 เข้ามาอ่านหลัง ธปธ ออกมาตราการบ้องตื้น ทำให้ฉิบ......หุ้นตก 100 กว่าจุดในวันเดียวกันมูลค่าตลาดหายไป 8 แสนล้าน ไม่มีใครทำได้ขนาดนี้ ผมเข้าใจว่ากระทู้คุณเป็นเหตุแน่ๆเลยครับ จากคุณ : เม่ามีชัย - [ 20 ธ.ค. 49 08:44:04 ]

ความคิดเห็นที่ 100 กระทู้คุณเป็นเหตุแน่ๆเลย  บอกว่าฝรั่งเอาเงินมารอในหุ้นทำให้บาทแข็งเนี่ยะ   เป็นไงมั่งล่ะ   ฝรั่งปลอมทั้งนั้นแหละ  โนมินีไม่รู้หรอกหัวดำปลอมเป็นหัวแดงหรือป่าว   10 เท่าครับ 10 เท่า ทำสิงคโปร์เจ๊งไป 7 หมื่นล้านโอนให้หน้าเหลี่ยม แต่พอขายแล้ว เรามาบอกว่างั้นงี้ เป็นของประเทศไทย ไม่ใช่ของเหลี่ยม ไอ้นั้นไม่ได้ ไอ้นี่ไม่ได้  หายไป 8 แสนล้าน เงินตูก้อหายไปในนั้นด้วย  ซวยจริงๆ จากคุณ : kookai (dmtm) - [ 20 ธ.ค. 49 08:54:49 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ถามจริง ๆ ตอนน้ ธ.ออมสินดูดเงิน ตั้งแต่ 50.- บาทขึ้นไปและให้ชิงโชครถ 3 คัน โดยให้ดอกเบ้ยเงินฝาก 4 บาทกว่า มันเกิดอะไรขึ้นมาอีก แล้วกองทุนหมู่บ้านจะทำอย่างไร ในเมื่อฝากสัจจะ ให้ดอกเบี้ยแค่ .75 บาท พวกก็จะถอนเงินฝากสัจจะจากกองทุนหมู่บ้านแล้วเอาเงินไปฝากธนาคารออมสินจริง หรือไม่ยอมให้กองทุน ฯ จ่ายดอกเบี้ยแค่ .75 แต่จะเอาเท่ากับ ธ.ออมสิน คือ 4 บาทกว่า วิธีที่บอกนี้หมายความรวมถึงกองทุนอื่น ๆ ด้วยเพราะโดนเหมือนกันหมด ผมว่าต่อไปกองทุนต้องเจ้งแน่นอน สมเจตนารมณ์ของรัฐบาลนี้ จากคุณ : ตะแบกริมกรุง (natdavooti) - [ 20 ธ.ค. 49 09:51:49 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ขอบคุณๆm_ple และหลายๆท่านในกระทู้นี้มากๆครับ กระทู้คุณภาพจริงๆ จากคุณ : หมาร่าหมาหรอด - [ 20 ธ.ค. 49 09:59:11 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ขอเอาไปเผยแพร่ให้น้อง ๆ ในที่ทำงานอ่านนะครับ จากคุณ : ฯดิ้วฯ - [ 20 ธ.ค. 49 10:14:49 ]

ความคิดเห็นที่ 104 เจ๋ง คะ ขอบคุณสำหรับบทความดีดี อ่านแล้วได้ความรู้มากขึ้นอีกเยอะเลยคะ จะรออ่านอีกนะคะ จากคุณ : krtty - [ 20 ธ.ค. 49 11:00:15 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ได้อ่านแล้ว รู้สึกว่าความโง่ลดลงไป 10 จุด ขอบคุณ จขกท. มากครับ จากคุณ : chsiri1893 - [ 20 ธ.ค. 49 11:06:45 ]

ความคิดเห็นที่ 106 จขกท เขียนได้ดี ทำให้รื้อฟื้นวิชาเศรษฐศาตร์ที่เรียนมาได้เยอะเลยครับ และเห็นด้วยกับ คห 34 จากคุณ : อภิอัครมหายาน - [ 20 ธ.ค. 49 13:30:52 ]

ความคิดเห็นที่ 107 เข้ามาศึกษาค่ะ จากคุณ : SFFC - [ 20 ธ.ค. 49 14:33:28 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ขอบคุณครับ จากคุณ : บังอรภิรมย์ - [ 20 ธ.ค. 49 18:37:08 ]

ความคิดเห็นที่ 109 1. บาทแข็งเพราะ เศษฐกิจของอเมริกากำลังมีปัญหา ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจเกิดฟองสบู่แตกได้ แต่ก็ยังไม่เกิด เมื่อทุกคนคิดเช่นนั้นจึงค่อยๆขายเงินดอลหรือสินทรัพย์ของอเมริกา แล้วทยอยไปลงทุนประเทศอื่นๆแทน เพื่อลดความเสี่ยง แต่ขนาดของสินทรัพย์มีเป็นจำนวนมาก จึงต้องกระจายไปทั่วโลก จึงทำให้ค่าเงินประเทศอื่นๆแข็งขึ้นจากการเข้ามาของเขา ซึ่งถ้าผ่านช่วงเวลาไปช่วงหนึ่ง เกิดฟองสบู่ไม่แตก เขาก็จะถอนกลับไป จากคุณ : เดา - [ 21 ธ.ค. 49 08:29:18 A:203.188.8.193 X: TicketID:128313 ]

ความคิดเห็นที่ 110 เข้ามาอ่านครับ    ความโง่ลดลงไปเยอะเลย ขอบคุณครับ จากคุณ : yut - [ 21 ธ.ค. 49 16:03:29 ]

ความคิดเห็นที่ 111 Thank you for informative data จากคุณ : Sam - [ 21 ธ.ค. 49 20:38:44 A:58.8.89.132 X: TicketID:134680 ]

ความคิดเห็นที่ 112 อ่า ขอแถมนิดนึงอ่ะครับ ที่จริงหากเงินบาทแข็งตัว เนี่ย ที่จิงก็ เป็นโอกาส ของผู้ประกอบการอยู่ นะครับ ในระยะยาว การเพิ่ม productivity อย่างหนึ่งคือการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ๆ การที่เงินบาทแข็งเนี่ยก็ ทำให้เราสามารถ import ได้ถูกลง ถ้าจะซื้อเครื่องจักรใหม่ๆ ก็คงต้องช่วงนี้ล่ะครับ จากคุณ : life su ck - [ 22 ธ.ค. 49 00:29:30 A:58.8.120.30 X: TicketID:134695 ]

ความคิดเห็นที่ 113 ตอนนี้บาทแข็งก็เพราะว่า.......ดอกเบี้ยของไทยอยู่ในระดับสูงต่างหาก ทำให้เงินตราต่างประเทศไหลเข้ามาฝากกินดอกสูงมาก โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น ที่ดอกเบี้ยของเรา สูงต่างกันถึง 5% ถ้าลดดอกเบี้ยลง เงินก็ไม่ไหลเข้ามา ความต้องการเงินบาทก็ไม่มี แล้วมันจะแข็งได้อย่างไร หัดดูสถานะการณ์ ปัจจุบันบ้าง ไปเกาะติดกับตำรา หรือ ได้ข้อมูลมาผิดๆ ก็เป็นอย่างนี้ จากคุณ : By Jupiter - [ 22 ธ.ค. 49 06:03:09 ]

ความคิดเห็นที่ 114 จากคุณ : samsam - [ วันสิ้นปี 22:28:57 ]

ความคิดเห็นที่ 115 ผมมาจากเฉลิมไทย สงสัยเรื่องพวกนี้เหมือนกัน อ่านแล้ว อยากร้องไห้ ประทับใจ จขกท. ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ จากคุณ : *omega* - [ 7 ม.ค. 50 12:33:51 ]