ความคิดเห็นที่ 1 Q: ก่อนอื่น ก่อนวันที่ 19 ธค มันเกิดอะไรขึ้น? A: หลังจากที่เคยได้พูดไว้ในกระทู้ที่แล้วนะครับ ว่าเงินบาทแข็งขึ้นมาเพราะปัจจัยพื้นฐานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแนวโน้มน่าจะแข็งขึ้นต่อไปเรื่อยๆ (ตราบใดที่เงินดอลล่าร์มีแนวโน้มอ่อนตัวลง) ซึ่งผมว่าคนอื่นๆ โดยเฉพาะกองทุนที่เข้ามาเก็งกำไร ก้อดูออกเช่นกัน ทำให้ช่วงนั้น (ปลายเดือนพศจิกายน จนถึง ต้นธันวาคม) มีเงินไหลเข้าเพื่อมาเก็งกำไรกันเป็นจำนวนมหาศาล บางอาทิตย์มากถึง 1 พันล้านดอลล่าร์ (จากคำพูดของผู้ว่าแบงค์ชาติ) ทำให้ค่าเงินไม่แกว่งตัว กลับแข็งขึ้นอย่างเดียว ซึ่งผิดปกติต่อธรรมชาติของค่าเงินในสถานการณ์ปกติ (คือค่าเงินที่ปกติควรจะมีขึ้นมีลงครับ ยิ่งขึ้นน้อย ลงน้อย ยิ่งมีเสถียรภาพ และความเสี่ยงก้อจะยิ่งน้อยลง แต่ค่าเงินไทยพี่แกเล่นแข็งขึ้นอีกท่าเดียว ไม่มีอ่อน) แบงค์ชาติเริ่มสังเกตถึงความผิดปกติของเงินที่ไหลเข้ามา เพราะมีเงินไหลเข้าสูงในตลาดหลักทรัพย์และตลาดตราสารหนี้ ซึ่งเจ้าตลาดตราสารหนี้นี้ละครับ ที่เป็นสัญญาณบ่งบอกให้รู้ถึงการเก็งกำไรค่าเงิน จนเป็นที่มาของมาตรการต่างๆ ที่แบงค์ชาติบังคับใช้ ตลาดทุนไม่เท่าไร แม้จำนวนเงินจะไหลเข้ามามากกว่าตลาดตราสารหนี้ แต่ตลาดตราสารหนี้ในไทยเป็น OTC (คือ ซื้อขายกันทางโทรศัพท์ เพราะฉะนั้นจะลำบากนิดหนึ่ง สำหรับแบงค์ชาติในการเก็บและตรวจสอบข้อมูล) ซะส่วนใหญ่ ทำให้ยากในการประเมินสถานการณ์ จนกระทั่งถึงจุดๆ หนึ่งแบงค์ชาติ รู้ว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:53:33 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Q: เค้าเก็งกำไรค่าเงินกันอย่างไร? A: ความจริงข้อนี้คิดว่าหลายๆ คนคงรู้อยู่แล้ว แต่พักนี้เห็นมีคนถามถึงเรื่องนี้เยอะ เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์เลยครับ ขออธิบายย่อๆ ดังนี้ครับ (ตัวอย่างเป็นแบบ Plain Vanilla นะครับ คือแบบซิมเปิ้ลๆ และเพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ จึงขอตัดประเด็นการคำนวณเรื่องค่าเงินตามระยะเวลา อัตราดอกเบี้ย เงินปันผล และ transaction cost ทิ้งไปนะครับ แต่ในชีวิตจริงจะลึกลับซับซ้อนกว่านี้มากมาย) เวลาที่ต่างชาติจะเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินเนี่ย หนึ่งในวิธีที่เป็นที่นิยมคือ การเข้ามาทำการซื้อขายหลักทรัพย์ อาทิ หุ้น (เน้นหุ้นที่แน่นอนไม่หวือหวา พวก blueship) หรือ ตราสารหนี้ (ตราสารหนี้ก้อคือพวกพันธบัตรต่างๆ อ่ะครับ ส่วนมากกองทุนต่างชาติที่เค้ามาเก็งกำไรมักจะทำสัญญากับสถาบันการเงินไทยชนิดว่า วันใดวันหนึ่งข้างหน้าจะมาขายคืนนะ หรือที่เค้าเรียกกันว่า sell & buy back (แนวๆ swap ละครับ)) หรือเอามาเปิดบัญชีเอาเงินมาทิ้งไว้เฉยๆ ก้อได้ครับ แต่ติดตรงที่กฏเกณฑ์ของแบงค์ชาติที่ห้ามไม่ให้ บุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-Resident: NR) หรือคนต่างชาตินั่นเอง มีเงินในบัญชีเกิน 300 ล้านบาท ซึ่งมันน้อยมากสำหรับการเข้ามาเพื่อเก็งกำไร เพราะฉะนั้น การมาเปิดบัญชีเฉยๆ เค้าเลยไม่นิยมกัน มันได้กำไรไม่คุ้ม สมมติวันนี้ คุณ Mr.Bonds ต้องการเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท โดยมั่นใจว่า เงินบาทจะแข็งขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า พี่แกก้อเข้ามาซื้อตราสารหนี้ (หรือหุ้น) จำนวน 1 ล้านบาท และกำหนดให้อัตราแลกเปลี่ยนณ วันนี้อยู่ที่ 40 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์ Mr.Bonds ต้องกำเงิน 25,000 ดอลล่าร์ เพื่อมาหาซื้อเงินบาท 1 ล้านบาทในตลาดเงิน แล้วเอาเงิน 1 ล้านบาทที่มี ไปซื้อพันธบัตร (หรือหุ้น) แล้วไปนั่งกินกาแฟ ดู casino royale อยู่กะบ้าน สบายใจเฉิบ สามเดือนผ่านไป Mr.Bonds ก้อกลับมาดูอีกที อ้าว เงินบาทแข็งขึ้นไปแล้วเป็น 35 บาทต่อดอลล่าร์ เฮียบอนด์ก้อเลยขายพันธบัตรทิ้ง ได้เงินบาทกลับมา 1 ล้านบาท (นี่ขนาดไม่นับดอกเบี้ย หรือเงินปันผลนะเนี่ย ถ้าเป็นของจริงจะได้ดอกเบี้ย (หรือเงินปันผล) อีกนิดหน่อยครับ สมมติว่า ดอกเบี้ย 5% ก้อจะได้ค่าดอกเบี้ยประมาณ [5% x 3/12 x 1ล้าน] แต่เอาเถอะครับ จะได้ดูง่ายๆ เอาพวกนี้ทิ้งไปละกัน ^^) แล้วเอาเงินบาทมาซื้อดอลล่าร์ในตลาดเงิน ได้ดอลล่าร์มา 28,571 เห็นมะ กำไรเห็นๆ 3,571 แหม เงินนี่มันหาง่ายดีจัง ^^ ชาวนาบ้านเราปลูกข้าวหลังคดหลังแข็งแทบตาย ยังไม่ได้เงินมากขนาดนี้ แล้วเราจะปล่อยให้ต่างชาติมาขนกำไรเก็บเงินกลับบ้านง่ายๆ แบบนี้หรือครับ น่าเกลียดเกินไปหน่อยมั้ง เพราะมีคนแบบนี้อยู่เต็มตลาดไง และมันไม่ได้เข้ามาแค่ 25,000 ดอลล่าร์นะครับ อย่างที่บอก บางสัปดาห์มีถึงเกือบ 1 พันล้านดอลล่าร์ หรือ 35,000 ล้านบาท o_O" เงินจำนวนนี้ซื้อชินคอร์ปจากพี่ทักกี้ได้ครึ่งตัวเลยนะครับเนี่ย ถ้าคิดหยาบๆ ว่าเงินไหลเข้ามาเก็งกำไร เฉลี่ยสัปดาห์ละ 500 ล้านดอลล่าร์ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน จนถึงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนธันวาคม จะมีเงินทั้งหมด 3,000 ล้านดอลล่าร์ ตอนนั้นค่าเงินอยู่ที่ 37 แล้วถ้าเค้าขายทำกำไรตอนที่แบงค์ชาติออกมาตรการ ซึ่งค่าเงินอยู่ที่เกือบๆ 35  เค้าฟันกำไรไปแล้วนิ่มๆ ดอลล่าร์ละ 2 บาท นั่นคือ 6,000 ล้านบาท เป็นไงครับ แสบดีไหม พูดถึงตรงนี้คิดถึงกระทู้แนะนำห้องไร้สังกัด (แนะนำว่าควรอ่านนะครับ) ที่ยายคนหนึ่งอายุ 81 แถวโคราชยังต้องมาขายฟืนแลกกับเงินทีละบาท ในขณะคนที่อยู่อีกฝากหนึ่งของโลก หาเงินได้ง่ายๆ แบบนี้ โลกเรานี้ ช่างไม่ยุติธรรมเลยเนอะ T-T จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:53:47 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Q: แล้วแบงค์ชาติไม่ทำไรเลยหรือ? A:แบงค์ชาติเริ่มต้นโดยการแทรกแซง (หลงใช้คำว่า แทรกแทรงมาตั้งนาน ขอบคุณคุณ Invincible_man ด้วยนะครับ ^^ ) โดยการไปไล่ซื้อเงินดอลล่าร์เพื่อไม่ให้เงินบาทแข็งขึ้นเร็วเกินไป โดยจะเห็นได้ว่า เงินสำรองที่เป็นสกุลดอลล่าร์นั้น เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงปีนี้ อย่างที่เคยได้พูดไว้นะครับ การแทรกแซงค่าเงิน ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก้อตาม ก่อให้เกิดต้นทุนในการทำทั้งนั้นละครับ และคงไม่แปลกใจกับการออกมายอมรับของแบงค์ชาติว่า ขาดทุนจากการแทรกแซงค่าเงินเป็นจำนวนก้อมากอยู่ครับ ซึ่งปกติ ผมไม่ได้ติดใจอะไร การเข้าแทรกแซงค่าเงินต้องขาดทุนด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าประเทศใดๆ (แม้กระทั่งจีน) แต่ถ้าแทรกแซงแล้วผลลัพธ์ที่ได้มันคุ้มกับต้นทุนที่เสียไป ประเทศไหนก้อทำครับ จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:54:10 ]

ความคิดเห็นที่ 4 Q:แทรกแซงอย่างเดียว มันจะเอาอยู่เร้อ? แล้วแบงค์ชาติทำไงต่อ? A: แบงค์ชาติคงรู้ล่ะครับ ว่าแค่แทรกแซงมันเอาไม่อยู่ ถ้ายังจำกันได้ ก่อนหน้ามาตรการ 18 ธค ทางแบงค์ชาติได้ออกมาตรการป้องกันการเก็งกำไรมาแล้วหนึ่งอย่างหนึ่ง คือ เมื่อวันที่ 4 ธค ทางแบงค์ชาติประกาศขอความร่วมมือสถาบันการเงินไทย ไม่ให้ ทำธุรกรรมการเงินระยะสั้นกับ NR   http://www.bot.or.th/bothomepage/General/PressReleasesAndSpeeches/PressReleases/News2549/Thai/n4849t.htm นั่นละแบงค์ชาติเลยบอกสถาบันการเงินไทยว่า ถ้าต่างชาติมาขอทำธุรกรรมแนวๆ นี้ กรุณาอย่าไปทำด้วยนะครับ คุณแม่ขอร้องงงง (แกมบังคับ) ความจริงมาตรการนี้ ถือว่าแรงมากๆ นะครับ ชนิดแทบจะปิดหนทางทำมาหากินของพวกเก็งกำไรไปเลย แต่ไปโดนที่ตลาดตราสารหนี้เป็นหลัก ซึ่งคนเล่นยังแคบ เลยไม่ค่อยเป็นข่าว หรือส่งผลทางจิตวิทยาเท่าไร จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:54:39 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Q: ว่าแต่ตลาดตราสารหนี้มีดีอะไร ทำไมเงินจึงไหลเข้ามาอ่ะ? A: สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจว่าทำไมเงินถึงไหลเข้ามาในตลาดตราสารหนี้คือ ถ้ามาตลาดตราสารหนี้ มีลุ้น 3 เด้ง แต่ถ้าไปตลาดทุน ได้ลุ้นแค่ 2 เด้งเท่านั้น ถ้าคุณเป็นต่างชาติ แล้วไปซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรค่าเงิน คุณมีโอกาสที่จะได้กำไรจาก ราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น (Capital Gain) เงินปันผล และส่วนต่างจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่ถ้าคุณไปซื้อตลาดตราสารหนี้ คุณจะได้แน่ๆ คือ ราคาพันธบัตรที่เพิ่มสูงขึ้น (Capital Gain) ดอกเบี้ย และส่วนต่างจากอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้คุณยังมีลุ้นกับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (หรือ กนง. เค้าเป็นใคร รออ่านได้ใน คห ถัดๆ ไปคับ) อีกในวันที่ 13 ธค อีก เหมือนลุ้นหวยเลย ซึ่งวันนั้นเค้าจะประชุมกันว่า จะลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ ถ้าเค้าประกาศลดอัตราดอกเบี้ย จะทำให้ราคาตราสารหนี้สูงขึ้น ถ้าเค้าไม่ลด คุณก้อไม่ได้ไม่เสีย เห็นมะ มีแต่เจ๊ากะเจี๊ยะ ไม่มีเจ๊ง คนถึงเอาโว้ยมาซื้อพันธบัตรกันดีกว่า อย่างกะลุ้นหวย แฮ่ๆ แต่เสียใจที่ กนง ตัดสินใจไม่ลดอัตราดอกเบี้ย (เผื่อคนไม่ได้เรียน Finance ครับ คือดอกเบี้ยที่ได้จากพันธบัตรเนี่ย จะได้ตามที่เขียนไว้ในหน้าตั๋ว ซึ่งตายตัวตลอดอายุสัญญา (ส่วนมากนะครับ มันก้อใช่ละ พันธบัตรบางชนิดจ่ายดอกเบี้ยไม่แน่นอนหรือ Floating rate) สมมติว่าดอกเบี้ยของพันธบัตร A ได้ดอกเบี้ย 5% ตลอดอายุ ส่วนดอกเบี้ยในตลาดตอนนี้ก้อ 5% เช่นกัน ถ้าสมมติว่าทั้งคู่ความเสี่ยงเท่ากัน คุณจะเอาเงินไปซื้อหรือฝากที่ไหนก้อมีค่าเท่ากัน แต่ถ้า กนง ประกาศลดดอกเบี้ย ทำให้ดอกเบี้ยในตลาดเหลือ 4% คนก้อจะไปซื้อพันธบัตรดีกว่าใช่ไหมครับ ได้ดอกดีกว่า ทุกคนก้อจะคิดแบบนี้เหมือนกันหมด ทำให้ราคาพันธบัตรแพงขึ้น ถ้าคุณซื้อตอนที่ดอกเบี้ยในตลาดเป็น 5% แล้วมาขายตอนดอกเบี้ยในตลาดเป็น 4% คุณจะได้กำไรจากราคาพันธบัตรที่เพิ่มสูงขึ้น หรือที่เค้าเรียกว่า Capital Gain นั่นเองครับ อนึ่งตัวอย่างนี้ตัดเรื่องค่าเงินตามเวลาทิ้งไปนะครับ เพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจ ;p เพราะในชีวิตจริง เค้าต้องคิดเรื่องเวลาด้วยในการ price ราคาพันธบัตร ซึ่งซับซ้อนๆ ) จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:54:56 ]

ความคิดเห็นที่ 6 Q: แล้วได้ผลป่ะ? A: ถ้าได้ผล ฝันร้ายวันที่ 19 คงไม่เกิดขึ้นหรอกครับ เพราะกองทุนเขี้ยวๆ หน่ะ มีวิธีซิกแซกร้อยแปดพันเก้า เข้าช่องนี้ไม่ได้ก้อไปช่องอื่น ตลาดตราสารหนี้ไม่ได้ ก้อเข้ามาผ่านการกู้ยืมก้อได้ สถาบันการเงินไม่เล่นด้วยใช่ไหม ก้อด้าย ไปหาเอกชน แล้วแกล้งบอกมาลงทุน แล้วมาปล่อยกู้ให้ธุรกิจไทย ดอกเบี้ยต่ำๆ กว่าท้องตลาด ในระยะสั้นๆ ใครมั่งไม่เอาครับ เอกชนเอาเงินไปใช้เล่นๆ หรือเอาไปลงทุนต่อ กิน spread กองทุนได้กำไรจากค่าเงิน พร้อมค่าดอกเบี้ยเล็กน้อยๆ นี่แค่วิธีเบๆ นะครับ วิธีสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนกว่านี้มีอีกเพียบ  ^^" สุดท้าย มาตรการ 4 ธค ไม่ต่างอะไรกะสั่งน้ำมูก ผ่านมาก้อผ่านไป เรียกได้ว่า แทบจะไม่มีผลใดๆ ต่อการเก็งกำไรเลย แค่ทำให้การเก็งกำไรมันยากขึ้นอีกนิดเท่านั้นเอง แต่มันได้ส่งสัญญาณให้กับกองทุนต่างชาติเตรียมตัว ว่าแบงค์ชาติเริ่มขยับแล้ว จับตาดูให้ดี ถ้าเกิดไรขึ้นมา จะได้เตรียมตัวถอนเงิน (เพราะตอนนั้น กะลัง let profit run อยู่ ฮา) โดยเฉพาะการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 13 ธค ที่กำลังจะถึง ถึงขนาดมีคนพูดกันว่า ถ้า กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง จะทำให้ความน่าดึงดูดในการลงทุนของประเทศไทยลดลง (รวมถึงการเก็งกำไรด้วย) จนทำให้ต่างชาติเตรียมตัวปล่อยของ จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:55:11 ]

ความคิดเห็นที่ 7 Q: เดี๋ยวครับพี่ คณะกรรมการนโยบายการเงินคืออะไรอ่ะ A: ผมรู้ว่า หลายท่านคงพอทราบๆ แล้วล่ะ แต่เผื่อๆ คนที่ยังไม่รู้นะครับ ส่วนคนที่รู้แล้ว คห.นี้ทำคุณเบื่อแหง๋ๆ เจอกัน คห.ถัดไปเลยครับ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เป็นหนึ่งในคณะกรรมการหลักของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งรับผิดชอบด้านการกำหนดทิศทางของนโยบายการเงิน  หรือชี้ให้ชัดก้อคือกำหนดว่าจะขึ้น จะคง หรือจะลด อัตราดอกเบี้ยนโยบายนั่นเองครับ กนง ประกอบด้วย 1. ผู้ว่าการธปท.                                            ประธาน 2. รองผู้ว่าการ (เสถียรภาพการเงิน)                  รองประธาน 3. รองผู้ว่าการ (เสถียรภาพสถาบันการเงิน)            กรรมการ 4. นายอรัญ ธรรมโน                                            กรรมการ 5. นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช                                   กรรมการ 6. นายอำพน กิตติอำพน                                        กรรมการ 7. นายการุณ กิตติสถาพร                                      กรรมการ กนง จะประชุมกันทุกๆ 6 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่แบงค์ชาติจะเตรียมข้อมูลทุกๆ อย่างไว้ให้ พร้อมทั้งประมาณการเศรษฐกิจ โมเดล ทางเลือก คำแนะนำ ข้อเสนอแนะ บลาๆๆ แล้วให้ กนง. ตัดสินใจว่า จะคง จะเพิ่ม หรือจะลด อัตราดอกเบี้ยนโยบาย การประชุมครั้งล่าสุด ก้อเมื่อวันที่ 13 ธค ที่ผ่านมานั่นละครับ จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:55:30 ]

ความคิดเห็นที่ 8 Q: ซึ่ง กนง. ตัดสินใจไม่ลดอัตราดอกเบี้ย? A: ครับ ผลการประชุมวันที่ 13 กนง ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (RP14) ไว้ที่ร้อยละ 5.00 ซึ่งออกจะเซอร์ไพร์ใครหลายๆ คนเหมือนกัน ที่คิดว่า กนง น่าจะลดอัตราดอกเบี้ย กนง ให้เหตุผลว่า "คณะกรรมการฯ เห็นว่า เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่แรงขับเคลื่อนทางด้านการ ลงทุนภาคเอกชนเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามต่อไป ส่วนแรงกดดันด้านราคายังมีอยู่ แม้จะปรับลดลง ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบันเหมาะสมกับสภาวะของเศรษฐกิจ ในขณะนี้ และให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันไว้ที่ร้อยละ 5.00 ต่อปี" http://www.bot.or.th/bothomepage/General/PressReleasesAndSpeeches/PressReleases/News2549/Thai/n4949t.htm แปลไทยเป็นไทยคือ กนง เห็นว่า ถ้าลดอัตราดอกเบี้ยลดอาจก่อให้ปัญหาเงินเฟ้อ (ซึ่งจำได้ไหมครับว่า นโยบายการเงินเมืองไทยใช้ Inflation Targeting  ดูอัตราเงินเฟ้อเป็นสำคัญ) ภายหลังมีรองผู้ว่า (หรือผู้ช่วยสักคน ผมจำไม่ได้อ่ะ) บอกว่า กนง เห็นว่า แม้ลดอัตราดอกเบี้ย แต่กว่าจะส่งผลนั้นนาน (มี study บอกไว้ว่า นโยบายการเงินเนี่ย กว่าจะมีผลไปถึงเป้าหมาย ใช้เวลาประมาณ  4-8 ไตรมาส แปลไทยเป็นไทยคือ พอลดหรือเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเนี่ย กว่ามันจะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ ตามที่หวังไว้เนี่ย ต้องใช้เวลาประมาณ ปีหนึ่งเป็นอย่างเร็ว หรือสองปีเป็นอย่างช้า ไม่ใช่ตัดสินวันนี้ พรุ่งนี้จะเกิดผล) และการลดแค่ 0.25 แทบไม่มีผลอะไรต่อการเข้ามาเก็งกำไร เพราะฉะนั้น กนงเห็นว่า ต่อให้ลดอัตราดอกเบี้ย เงินก้อยังเข้ามาเก็งกำไรกันอยู่ดี หนำซ้ำอาจต้องเผชิญแรงกดดันจากเงินเฟ้อด้วย (ประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือ วันรุ่งขึ้น คือวันที่ 14 ธค เนี่ย OPEC มีการประชุมกัน และมีข่าวลือว่า อาจจะลดกำลังการผลิตเพิ่มเติม ซึ่งถ้าลดกำลังการผลิตจริงๆ เงินเฟ้อพุ่งแน่ๆ กนง เลยเห็นว่า คงไว้ก่อนดีกว่า) ใช่ว่าผมจะเห็นด้วยนะ ถ้าลดดอกเบี้ยลง อย่างน้อยก้อเป็นการส่งสัญญาณ ให้พวกที่มาเก็งกำไรรู้ และปล่อยของได้แล้ว อัตราแลกเปลี่ยนจะได้กลับมาอยู่ในภาวะปกติเสียที แต่เอาเถอะ ความจริงอย่างหนึ่งก้อคือ กนง เก่งกว่าผมแน่ๆ ประสบการณ์เยอะกว่า ถ้าเป็นเกมส์ level ผมคงแค่ 4 -5 แต่กนงนี่คงระดับเทพแล้วแบบ level เต็ม 99 เลย ^^  เค้ารู้อะไรลึกกว่าที่เราไม่รู้แน่ๆ ผมก้อได้แต่หวังว่า สิ่งที่เค้าทำ มันคงเหมาะสมที่สุดแล้ว ภายใต้สภาพแวดล้อมปัจจุบัน จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:55:46 ]

ความคิดเห็นที่ 9 Q: ทีนี้พอไม่ลดดอกเบี้ย เงินเก็งกำไรก้อยังไหลเข้ามา นี่คือเหตุผลของมาตรการ 18 ธค ใช่ไหม? A: ใช่แล้วครับ มาเข้าเรื่องเรากันเสียที ไม่พูดซ้ำแล้วนะครับ เบื่อกันแล้วแหง๋ๆ สื่อลงข่าวทุกวันว่ามาตรการนี้คืออะไร ดูตาม link นี้ละกัน (เอาข่าวที่เค้าลงเย็นวันจันทร์ที่ 18 มาให้ดูนะครับ) http://www.bot.or.th/bothomepage/General/PressReleasesAndSpeeches/PressReleases/News2549/Thai/n5149t.htm แต่เอาเถอะ นิดนึง โดยสรุป มาตรการที่ว่านี้ คุณกำเงินมาลงทุน 100 แต่คุณจะได้เงินไปลงทุนแค่ 70 อีก 30 แบงค์ชาติจะเก็บไว้ (ไม่ได้ดอกเบี้ยด้วยนะ ขอบอกๆ) ถ้าคุณจะแลกเงินคืนกลับภายในหนึ่งปี ไอ้ 30 ที่แบงค์ชาติเก็บไว้อ่ะ แบงค์ชาติจะคืนคุณแค่ 20 นะ จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:56:03 ]

ความคิดเห็นที่ 10 Q: เห็นเค้าพูดกันว่า มาตรการนี้ เป็นรูปแบบภาษีทางอ้อม มันคืออะไรอ่ะ? A: คือถ้าดูเผินๆ เนี่ย มันเหมือนกับการควบคุมเงินที่เข้ามาเก็งกำไร แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปเนี่ย มันคือภาษีทางอ้อมครับ อย่างไรเอ่ย ขอยกตัวอย่างประกอบตามไปแล้วกันนะครับ จากตัวอย่างใน คห ที่สอง สมมติว่าภายหลังวันที่ 18 เฮียบอนด์จะเข้ามาลงเก็งกำไร เฮียแกกำเงินมา 25,000 ซึ่งจะแลกเป็นเงินได้ (สมมติเป็น 40 บาท/ดอลล่าร์ นะครับ มันคำนวณง่ายดี ^^" ) 1 ล้านบาท แต่แบงค์ชาติบอกว่า พี่ถ้าพี่เข้ามาเก็งกำไรนะ พี่เอาจะได้เงินไปใช้แค่ 700,000 นะ เอา 300,000 ผมกั๊กไว้ก่อนนะ พี่จะไปเล่นหุ้น หรือซื้อพันธบัตรไรก้อตามใจพี่เถอะ แต่ได้แค่ 700,000 นั่นละ อีก 300,000 ผมจะเก็บไว้เฉยๆ เออ เกือบลืม ผมไม่ให้ดอกเบี้ยด้วยนะ (มาตรการนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า Reserve Requirement ซึ่งมีสองแบบคือ Remunerated Reserve Requirement: RRR คือ เงินที่กั๊กไว้เนี่ย ธนาคารกลางจะจ่ายดอกเบี้ยให้ และ Unremunerated Reserve Requirement: URR คือ เงินที่กั๊กไว้ ธนาคารกลางไม่จ่ายดอกเบี้ย ซึ่งไทยใช้แบบที่สองนี้ละ) เฮียแกเลยได้เงินมาซื้อพันธบัตรได้ 700,000 แกก้อกลับบ้านไปดูหนัง วันรุ่งขึ้นมาตื่นมา เห็นเงินมันแข็งค่าไปแล้ว 5 บาท เหลือเป็น 35 บาท/ดอลล่าร์ แกก้อรีบไปแบงค์ขายพันธบัตรทิ้งได้เงินกลับมา 700,000 เท่าเดิม (บอกแล้วไงว่า ไม่คำนวณดอกเบี้ย ^^" ) แล้วแกก้อไปแลกเป็นเงินคืน แต่แบงค์ชาติบอกว่า อ้าว พี่จะเอาเงินกลับประเทศพี่แล้วเหรอ ว้า ถ้าพี่เอากลับก่อนระยะเวลาหนึ่งปี 300,000 ที่ผมกั๊กไว้ ผมคืนแค่ 200,000 นะ อีก 100,000 ผมยึดนะ เฮียบอนด์ เลยได้เงินบาทคืนมาแค่ 900,000 แลกเป็นเงินได้ 25,714 ดอลล่าร์ แทนที่จะได้ 28,571 ตาม ตัวอย่างใน คห.ที่ สอง เงินที่หายไป ก้อเหมือนเป็นภาษีที่คนเก็งกำไรต้องจ่ายให้แบงค์ชาตินั่นเองครับ สรุป ถ้าคุณเข้ามาเก็งกำไร (คือคุณเอาเงินเข้ามา และออกไปก่อนหนึ่งปี เนี่ย ผมถือว่าคุณเข้ามาเก็งกำไร ไม่ได้มาลงทุน) คุณต้องจ่ายภาษีให้แบงค์ชาติ 10% ของเงินที่คุณกำเข้ามา ตอนแรก เอาดิ อยากเก็งกำไรก้อเชิญ แต่แบงค์ชาติขอเอี่ยวกำไรด้วยนะ 10% ของเงินต้น ^^" อ้าว แต่สมมติคุณเข้ามาเก็งกำไรแล้วซวยขาดทุนเอง ผมก้อเอา 10% เท่าเดิมนะ คุณจะได้จะเสียไม่เกี่ยวกับผมนะ ไงไง ผมก้อเอา 10% เนี่ยละ เอ๊ะ ดูไปดูมา ชักไม่เหมือนภาษี (เพราะภาษีเวลาธุรกิจเราขาดทุน เราไม่ต้องจ่าย) เหมือน service charge มากกว่า ฮา จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:56:20 ]

ความคิดเห็นที่ 11 Q: ไปเอาไอเดียแบบนี้มาจากไหนเนี่ย (-_-")a A: แฮ่ๆ มีสองประเทศครับ ที่เคยใช้ให้เห็นแบบจะๆ นั่นคือ ชิลีตอนปี 1991 และอาเจนติน่าปี 2005 นี่เอง ชิลีใช้ URR ในช่วงปี 1991-92 กั๊กเงินไว้ 20% ก่อนที่จะเพิ่มเป็น 30% ในภายหลัง แต่เค้าเริ่มจากในวงแคบๆก่อน แล้วค่อยไปเพิ่มไปเงินฝากสกุลต่างประเทศ และเงินกู้ระยะหนึ่งปีขึ้นไป (ต่างกับพี่ไทยที่เหวี่ยงแหมันทุกตลาดก่อน แล้วค่อยไปยกเลิกทีหลัง อย่างที่ยกเลิกตลาดหุ้น) ส่วนอาเจนติน่าใช้ URR เหมือนกัน เมื่อปีที่แล้วนี้เอง โดยใช้ 30% เหมือนเราเดี๊ยะ ไม่รวมเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI เงินที่เอามาลงทุนทำธุรกิจจริงๆ อ่ะครับ เช่นมาเปิดโรงงาน) แต่ของเค้าไม่รวม IPO (Initial Public Offering การขายหลักทรัพย์ครั้งแรก)  ของหุ้นสามัญและหุ้นกู้ด้วย จากตัวอย่างของสองประเทศนี้ แสดงให้เห็น (มี study ยืนยันหลายชิ้นครับ) ว่า สามารถหยุดเงินไหลเข้าได้จริง แต่ก้อแค่ชั่วคราวเท่านั้น และค่าเงินกลับแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ไม่สามารถป้องกันการเก็งกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากนัก ที่สำคัญ เพิ่มความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจอย่างไม่จำเป็น ตัวอย่างเช่นที่อาเจนติน่านั้น วันที่ประกาศใช้ หุ้นตกเหมือนกันครับ แต่แค่ 7% (ความจริงเยอะนะครับ พอๆ กับวันที่เราปล่อยค่าเงินลอยตัว และวันที่เกิด 911 เพียงแต่สู้เรางวด 19 ธค ไม่ได้ ฮา) และหลังจากนั้น หุ้นเค้าขึ้นไปกว่า 20% ในระยะเวลา สามเดือนต่อจากนั้น (ว้าว มาลุ้นกันว่า หุ้นไทยจะทำได้มั่งป่าว ^^) อีกอย่างที่น่าสังเกตุ คือ เงินที่เข้ามาอยู่ก่อนวันที่ 18 ไม่จำเป็นต้องกันสำรอง ซึ่งต่างชาติจะใช้ช่องโหว่ตรงนี้ละครับ เพื่อไปเก็งกำไร เพื่อจะได้พ้นกฏเกณฑ์ของแบงค์ชาติ คือ เงินที่เข้ามา ก้อจะทำให้พ้นกฏของแบงค์ชาติ จะได้ไม่ต้องโดนกันการลงทุน ส่วนเงินที่จะเอาไปเก็งกำไร ก้อจะใช้เงินเก่าที่มีอยู่ เฮ้อ จับไงก้อไล่ไม่ทันหรอกครับ ตัวอย่างของทั้งสองประเทศนั้นก้อแสดงให้เห้นแล้วว่า เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก นักลงทุนก้อจะสามารถหาทางซิกแซกได้เอง ในที่สุด มาตรการนี้เหมือนออกมาเพื่อบรรเทาปัญหาเท่านั้นเอง แต่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพสำหรับการแก้ปัญหา จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:56:39 ]

ความคิดเห็นที่ 12 Q: แล้วทำไมหุ้นจึงตกอ่ะ มันเกี่ยวไรกะตลาดหุ้น? A: อันนี้ทางเศรษฐศาสตร์เรียกปรากฏการณ์แบบนี้ว่า Shock ครับ Shock แบ่งได้ใหญ่ๆ สองแบบคือ Supply Shock และ Demand Shock คือ ปรากฏการณ์ที่อุปสงค์ (อุปทาน) หายไปจากตลาดดื้อๆ ในระยะอันสั้นมากๆ ในกรณีเหตุการณ์วันที่ 19 คือ Demand Shock ครับ เพราะหนึ่งในผู้ซื้อหลักของตลาดหุ้นไทยคือนักลงทุนต่างชาติ ไม่ต้องการหุ้นไทยอีกต่อไป พอคนแรกขาย ทำให้ราคาตกลง คนที่สองเห็นราคาตก ก้อขายตามบ้าง ราคาก้อตกลงไปอีก คนที่สาม ก้อขายตามน้ำไปด้วย ราคาก้อยิ่งตกลงไปอีก คนที่สี่ ไม่ได้คิดจะขายหร้อก แต่พอราคาตกมาถึงจุด cut loss ของเค้า เค้าก้อต้องขาย ส่งผลกระทบเป็นโดมิโนไปแบบนี้เรื่อยๆ จนคนท้ายๆ ซึ่งเป็นรายย่อยอย่างเราๆ นี่ละ ไม่ได้คิดจะขาย บางคนวันนั้นสารภาพมาซะดีดีครับ ว่าไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เย็นวันอังคารแบงค์ชาติแถลงอะไร ตอนหุ้นตกก้อยังไม่รู้เลยว่า มันตกเพราะมาตรการอันนั้น ต่อให้รู้ก้อยังคิดไม่ถึงว่าหุ้นตกได้ไง แต่พอเห็นหุ้นตกฮวบฮาบแบบนั้น ก้อเลยต้องขาย บ้างก้อถูก force sell บ้าง จนสุดท้าย ความต้องการหุ้นของผู้ซื้อในตลาดหายไปดื้อ ก้อเพราะแบบนี้ละครับ ทุกคนเทขายกันหมด โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากต่างชาตินั่นเอง ให้ผมเดานะครับ ตอนที่หุ้นตกมาตอนเปิดตลาดวันที่ 19 นั่นละคือจุดเริ่มต้นที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มขาย และพอคนถัดๆ มาเห็นหุ้นเปิดมาตกมโหรารแบบนั้นก้อขายตามต่อๆ กันมา จนมาถึงระดับที่ตกไปกว่า 140 จุดละครับ (เดี๋ยวมาว่ากันต่อว่า หลังจากตกไปแล้ว 140 จุดแล้วเกิดอะไรขึ้น) จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:56:56 ]

ความคิดเห็นที่ 13 Q: แล้วทำไมนักลงทุนต่างชาติถึงเทขายละ มาตรการอันนี้ไม่เกี่ยวกับเงินที่เข้ามาก่อนแล้วเสียหน่อย? A: เกิดขึ้นเพราะความไม่แน่ใจของนักลงทุนเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าวครับ 1) ณ เวลานั้น ต่างชาติไม่แน่ใจถึงมาตรการดังกล่าว ผมถามหน่อย ว่าเย็นวันจันทร์ที่ 18 มาตรการที่ว่าคืออะไร ครอบคลุมแค่ไหน มีใครสักกี่คนตอบได้ อย่าว่าแต่เราๆ ท่านๆ เลย คนแบงค์ชาติบางคนยังตอบไม่ได้เลย สรุปคือ ไม่มีใครรู้จริงสักอย่างว่า มาตรการที่ว่าคืออะไรกันแน่ ก้อเลยเอาชัวร์ ขายก่อนดีกว่า 2) ต่อให้ ณ วันนั้นไม่เกี่ยวกับเงินที่เข้ามาก่อน ใครจะรู้ว่า อีกสองสามวัน แบงค์ชาติอาจจะคึก ออกอะไรแนวนี้มาอีกก้อได้ และคราวนี้ ถ้าส่งผลถึงเงินทุกบาททุกสตางค์ในประเทศอะไรจะเกิดขึ้น 3) ที่กลัวที่สุดคือ ต่างชาติเริ่มหวั่นๆ ว่า ไทยอาจควบคุมการไหลเข้าออกของเงินอย่างเด็ดขาด ซึ่งอาจทำให้เงินที่เค้าเอาเข้ามาในประเทศออกไปไม่ได้ อย่าลืมนะครับ ว่ารัฐบาลของเรายังเป็นเผด็จการอยู่ คนที่ไม่เข้าใจบริบท (Context) ของประเทศเราดีพอ เค้าก้อกลัวกันทั้งนั้นละ สรุปๆ ไอไม่รู้ว่ายูทำไรอ่ะ ยูไปตกลงกันให้ชัวร์ๆ ก่อน ว่าอยากให้ไอมาเล่นหรือเปล่า แต่วันนี้ไอขอขายก่อนแล้วกัน เอาชัวร์ๆ (อีกอย่าง แค่นี้ไอก้อทำกำไรอักโขแล้ว เพราะไอรับมาถูก ฮา) จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:57:11 ]

ความคิดเห็นที่ 14 Q: แต่เห็นผู้ว่าแบงค์ชาติบอกว่า ต้นทุน มีแค่ 1.5% เท่านั้นเองนิ? A: เอ่อ ออกตัวก่อนว่าผมไม่อยู่ในระดับที่จะโต้เถียงคำพูดคุณธาริษาได้หรอกครับ แต่อยากจะขอเสนอมุมมองในอีกทางหนึ่งบ้าง ว่าทำไมนักลงทุนจึงไม่มองว่าต้นทุนแค่ 1.5% ก่อนอื่นครับ ผมจะลองคำนวณให้ดูว่า ทำไมคุณธาริษาจึงคิดว่า ต้นทุนมีแค่ 1.5% สมมติว่าเฮียบอนด์ แกกำเงินมา 25000 ดอลล่าร์ แลกได้ 1 ล้านบาท แต่โดนกั๊กไว้ สามแสน ถ้าเฮียแกอยากได้เงินมาเล่น 1 ล้านเท่าเดิม เฮียแกต้องทำอย่างไรครับ ง่ายๆ ก้อไปกู้แบงค์ที่ตัวเปิดบัญชีไว้เท่านั้นเอง เฮียบอนด์เปิดบัญชีกะ Z Bank บอกกะ ZBank ว่า เฮ้ ผมขอเงิน 1 ล้านเต็มๆ นะ ส่วนสามแสนที่ต้องกั๊กให้แบงค์ชาติ ผมกู้คุณก่อนแล้วกัน โดยคิดดอกเท่ากับในตลาด RP14 วัน คือ 5% ละกัน (ที่ใช้ RP14 วันเพราะต้นทุนในตลาดสำหรับกองทุนต่างๆ ก้อประมาณนี้อยู่แล้ว คือสถาบันการเงินสามารถกู้เงินได้ 14 วัน ในอัตราดอกเบี้ยนี้ในตลาด Bilaterial) แบบนี้ ZBank มีหรือจะไม่เอา ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระเงินแทบไม่มีเลย (เพราะเงินอยู่ในบัญชีเฉยๆ ไม่ได้ออกไปไหน) ต้นทุนสำหรับเฮียบอนด์ที่เพิ่มขึ้นมาก้อแค่ ค่าดอกเบี้ย 5% ของเงิน 300,000 (สมมติว่ากู้ 364 วันหรือเกือบหนึ่งปี) เท่ากับ 15,000 บาท หรือคิดเป็น 1.5% ของเงิน 1 ล้านบาท เท่านัน้เอง สรุปในมุมมองของคุณธาริษาคือ มาตรการนี้ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่ตลาดคิดหรือ shock ไปก่อนหน้านี้ เพราะต้นทุนในการเก็งกำไร เพิ่มสูงขึ้นแค่ 1.5% เท่านั้นเอง เอ้า ทีนี้มาดูมุมมองของผมบ้าง สมมติเฮียบอนด์แกจะเข้ามาเก็งกำไรค่าเงิน (หรือจะลงทุนอะไรก้อตามแต่) แต่เฮียแกมั่นใจว่า แกอยู่ไม่ถึงหนึ่งปีแน่ๆ แกก้อเลยคำนวณหา Break Even ของการเข้ามาลงทุนครั้งนี้ดู คราวนี้ขอยกตัวอย่างจริงๆ เพราะอยากจะคำนวณให้ละเอียด ค่าเงินตอนนี้อยู่ประมาณ 36.5 บาทต่อดอลล่าร์นะครับ เราจะใช้เรตนี้ในการคำนวณดู วิธีคำนวณนะครับ ถ้าเฮียแกอยากได้เงินไทย 1 ล้านบาท แกต้องกำดอลล่าร์มา 27,397 สมมติว่าแกมาซื้อพันธบัตรได้ yield 5% ต่อปี เฮียแกถือมาได้ 9 เดือน แกมีความจำเป็นต้องเอาเงินก้อนนี้กลับประเทศ  แกจะได้เงินคืนกลับไป 926,250 บาท (โดนแบงค์ชาติเก็บ Serv Charge 10% ในตอนแรกคือ 100,000 บาท แต่ได้ดอกเบี้ยจากตราสารหนี้ 5% ของ 700,000 ในระยะเวลา 9 เดือน = 0.05 x 9/12 x 700,000 = 26,250) คำถามคือ อัตราแลกเปลี่ยนต้องแข็งค่าขึ้นมาเป็นเท่าไร เป็นอย่างน้อย เฮียบอนด์แกถึงจะไม่ขาดทุน คำตอบคือ ถ้าจะเอาเงิน 926,250 บาทแลกเป็นเงินให้ได้เท่ากับ 27,397 ในตอนแรก อัตราแลกเปลี่ยนต้องอยู่ที่ 33.81 บาทต่อดอลล่าร์ หรือต้องแข็งขึ้นมาอีกอย่างน้อย 7.37% ถ้าคุณเป็นต่างชาติตอนนี้ คุณคิดไหมละว่า ค่าเงินภายในหนึ่งปีข้างหน้านี้ จะแข็งขึ้นไปในระดับ 33 บาท สำหรับผม ผมว่ายากอ่ะ ยากมากๆ แบงค์ชาติไม่ปล่อยไปถึงขนาดนั้นแน่ มุมมองของผม และคุณธาริษา มันก้อแค่มองเหรียญเดียวกันคนละด้านเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น การเก็งกำไรค่าเงิน ของ NR โอกาสที่จะทำกำไรจึงแทบไม่มีเลยหลังมาตรการนี้ออกมา เว้นเสียแต่ว่า คุณจะมาเก็งกำไรข้ามปี ซึ่งถ้ามีข้อจำกัดแบบนี้ ตลาดอื่นมีเยอะแยะ จะมาสนใจตลาดเล็กๆ อย่างไทยทำไมกัน นั่นคือเหตุผลที่ต่างชาติเตรียมเทขายหุ้น เพื่อทิ้งตลาดไทย เนื่องจากโอกาสทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนแทบจะหมดลงแล้ว นั่นจึงทำให้หุ้นตกตอนเปิดมาช่วงเช้า จนกระทั่ง Circuit Breaker (ปิดตลาดครึ่งชม หลังหุ้นตกเกิน 10%) ถูกนำมาใช้ จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:57:34 ]

ความคิดเห็นที่ 15 Q: ทางแบงค์ชาติ และกระทรวงการคลังแก้เกมส์อย่างไร? A: อันนี้เป็นข่าวลือล้วนๆ นะครับ อ่านเอาสนุก เราไม่ได้เห็นกะตา ก้อฟังหูไว้หูละกัน มีข่าวแจ้งมาว่า ทางผู้ใหญ่ได้ "ขอร้อง" ให้บรรดาโบรกเกอร์และสถาบันการเงินต่างๆ ช่วยชาติ โดยการเข้าไปพยุงตลาด ตลอดจนเข้าไปทำความเข้าใจ ชี้แจงกับนักลงทุน (ไม่ว่าจะไทยหรือเทศ) ไม่ให้ตื่นตะหนก และขายหุ้น โดยพยายามชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยไม่เปลี่ยน และผู้ที่เข้ามาลงทุน (ลงทุนจริงๆ ไม่ได้เก็งกำไร) จะไม่ได้รับผลกระทบแน่นอน ซึ่งการขอร้องแบบนี้ ใช้ได้ผลมาแล้ว เมื่อช่วงวันที่ 19 กันยายน ที่เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติ ก้อมีผู้ใหญ่คนหนึ่งมาแนวนี้ จนทำให้ตลาดหุ้นในวันนั้น ปรับตัวลงไปแค่เล็กน้อยเท่านั้น แม้ว่าจะเปิดตลาดในแดนลบพอสมควรก้อตาม (จำตัวเลขไม่ได้ครับ โทษที ^^") นั่นทำให้หลังจากที่หุ้นตกลงไปกว่า 140 จุด จนเกือบจะถึง dead line 20% ดัชนีดีดตัวกลับมา จนปิดได้ที่ระดับ (ผมจำตัวเลขไม่ได้แล้วอ่ะ โทษทีคับ)  ลดลงไปแค่ 108 จุดเท่านั้น จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:58:11 ]

ความคิดเห็นที่ 16 Q: ว่าแต่คนทั่วๆ ไปยังรู้เลยว่า ถ้าปล่อยมาตรการนี้ออกมา จะทำให้ตลาดต่างๆ เสียหาย แบงค์ชาติไม่รู้เลยเหรอ? A : ความจริง มาตรการอันนี้ ก้อออกมาเพื่อทำความเสียหายต่อตลาดต่างๆ อยู่แล้วละครับ กล่าวคือ แบงค์ชาติต้องการกำจัดเงินทุนที่ไหลเข้ามาเพื่อเก็งกำไรค่าเงินทั้งหมด ถ้าแบงค์ชาติทำสำเร็จจริงๆ จะต้องมีเงินไหลออกไปอยู่แล้ว และจะทำให้ ultimate goal คือ ค่าเงินที่อ่อนลง ประสบความสำเร็จในที่สุด และถ้ามีเงินไหลออกจริงๆ ตลาดหุ้นก้อต้องตก yield curve ในตลาดตราสารหนี้ก้อต้องขึ้น (ซึ่งหมายถึงราคาตราสารหนี้ก้อต้องตก) จริงไหมครับ และบางทีคงหลีกเลี่ยงได้ยากที่จะไม่ให้เกิด shock คือ คนที่ไม่ได้เก็งกำไรแต่ขาย cut loss ตามราคาที่ตก ผู้รู้ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่มาตรการนี้จะออกมา ทางแบงค์ชาติได้ประเมินความเสียหายไว้แล้ว (ขอบอกว่าไม่ได้ประเมินแบบ subjective นะครับ แต่ผ่านการวิจัย และทำโมเดลมาพอสมควร จนกระทั่งตอนจบไป adjust โดย ผู้รู้ระดับเทพอีก และไม่ใช่แค่คนในแบงค์ชาติด้วย องค์กรที่เป็น regulator อื่นๆ ก้อรับรู้ด้วยเช่นกัน อันนี้คอนเฟิร์ม อีกทั้งก้อมีตัวอย่างจากอาเจนติน่า อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น) โดยคาดว่าในตลาดหุ้นน่าจะตกสัก 10% ซึ่งถือว่ายอมรับได้ และคุ้มค่า มีคนทักท้วงแล้วครับว่า เราตัดตลาดหุ้นออกไปได้ไหม คือ มาตรการดังกล่าวไม่ต้องบังคับใช้ในตลาดหุ้น แต่ทางแบงค์ชาติบอกว่า ไม่ได้ เพราะถ้าทำเช่นนั้น เงินจะไหลจากตลาดที่โดนควบคุม (อาทิ ตราสารหนี้) มาสู่ตลาดที่ไม่โดนควบคุม ถ้าไม่ควบคุมตลาดหุ้น และจะทำให้หุ้นพุ่งสูงขึ้น แต่ไม่ได้ขึ้นเพราะปัจจัยพื้นฐาน แต่ขึ้นแบบฟองสบู่ และถามว่าวันหลังเกิดเงินเหล่านี้ตัดสินใจออกจากตลาดหุ้นไป (เมื่อเค้ามาถึงจุดที่เค้าคิดว่าจะทำกำไรจากค่าเงินได้แล้ว) อะไรจะเกิดขึ้นครับ ฟองสบู่แตก และผลกระทบคงกว้างกว่านี้อีกมากมายนัก อีกอย่างหนึ่งคือ กลไกลของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน ไม่สามารถแยกแยะที่มา และจุดประสงค์ของเงินทุนที่ไหลเข้ามาในตลาดได้ คือ อย่างที่แบงค์ชาติได้บอกไว้ละครับ ว่าเงินที่ไหลเข้ามาไม่ได้ผูกโบว์ไว้เสียหน่อยว่า ก้อนนี้จะเอาไปเก็งกำไรนะ ก้อนนี้เอาไปลงทุน ยิ่งทำให้การป้องกันยากลำบากมากขึ้น (ซึ่งอันนี้ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของระบบการเงินไทยอย่างแท้จริง แบงค์ชาติแท้ๆ ยังไม่สามารถจะชี้แจงที่มาที่ไปของเงินก้อนต่างๆ ได้) พูดมันง่ายครับ แต่ปฏิบัติคงเป็นไปไม่ได้ แบงค์ชาติเลยไม่มีทางเลี่ยง ที่จะต้องเหวี่ยงแหครอบคลุมมาตรการอันนี้ในทุกๆ ตลาด อย่างไรก็ดี สิ่งที่คาดผิดไปก้อคือ shock ดังกล่าวเกิดผลกระทบในวงกว้างมากกว่าที่ประเมินไว้ จนทำให้แบงค์ชาติต้องประกาศยกเลิกมาตรการในตลาดหุ้น ในที่สุด จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:58:26 ]

ความคิดเห็นที่ 17 Q: ทำไมแบงค์ชาติถึงประกาศยกเลิกมาตรการอันนี้ (เฉพาะในตลาดหลักทรัพย์) ในวันรุ่งขึ้น? A: เหตุผลใหญ่ๆ มีสองเหตุผลครับ 1) ข้อแรกคือ หลังจากตลาดปิดไปแล้ว ได้มีการไปสอบถามบรรดาโบรกเกอร์ต่างๆ ซึ่งแทบทุกรายให้ความเห็นตรงกันว่า มีคำสั่งขายจากนักลงทุนรออยู่อีกเพียบ และถ้าปล่อยให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้ต่อไป วันรุ่งขึ้น (20 ธค) ตลาดหุ้นจะตกลงไปอีก ส่งผลเสียต่อด้านจิตวิทยาเศรษฐกิจไทยแน่นอน 2) ในมุมมองของผม ข้อสองนี่เป็นเหตุผลใหญ่ที่สุดที่ทำให้แบงค์ชาติต้องยอมถอยในบางเรื่อง นั่นคือ หลายคนอาจจะรู้แล้วครับ ว่าในวันนั้น ตลาด off-shore (ตลาดซื้อขายเงินตราในต่างประเทศ) ปฏิเสธที่จะทำธุรกรรมซื้อขายเงินบาทกับผู้เล่นในไทยอย่างสิ้นเชิง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย หรือมีอะไรที่ชัดเจนกว่านี้ออกมา ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงต่อเศรษฐกิจไทยมากเลยนะครับ เพราะเค้าไม่มั่นใจว่า ถ้าซื้อขายเงินไปจะได้เงินครบถ้วนไหม โดนหักอะไรไหม ไม่ใช่ว่าซื้อเงินบาทไปแล้ว ได้ไม่เต็มล่ะ อะไรทำนองนั้น ก้อเลยเอาชัวร์ว่า ไปเคลียร์กันให้เรียบร้อยก่อน ค่อยมาซื้อขายเงินกันอีกครั้ง คิดดูแล้วกันครับ ถ้าตลาดหุ้นตกไปอีกในวันรุ่งขึ้น ตลาดอื่นๆ โดยเฉพาะตลาดเงินจะเป็นอย่างไร เค้าประเมินความเสียหายแล้ว ก้อถอยดีกว่า อันนั้นเป็นเหตุผลที่มีตรรกะรองรับ มาลองฟังข่าวลือดูกันบ้างไหมครับ เช่นเคยครับ อ่านเอามัน ฟังหูไว้หู ^^ อ๊ะๆ พอบอกเป็นข่าวลือนี่ หูผึ่งเชียวนะคับ ^^" ทุกท่านรู้ใช่ไหมครับ ว่าเวลาซื้อขายหุ้นเนี่ย เงินจะตัดบัญชีกัน ณ สามวันทำการ (T+3) แต่เวลาซื้อขายเงิน หมายถึงซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตรา เงินจะตัดบัญชีกันภายในสองวัน (T+2) มีข่าวลือว่า ต่างชาติขายหุ้นทิ้งกันวันอังคาร (ซึ่งจะได้เงินวันศุกร์) พอคืนวันอังคารได้มีการเตรียมการเพื่อซื้อดอลล่าร์กลับในวันพุธ (เพราะขายหุ้นได้มาเป็นบาท) ซึ่ง transaction จะชนกันพอดีในวันศุกร์ ซึ่งถ้าเป็นตามรูปแบบนี้ ต่างชาติจะได้ดอลล่าร์ในวันศุกร์ พร้อมโอนกลับบ้านก่อนคริสต์มาส ลือกันว่า ถ้าปล่อยให้เหตุการณ์เป็นแบบนี้ คือ ไม่ยอมยกเลิกมาตรการในคืนวันอังคาร ต่างชาติจะทำการเทขายเงินบาทในตลาด spot จำนวนมาก มากพอที่จะ swing ค่าเงินบาทให้ตกไปถึงระดับ 40-42 ได้เลยทีเดียว เศรษฐกิจของประเทศหนึ่งๆ ที่ค่าเงินจากวันนี้ 35 วันรุ่งขึ้นเป็น 42 ถามหน่อยว่า มันจะมีความน่าเชื่อถืออะไรให้คนมาทำธุรกิจด้วย แค่ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารกลางยังควบคุมไม่ได้ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เศรษฐกิจเราคงย่อยยับ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ มากกว่าครั้งปี 97 แน่นอน สุดท้ายแบงค์ชาติ เลยต้องยอมถอน อีกทั้งต้องยอมให้บัญชีของคนต่างชาติในไทยถือเงินได้เกิน 300 ล้านบาทด้วย เพราะถ้าไม่ผ่อนปรน จะทำให้เงินที่ขายหุ้นได้มาไม่มีที่ไป สุดท้ายเหมือนกับไปบีบให้เค้าต้องขายบาท เพื่อซื้อดอลล่าร์กลับ และจะทำให้ค่าเงินอ่อนตัวอย่างรวดเร็วผิดปกติ ส่งผลเสียหายอย่างหนักต่อเศรษฐกิจประเทศเรา จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:58:51 ]

ความคิดเห็นที่ 18 Q: แล้วมาตรการที่ว่านี้ มันดีหรือไม่ดีอย่างไร A: ความเห็นส่วนตัวนะครับ ผมมองว่า มาตรการอันนี้เลวร้ายน้อยที่สุดแล้วภายใต้สภาพแวดล้อมและเงื่อนไขต่างๆ ของประเทศในปัจจุบัน อย่างที่บทบรรณาธิการ FT ว่าไว้ละครับ (คือไม่ว่าอันไหนมันก้อเจ๊งทั้งนั้น แต่อันไหนเจ๊งน้อยที่สุด และใครเจ๊ง)  ในเมื่อแทรกแทรงแล้วไม่ได้ผล ก้อต้องออกอะไรมาเพื่อควบคุม แต่ที่ผมมองว่า แบงค์ชาติสอบตกสุดๆ ในเหตุการณ์ครั้งนี้คือ 1) การประชาสัมพันธ์ที่อ่อนหัด Shock ที่เกิดในตลาดหุ้น ต้องโทษแบงค์ชาติเต็มๆ ที่ไม่สามารถชี้แจง ทำความเข้าใจกับนักลงทุนได้ มีอย่างที่ไหน แถลงตอนเย็นวันจันทร์ แต่โทรไปถามอะไรกับใคร ไม่มีใครรู้เรื่องเลย กว่าจะมี hotline เปิดก้อบ่ายวันอังคาร หุ้นก้อตกติดดินไปแล้ว ไอ้เรื่องนี้แบบนี้ไม่ได้คิดเมื่อวานประกาศวันนี้เสียเมื่อไร ถ้ารู้ว่ามันจะเกิด shock ทำไมไม่มีมาตรการที่จะทำให้ shock มันผ่อนหนักเป็นเบามั่งละ ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าแบงค์ชาติเราจะมาสอบตกกับเรื่องเบๆ แบบนี้  ผมว่านักเรียนทุนงวดหน้า ส่งไปเรียน Marketing Strategy บ้างก้อดีนะครับ เวลาที่ทำความเข้าใจกับมวลชนจะได้เป็นสัปะรดแมวบ้าง (ข้อเสนอนี้ผมซีเรียสนะเนี่ย) 2) การให้สัมภาษณ์ต่อสื่อ รู้ๆ ทั้งรู้ว่าตลาดกะลังตกใจ ดั๊นราดน้ำมันไปในกองเพลิงได้ แทนที่จะชี้แจงกับใช้โวหารเสียดสี ไม่ว่าจะเป็น "โอ้ย หมาเห่าก้อขายแล้ว" "ไม่ต้องห่วงเค้าหรอก เนี่ย รีบาวแล้วเค้ากำไรกันเป็นแถว" เออ ผมก้อรู้ว่ามันจริง แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดนี่ ทำให้เรื่องมันเลวร้าย ยิ่งไปใหญ่ 3) อันนี้เสียหายหนักที่สุดในความรู้สึกของผม นั่นคือ ความน่าเชื่อถือของแบงค์ชาติ (Creditability) ได้เสียหายอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของ รมว.คลังที่เข้ามาก้าวก่ายงานของ ธปท. จนเกินพอดี อย่าลืมว่าคุณกับคุณธาริษาไม่ได้เป็นหัวหน้ากับลูกน้องกันอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้สายตาคนทั้งประเทศจับตาดูคุณอยู่ คุณกำลังทำให้คุณธาริษาตกอยู่ในสภาพกดดันนะครับ ใครจะว่าไงไม่รู้นะ แต่งานนี้ผมสงสารคุณธาริษาอ่ะ และผมรู้สึกเช่นเดียวกับที่ รมว.คลังว่า คุณธาริษาเป็นผู้หญิงแกร่งจริงๆ ความเห็นส่วนตัวครับ อ้อ ที่สำคัญ หน้าที่ของแบงค์ชาติคือการทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพนะครับ และนโยบายที่เปลี่ยนกันได้ภายในไม่กี่ชม ไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพนะครับ แต่ทำลายตะหาก ;) แต่ผมเข้าใจอ่ะ ถ้าผมเป็นเค้า ผมคงต้องถอยเหมือนกัน แต่ก้อนั่นละ ผลของการขาดการสื่อสารต่อสาธารณชนที่ดี ทำให้สถานการณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่ประเมินไว้ จนทำให้เกิดเรื่องยุ่งๆ มากมาย และต้องมาตามแก้กันภายหลัง จำกันไว้เป็นบทเรียนแล้วกันครับ เพราะจะมาเรียกร้องความรับผิดชอบอะไรกันตอนนี้คงสายไปแล้วมั้งครับ สิ่งที่ต้องทำจากนี้ไป คือการเรียกความน่าเชื่อถือของธนาคารแห่งประเทศไทยให้กับมาให้เร็วที่สุด ตะหากคือสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ แต่ถ้าเป็นผม และลองเกิดผมลาออกแล้วสามารถเรียกความน่าเชื่อถือของแบงค์ชาติกลับมาได้ (แม้จะน้อยนิด) ผมจะทำโดยไม่ลังเลเลย ^^" จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:59:10 ]

ความคิดเห็นที่ 19 Q: ตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป? A: เคยคิดเหมือนกันนะครับ ว่าเอ ทำไมตลาดหุ้นเรา underperform จัง ถูกยังกะขี้ ทำไมไม่มีใครซื้อ หุ้นไม่วิ่ง ก้อเพราะงี้ไงครับ บ้านเรามีความเสี่ยงอื่นๆ ที่มองไม่เห็นอีกมาก (แต่คนอื่นๆ เค้าดูออก ฮา) เหมือนที่เรารู้กันละครับ ว่าดอกเบี้ยญี่ปุ่น ต่ำติดดินแค่ ไม่ถึง 1% บ้านเราตั้ง 5% แต่ทำไม เงินมันไม่ไหลมาบ้านเราทั้งหมด มันยังไหลไปญี่ปุ่นอยู่เพราะอะไร เหมือนกัน อินโด ดอกเบี้ย สิบกว่า% แต่ทำไมเงินมันไม่ไหลจากบ้านเราไปบ้านเค้า ก้อเพราะความเสี่ยงไงครับ ประเทศแต่ละประเทศความเสี่ยงมันไม่เท่ากันเสียหน่อย เหมือนหุ้นละครับ หุ้นปั่นเนี่ย ผลตอบแทนสูงจริงเชียว แล้วทำไมคนไม่ไปซื้อหุ้นปั่นกันทั้งหมดละครับ ไปซื้อหุ้น bluechip กันทำไม ธรรมชาติของเงินจะไหลจากที่ผลตอบแทนต่ำ ไปสู่ที่ผลตอบแทนสูงกว่าครับ ถ้าความเสี่ยงเท่ากัน ส่วนตลาดหุ้นไทย คงจะ underperform ต่อไป ตราบใดที่เรายังเพิ่มความเสี่ยงแบบไม่จำเป็นให้กับตลาดเรื่อยๆ แบบนี้ โดยเฉพาะความเสี่ยงที่มาจากภาครัฐ และการเมือง จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:59:27 ]

ความคิดเห็นที่ 20 Q: เก่งจริงเชียววิจารย์เนี่ย เสนอทางเลือกอื่นๆ บ้างสิ? A: แฮะๆ ถ้าคิดว่ามีประโยชน์นะครับ สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดสำหรับประเทศกำลังดัง (Emerging Country) นั่นคือ ประเทศพวกนี้ยากจน อุปสงค์ในประเทศไม่แรงพอ จนต้องพึ่งพิงการส่งออก ทีนี้พอค้าขายได้เงินมาเยอะขึ้น จะมีผลเสียที่หลีกเลี่ยงได้ยากตามมาคือ ค่าเงินที่แข็งขึ้น นั่นจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกลดลง จึงต้องพยายามแก้ปัญหาด้วยการทำให้ค่าเงินมันอ่อน ซึ่งหลังจากชายตาดูแล้ว มีแค่จีนเท่านั้นละครับทีประสบความสำเร็จ และประเทศเราไม่สามารถเลียนแบบเค้าได้ เพราะสภาพแวดล้อมของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน จีนเค้าใหญ่ อำนาจต่อรองเยอะ ค่าแรงต่ำเตี้ย บ้านเราไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย สำหรับประเทศเราในเรื่องค่าเงินที่แข็งขึ้น เพราะมันมีแต่เงินไหลเข้าไม่มีไหลออก แฮ่ๆ ผมไม่ได้หมายความว่า ไปส่งเสริมให้นโยบาย หนึ่งบุคคล หนึ่งแบรนด์แนม แล้วไปไล่ซื้อหลุย ให้หมดโลก หรือส่งเสริมให้คนไปเที่ยวประเทศนอกกันนะครับ แต่เราน่าจะพัฒนาและผลักดัน ส่งเสริมให้เงินทุนไทย ไหลออกไปทำกำไรข้างนอกหาเงินเข้าประเทศบ้าง ไม่ใช่มีแต่เค้าเอาเงินไหลเข้ามาโกยกำไรบ้านเรา เข้าใจว่าเมื่อก่อนเนี่ย เราปิดช่องทางไม่ให้เงินไหลออก เพราะกลัวบาทจะอ่อนเกินไป (จำตอนที่เราตรึงไว้ที่ 25 บาทต่อดอลล่าร์ได้ไหมครับ) แต่วันนี้มันเปลี่ยนไปแล้วอ่ะ ก้อน่าจะเริ่มทำกันจริงๆจังๆ ซะทีนะครับเนี่ย เรื่องการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศเนี่ย ถ้าเงินไหลเข้าเท่ากับเงินไหลออก ค่าเงินเราก้อจะเสถียรเองครับ แต่อะไรที่เป็นนโยบายใหญ่ๆ แบบนี้ รัฐบาลนี้ทำไม่ได้หรอก ไม่ใช่เค้าไม่มีความสามารถนะครับ แต่รัฐบาลทหาร ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่กล้าตัดสินใจอะไรใหญ่ๆ แบบนี้หรอก สงสัยคงต้องรอการเลือกตั้งครั้งหน้าแล้วละครับ ว่าแล้วก้อร้องเพลงรอกันต่อไปครับ จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 08:59:54 ]

ความคิดเห็นที่ 21 สุดท้าย ยาวมากแล้วครับ ไม่รู้จะมีใครตามอ่านด้วยหรือเปล่า (ฮา) ถ้าใครสามารถอ่านจบได้นี่ คุณเจ๋งมากเลยนะครับ ขอได้รับความขอบคุณจากผมนะครับ และก้อ Merry Xmas and Happy New Year ทุกๆท่านครับ ปล. ถ้ามีอะไรผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ (แล้วจะมาตามแก้ทีหลัง ฮา) จากคุณ : m_ple - [ 27 ธ.ค. 49 09:00:49 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ส่งไปเรียน Marketing Strategy บ้างก้อดีนะครับ เวลาที่ทำความเข้าใจกับมวลชนจะได้เป็นสัปะรดแมวบ้าง (ข้อเสนอนี้ผมซีเรียสนะเนี่ย) น่าจะเรียนเทคนิเคิลของหุ้นด้วย เพราะมันช่วยบอกว่า เงินบาทใกล้กลับตัวแล้ว วันนั้นคงไม่ต้อง ออกมาตรการที่แรงอย่างนั้น ( ผมซีเรียสเหมือนกัล) จากคุณ : Mudady - [ 27 ธ.ค. 49 09:35:00 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอส่งภาพ ประกอบ จากคุณ : พิชัยสงคราม - [ 27 ธ.ค. 49 09:35:55 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ... จากคุณ : พิชัยสงคราม - [ 27 ธ.ค. 49 09:36:27 ]

ความคิดเห็นที่ 25 โอ้โห อ่านแล้วเข้าใจมากขื้นจริงๆ ขอบคุณมากนะคะที่ให้ความชัดเจนได้ขนาดนี้ จากคุณ : หนูแดง (dangusa) - [ 27 ธ.ค. 49 09:38:41 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ... จากคุณ : พิชัยสงคราม - [ 27 ธ.ค. 49 09:39:08 ]

ความคิดเห็นที่ 27 Thank youy and vote จากคุณ : Abarica - [ 27 ธ.ค. 49 09:42:53 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อ่านจบแล้วจ้า เขียนได้ละเอียดเข้าใจง่ายดีค่ะ เดี๋ยวจะรอว่ามีคนเข้ามาแย้งหรือเปล่า อยากฟังความเห็นผู้รู้คนอื่น ๆ บ้าง ขอบคุณค่ะ Happy New Year ด้วยค่ะ จากคุณ : micky - [ 27 ธ.ค. 49 09:45:32 A:58.8.2.146 X: TicketID:098315 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณมาก เข้าใจขึ้นเยอะเลย จากคุณ : อินจอง (อินจอง) - [ 27 ธ.ค. 49 09:56:15 ]

ความคิดเห็นที่ 30 Vote!! จากคุณ : You know me a little go - [ 27 ธ.ค. 49 10:09:39 ]

ความคิดเห็นที่ 31 โหวตครับ เก็บครับ จากคุณ : ขอบฟ้า จันทรา ดาบ - [ 27 ธ.ค. 49 10:14:51 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ผมมีคำถามถาม จขกท ว่า แล้ว ทำไมแบงค์ชาติ คงอัตราดอกเบี้ย นโยบาย ไว้ สูง เกือบจะเท่าของ อเมริกา ละครับ มันมีผลประโยชน์ อะไร ครับ ขอ ความ รู้ด้วยครับ จากคุณ : พิชัยสงคราม - [ 27 ธ.ค. 49 10:24:44 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เอาเงินไปฝากแบงค์อินโดท่าจะรวยแฮะ จากคุณ : DojoMAG - [ 27 ธ.ค. 49 10:50:35 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ความผิดพลาด ไม่ใช่เรื่องประชาสัมพันธ์มั้ง เพราะ ท่านเองก็ยืนยัน ว่าสิ่งที่ทำ ปรึกษาใครยังไม่ได้เลย มันเป็นความลับ แล้วจะมาประชาสัมพันธ์ อะไรล่ะครับ สิ่งที่เกิดขึ้น คือ มาตรการนั้น ขาดความเป็นสากล ครับ คุณเดินเข้าห้าง รปภ.มาขอตรวจกระเป๋าเงิน พบมามีเงินมา 1 หมื่น เขาพาคุณไปเคาน์เตอร์ บอกขอหัก 3000 เหลือ 7000 คุณเอาไปช้อปปิ้ง อีก 3000 ให้เลือก ว่าจะรับ วันนี้ หรือ วันหลัง รับวันนี้ คืน 2000 ริบ 1000 คืนวันหลัง ค่อยเอาไป 3000 เต็ม คุณตั้งใจจะซื้อของราคา 10000 เอาไปขายต่อ ถามว่า คุณจะพยายามซื้อของในห้างนั้น หรือ เอาเงินไปซื้อของห้างอื่น ห้าง ก็คือ ตลาดหุ้น นั่นแหละ หนำซ้ำ เมื่อประกาศยกเลิก ก็เท่ากับยอมรับ ในความผิดพลาดทั้งมวล ในข้อนี้ โดยดุษณี ถ้าคิดว่าทำถูก โดย ยอมรับผลเสียได้ ต้องเชื่อมั่นสิครับ มั่นคงให้ได้ แบบ มหาเธ่ร์ ของมาเลเซีย โน่น สากลเป็นไง ข้อยไม่สน ข้อยจะทำอย่างนี้ ตอนประกาศ ก็ยืนยันหนักแน่น ช่วงบ่ายของวันที่ 19 ก็ยังยืนยันเหมือนเดิม ช่วงค่ำ กลับคำ เฉยเลย นโยบายและมาตรการ ทางการเงิน จาก ธปท. นะครับ ไม่ใช่ การขานลูก ลง หรือออก ในการเล่นเทนนิส กีฬาสี โรงเรียน แล้วต่อไป ประกาศอะไรออกมา จะมีความน่าเชื่อถืออะไรอีก รมต.คลังก็มาจากการแต่งตั้ง ของรัฐบาลทหาร ที่มาจากการยึดอำนาจ ( สากลเขาก็ไม่ยอมรับ ในระดับหนึ่งแล้ว ) แล้วถ้าบาทแข็ง ต่อไปเรื่อยๆ จะได้อะไรต่อ ล่ะทีนี้ ตลาดหุ้น ลงเพราะต่างชาติขาย ก็เห็นๆกันอยู่ ถ้าสิ่งที่ประกาศ เป็นสากลและยอมรับได้ คงไม่เกิดกรณีนี้มั้ง ที่สำคัญ เสียรูปมวยไปเยอะ เป็น Case หนึ่ง ในประวัติศาสตร์ ทางการเงินไปแล้วล่ะ One day measurement of Thailand จากคุณ : . - [ 27 ธ.ค. 49 10:59:16 A:58.9.55.221 X: TicketID:127369 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ... ขอบคุณครับ จากคุณ : GABLIEL - [ 27 ธ.ค. 49 11:09:17 ]

ความคิดเห็นที่ 36 อ่านแล้วโหวต... ที่บอกยกเลิกอมยิ้มไว้ เนื่องจากหลายวันแ้ล้ว อมยิ้มยังไม่โดนยึด วันนี้มาอ่าน กระทู้นี้ขอโหวตให้เลยแล้วกัน -_-" เข้าใจอะไรดีขึ้น....แต่ขาดทุนไปแล้ว ขายไปแล้วทำไงได้! ถ้ามันดีที่สุดแล้วสำหรับประเทศในตอนนั้น ถือว่าผมตัดสินใจผิดบน ข้อมูลและความรู้น้อยของผมเองก็แล้วกัน...เศร้า! จากคุณ : 9hk - [ 27 ธ.ค. 49 11:18:12 ]

ความคิดเห็นที่ 37 หม่อมตีหัวเข้าบ้านไปแล้ว ยังมาตามแก้ตัวให้อีก ประวัติศาสตร์เปลี่ยนไม่ได้หรอก -108 จุก จากคุณ : spa162 - [ 27 ธ.ค. 49 11:29:14 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ได้ความรู้มากเลยครับ  ขอบคุณมากครับ จากคุณ : tonytui - [ 27 ธ.ค. 49 11:54:43 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : *John* - [ 27 ธ.ค. 49 12:06:48 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ผมไม่เชื่อว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ เพราะจากความรู้สึกและเหตุผลง่ายๆ ตามความรู้หางอึ่งของผม ทั้งการ forward ค่าเงินมันเป็นการฝืนธรรมชาติ และมาตรการฯ ก็... มีชิลี กะอาเจนตินา ใช้ ทำไมไม่ fixed ค่าเงินเลยละครับ (จีนทำได้ มาเลย์ทำได้ แต่ไทยทำไม่ได้?) เทียบกับใช้มาตรการนี้ พวกมาลงทุนตรงๆ ยังน่าจะแฮปปี้กว่า ผมรู้น้อย แต่เงื่อนไขประเทศและมูลค่าเงินดอลลาร์ ไม่เหมือนตอนปี 39 ผลกระทบ ทางเลือก มีการศึกษามาดีแล้วจริงหรือ? จากคุณ : ขอบฟ้า จันทรา ดาบ - [ 27 ธ.ค. 49 12:07:05 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณอีกครั้งครับ กำลังทยอยอ่าน ขออนุญาตลิงก์มาจากกระทู้แนะนำห้องหว้ากอนะครับ เป็นประเด็นมาหลายวัน จากคุณ : สามวาฯ - [ 27 ธ.ค. 49 13:00:38 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณที่อุตส่าห์เขียนตั้งมากมายให้อ่าน แต่ก็ขอแย้งว่ามันไม่ใช่วิธีการที่ดีที่สุดเพราะการทำช้าปล่อยให้คนไข้มีอาการมากแล้วถึงมาใช้ยาแรงค่าเงินที่ส่งออกที่ยอมรับกันก็รุ้กันทั่ว ณ ราคา 38 บาท เมื่อเริ่มต่ำกว่า38  เรื่องดอกเบี้ยควรออกมาก่อนเหมือนเป็นการประกาศให้รู้ทั่วๆกันไปเลยว่าฉันจะให้ยาแล้วนะ  นักลงทุนในตลาดเขายังประเมิณความเสี่ยงตรงนี้ได้บ้าง   ใช้มาตราการวันที่ 18 นั้น คนที่ขายไปแล้วขาดทุนมากมายตกเย็น ธปท. มาเปลี้ยนเพราะว่าต่างประเทศไม่รับแลกเงินบาท ทำไมไม่ใช้มาตรการวันศุกร์เย็น เสาร์อาทิตย์ พวกโบรคหรือกองทุนเขาสามารถวิ่งเข้าหาหรือประชุมเพื่อเปลี่บนแปลงอะไรบางอย่างได้ หรือทำความเข้าใจกับผลที่จะมีกับเงินก้อนใหม่เท่านั้น  มีน้องสาวและน้องเขยทำงานอยู่ใน ธปท. เจอกันคุยกันเรื่องนี้น้องสาวยอมรับว่าทาง ธปท.ก็ทำอะไรไม่รอบครอบเหมือนกัน แต่น้องเขยสุดแสนจะกวนบอกว่าไม่เห็นจะเสียหายค่าเงินมีสองทางมีคนได้กับคนเสีย พูดแบบนี้จิ๊ดขึ้นมาเลย ก็เพราะ ธปท.มีสมองบางคนที่คิดได้แค่นี้นักลงทุนรายย่อยถึงได้เสียหายแล้วเรียกคืนกับใครไม่ได้ด้วย ไม่อยากพูดกับน้องเขยต่อสมองแค่นี้คงไม่รู้ว่าคนถูกฟอร์ดเซลไป หรือขายไปเพราะคำยืนยืนไม่ทบทวนของผู้ว่า ธปท กับ รมต.คลัง แม้กระทั่งคนเล่นอนุพันธ์ก็เสียหายไม่น้อยเหมือนกัน  คิดแบบคนเห็นแก่ตัวนะถ้ามาตราการนี้ยังยืนยันไปอีกวันหลังตกไปแล้ว 108 จุด วันรุ่งขึ้นคงลบต่ออย่างน้อยก็ต้องมีอีก 10 เปอร์เซ็นต์ คนที่ขายไปและเสียหายคงมีความรู้สึกเจ็บน้อยกว่านี้  การกลับคำไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลที่กล่าวมาก้ไม่สามารถทำให้ความรู้สึกของต่างชาติหรือผู้ที่เสียหายดีขึ้น สำคัญที่สุดคือความเชื่อมั่นที่มองมาที่ประเทศไทย  ช่วงเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขอร้องให้กองทุนอย่าขายไม่ให้ตกใจถือเป็นดาบแรก    แต่วันนี้ดาบสองฟันลงมา คงไม่ต้องบอกว่าต่างชาจิจะกลับมาหรือเปล่า ถ้าเขาจะกลับก็ต้องไม่มี ผู้ว่า ธปท.คนนี้ หรือมีการเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจบริหารบ้านเมืองชุดนี้ แล้วค่อยกลับมาทบทวนการลงทุนในประเทศไทยใหม่ จากคุณ : ย่าทวด (ย่าทวด) - [ 27 ธ.ค. 49 14:27:44 ]

ความคิดเห็นที่ 43 สำนวนดีจังครับ ถึงยาวแต่ก็อ่านได้เพลินมาก จากคุณ : กะโหลกกับกะลา - [ 27 ธ.ค. 49 15:29:11 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณครับ จากคุณ : atz - [ 27 ธ.ค. 49 16:34:49 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณครับ อธิบายใหอ่านได้ง่ายๆเหมือนเดิม ถึงไม่เห็นด้วยทั้งหมด ยังงัยก็โหวตให้ครับ แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 49 17:39:55 จากคุณ : woot-wt - [ 27 ธ.ค. 49 16:38:44 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณครับ ถ้ามีอะไรแบบนี้อีกรบกวนวิเคราะห์ให้ได้อ่านกันอีกนะครับ เอาเรื่องมาตรการที่จะใช้หลังวันที่ 8 นี้ก็ได้ครับ จากคุณ : Pu'Chew - [ 27 ธ.ค. 49 17:26:24 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 27 ธ.ค. 49 17:50:40 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณครับ จากคุณ : Mr.X-ray - [ 27 ธ.ค. 49 19:15:22 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เยี่ยมครับ จากคุณ : เข้ามาโหวต (DARINGYOUSENDMEHOME) - [ 27 ธ.ค. 49 19:19:08 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ขอบคุณมากๆ คับ จากคุณ : เม่าน้อยหัดบิน - [ 27 ธ.ค. 49 19:44:21 A:125.25.15.223 X: TicketID:131179 ]

ความคิดเห็นที่ 51 โหวตให้แล้วครับ จขกท.เก่งกว่าผมมากจริงๆ...ฮา.. จากคุณ : พาชื่น - [ 27 ธ.ค. 49 20:24:30 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณครับ จากคุณ : iron (iron bridge) - [ 27 ธ.ค. 49 20:31:41 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ยอดเยี่ยมครับ ขอบคุณมาก เคยมีคนบอกผมว่าต่างชาติมองว่าค่าเสียโอกาสจากมาตรการแบงก์ชาติคือ 7% ไม่ใช่ 1.5% อย่างที่แบงก์ชาติมอง เพิ่งเข้าใจวันนี้เอง ขอบคุณครับ จากคุณ : ดาบผ่าลม - [ 27 ธ.ค. 49 21:30:08 ]

ความคิดเห็นที่ 54 thx you mak mak kub however, i dont think BOT do the right thing na :S จากคุณ : SiTZ - [ 28 ธ.ค. 49 00:31:58 ]

ความคิดเห็นที่ 55 เขียนดีครับ ความเห็นผม: พวกนักเก็งกำไรเปรียบเสมือนปลิงที่จะดูดเลือดเราเรื่อยๆ ถ้าเราออกมาตรการแรงสักหน่อย กำจัดมันได้ไปตลอดกาล ยังไงก็คุ้มนะครับ เหมือนให้ยาคนป่วย อาจแพ้ยาบ้างนิดหน่อย แต่ถ้ารักษาโรคเอดส์ได้ก็น่าทำครับ คนเล่นหุ้นบางคนก็เหมือนเด็กไม่ยอมกินยา ยาขมหน่อยก็ร้องไห้แล้ว ทั้งๆที่วันข้างหน้าโรคมันก็ต้องกำเริบขึ้นมาอีกอยู่ดี ฟองสบู่ราคาหุ้นน่ะไม่แตกวันนี้วันหน้ามันก็ต้องแตก จากคุณ : ธีรภัทร์2 - [ 28 ธ.ค. 49 01:13:26 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณครับ ทำให้ผมเข้าใจขึ้นเยอะเลย จากคุณ : landon - [ 28 ธ.ค. 49 07:51:36 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ยอดเยี่ยมมาก เข้าใจง่ายอ่านรวดเดียวจบโดยไม่เบื่อ มาบ่อยๆนะครับ จากคุณ : bleed - [ 28 ธ.ค. 49 09:10:25 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ขอคารวะเจ้าของกระทู้ 1 จอก จากคุณ : <<Ayumi>> - [ 28 ธ.ค. 49 09:49:50 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เห็นด้วยกับความเห็นที่ 42 ครับ แล้วก็ขอบคุณท่าน จขกท ด้วยครับ จากคุณ : บอสคุง (BosskunG) - [ 28 ธ.ค. 49 10:14:16 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ขอบคุณ มากครับผม สนุกดี ขอให้ จขกท เขียนกระทู้แบบนี้บ่อยๆ นะครับ ได้ความรู้ดี โหวตครับผม จากคุณ : เอ..ชีวิตมันขาดไรไปน๊า - [ 28 ธ.ค. 49 12:58:28 ]

ความคิดเห็นที่ 61 มาอ่านแล้วเข้าใจขึ้นค่ะ.. จากคุณ : aof_you - [ 28 ธ.ค. 49 13:33:49 ]

ความคิดเห็นที่ 62 สรุปว่า หม่อมอุ๋ย ออกไปๆๆๆๆ ใช่ปะเนี่ย เอ...มาผิด ทู้ ป่าวน้อ จากคุณ : catzila - [ 28 ธ.ค. 49 14:16:05 ]

ความคิดเห็นที่ 63 กระทู้ดีมาสาระอีกแล้ว ขอบคุณสำหรับความรู้นะคะ จากคุณ : -->+:+โชยุ&วาซาบิจัง+:+<-- - [ 28 ธ.ค. 49 16:39:12 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ขอบคุณทุกๆ ท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ และขอบคุณคำขอบคุณทุกๆ คำครับ และก้อขอบคุณมากๆ เลยครับ สำหรับมุมมองที่แตกต่าง เพื่อต่อยอดทางความคิด ไหนๆ เข้ามาแล้ว ขอตอบคำถามเท่าที่จะสามารถนะครับ คหที่ 32 ของคุณ พิชัยสงครามนะครับ (ขอบคุณมั่กๆ สำหรับรูปปลากรอบ ผมตกข่าวนะเนี่ย ผมเพิ่งรุ้ว่า อินโดเค้าลดดอกเบี้ยลดแล้ว เหลือต่ำกว่า 10 ถ้าไม่มีพี่นี่ ผมคงหน้าแตกเรื่อยไป _/l\_) "ทำไมแบงค์ชาติ คงอัตราดอกเบี้ย นโยบาย ไว้ สูง เกือบจะเท่าของ อเมริกา ละครับ มันมีผลประโยชน์ อะไร " บอกตรงๆ ว่าไม่ทราบเหมือนกันครับ (ไม่ฮา) ก่อนอื่นขอบอกว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ได้ขึ้นอยู่กับนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอย่างเดียวหรอกครับ แต่จะว่ามันไม่เกี่ยวเลยก้อไม่ใช่ (เพราะรูปมันฟ้องว่า relate กัน) แต่ใช่ว่าเค้าขึ้นเราต้องขึ้น เค้าลงเราต้อง ลงนะครับ สมมติฐานอย่างแรกคือ เศรษฐกิจเราค่อนข้างพึ่งพิงเศรษฐกิจสหรัฐ เพราะเป็นตลาดส่งออกใหญ่สุดของเรา เงินลงทุนก้อนใหญ่ก้อมาจากที่นี่ เศรษฐกิจเราเล็กมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เมื่อเทียบกับเค้า เพราะฉะนั้น การ จะกำหนดนโยบายอะไรก้อตาม เราต้องดูแรงลมภายนอกเป็นสำคัญ ว่าโลกเค้าไปทิศทางไหน โดยเฉพาะสหรัฐว่าไปทิศทางไหน เพราะเราเกี่ยวข้องกับเค้าเยอะ ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมเราต้องคงดอกเบี้ยให้เท่ากับสหรัฐ ผมตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน แต่เราสามารถคาดการณ์ได้ว่า ถ้าอัตราดอกเบี้ย (ทั้งที่เป็นตัวเงิน และที่เป็นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงละครับ แต่โชคดีที่ทั้งคู่ เราใกล้เคียงกับสหรัฐ เพราะอัตราเงินเฟ้อ เรากะเค้าใกล้ๆ กัน เพราะฉะนั้นคงไม่ยากใน การทำความเข้าใจ) ไม่เท่ากัน หรือห่างกันอย่ามีนัยสำคัญ อะไรจะเกิดขึ้น สมมตินะครับ สมมติ ถ้าดอกเบี้ยเราเป็น 1% ส่วนเค้าเป็น 5% พอจะเดาได้ไหมครับ อะไรจะเกิดขึ้น แฮ่ๆ เงินก้อไหลไปบ้านเค้าไงครับ เพราะบ้านเราไม่น่าลงทุน ผลตอบแทนต่ำ ค่าเงินก้อจะอ่อน เงินไม่ไหลเข้า ธุรกิจไทยก้อจะแย่ เพราะเราพึ่งพิงเงินลงทุนจากเค้าเยอะ ทำให้ธุรกิจเราต้องหันมากู้ในประเทศ ส่วน เงินออมเราก้อน้อย ทำให้ธุรกิจเราต้องแย่งกันกู้ ดอกเบี้ยก้อต้องสูงขึ้น ซึ่งถ้าเป็นงั้นเราต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอยู่ดีละครับ เพราะถ้าดอกเบี้ยนโยบายต่ำว่าตลาด จะทำให้โครงสร้างตลาดบิดเบี้ยว ก่อให้เกิดการ เก็งกำไรกันได้ (ถ้าว่าต่อไปเดี๋ยวยาว) ทีนี้ อีกเคสหนึ่ง ถ้าดอกเบี้ยเราสูงกว่าเค้ามากๆ ละครับ เราเป็น 10% เค้าเป็น 5% เหตุการณ์ก้อจะคล้ายๆ กับตอนฟองสบู่ไงครับ คนจะไปกู้ต่างชาติมาลงทุนในประเทศ การเก็งกำไรก้อจะตามมา สุดท้ายจุดจบเป็นอย่างไร ไม่ต้องเล่าซ้ำมั๊งครับ ^^" ปล. Bloomberg เสียเพราะเนตล่ม ผมเลยไปขโมยรูปมาจาก สศค. ขอบคุณไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : m_ple - [ 28 ธ.ค. 49 16:42:09 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ส่วน คห ที่ 40 ของพี่ ขอบฟ้า จันทรา ดาบ หนึ่งในกองกำลังยิด (COYS!! แอบคึก ^^) ที่ว่า "ทำไมไม่ fixed ค่าเงินเลยละครับ (จีนทำได้ มาเลย์ทำได้ แต่ไทยทำไม่ได้?) " เข้าใจถูกต้องแล้วครับ เรา fix ค่าเงินไม่ได้ เพราะ 1) เราไม่รู้ว่า ค่าเงินที่เหมาะสมควรเป็นเท่าใด 30 35  38 40 หรือ? เหมือนตอนที่เรา fix ไว้ที่ 25 ไงครับ มันแข็งเกินจริง จนทำให้กองทุนเข้ามาโจมตีค่าเงิน บทสรุปก้อกลายเป็นเหมือนช่วงปี 41 ไงครับ และช่วงปีที่ผ่านมา เราอ่อนเกินจริง จนโดนโจมตีเหมือนกันนั่นละครับ คือ มันยากในการกำหนดว่าค่าเงินที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไร เพราะเศรษฐกิจของเราอ่อนไหวมาก เพราะเราพึ่งพิงการส่งออกเยอะ ทำให้เงินไหลเข้ามาสูง ถ้าช่วงใดเข้ามาสูงมาก เงินก้อจะแข็ง แบงค์ชาติก้อต้องเข้าไปแทรกแซง ถ้าช่วงไหนเงินเข้ามาน้อย แบงค์ชาติก้อต้องไปแทรกแซงอีก ซึ่งแทรกแซงเนี่ย ไง๊มันก้อขาดทุน เราไม่มีเงินทุนขนาดนั้นครับ 2) แล้วไมจีนกะมาเลย์ทำได้ล่ะ? ก้อเพราะนอกจากที่จีนเงินเค้าหนา ประเทศใหญ่ เค้าแทรกแซงได้สบาย (ดูทุนสำรองจีนซิครับ มากที่สุดในโลก ส่วนหนึ่งก้อมาจากการแทรกแซงนี่ละครับ) แล้วเค้าโดนกดดัน เค้าก้อไม่รู้สึกอะไร (ส่วนเรา สหรัฐพูดอะไรทีนี่ ถูกครับท่าน ทันคับผม เหมาะสมคับพี่ ไรทำนองนั้น ก้อแหง๋ละ เรามันเล็กกระจิดริด นิดเดียวเอง เอาอะไรไปต่อรองเค้า) อีกเหตุผลหนึ่งที่เป็นจุดเด่นสำคัญที่เค้าทำได้คือ ภาคการเมืองเค้าแข็งแข็งครับ คืออยากได้อะไรได้ (เมืองไทยยังตีกันอยู่เลย) แล้วเค้าใช้อำนาจตรงนี้ในการควบคุมการไหลเข้าไหลออกของเงินครับ ยกตัวอย่างนะครับแบบ Demand & Supply สมมติว่า เรา fix ไว้ที่ระดับหนึ่ง (กำหนดเป็น 40 บาท/ดอลล่าร์ ละกัน)  ถ้าตรงนี้มันเป็นจุดสมดุล (equiribrium) นะครับ แสดงว่า ดีมาน ซัปพลาย ทั้งเงินบาท และดอลล่าร์ พอดีกันพอดี (งงไหมพี่ ^^) ทีนี้ เงินมันต้องมีไหลเข้าไหลออกอยู่แล้วใช่ไหมครับ แล้วไอ้ไหลเข้าไหลออกเนี่ย มันจะทำให้ จุดสมดุลเปลี่ยนไป (ซึ่งจะทำให้ 40 เนี่ย กลายเป็น 39 ไม่ก้อ 41) ทีนี้ ถ้าไม่อยากให้ค่าเงินมันเปลี่ยนไป เราก้อต้องควบคุมไม่ให้เงินมันไหลเข้าหรือไหลออกมาเกินไป ออกกฏหมายโน่นนี่ ควบคุมแบบเข้มๆ ไรทำนองนั้น (ขนาดเราออกแค่มาตรการ 19 ธค ยังโดนด่าเละเลย) ระบบการเงินไทย มันเปิดเสรีไปไกลกว่าสองประเทศนั้นไปเยอะแล้วครับ มันถึงได้เป็นแบบนี้ (มีคนวิจารย์เยอะเหมือนกันว่า ไปเปิดมากเกินไป ในขณะที่ตัวเองไม่พร้อม) การเปิดเสรีเป็นสิ่งดีนะครับ และเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไมได้ด้วย อย่างไรก้อตาม เราต้องพัฒนาตัวเองให้เข้มแข็งพอก่อนออกไปรบด้วยครับ นี่ถ้าไปเปิดเสรีทางการเงินอีก สงสัยเศรษฐกิจคงไม่เหลือแหง๋ๆ คิดว่าน่าจะช่วยให้มองภาพได้ดีขึ้นนะครับ ^^ จากคุณ : m_ple - [ 28 ธ.ค. 49 16:44:30 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ส่วนความคิดเห็นที่ 42 ของพี่ ย่าทวด โดนใจผมมากเลย ^^ แบงค์ชาติปล่อยให้คนไข้แย่ก่อน ถึงให้ยาแรง ความจริงคนไข้อาการออกตั้งนานแล้ว แต่ให้แค่พารามากินที่บ้าน พอคนไข้ไข้ขึ้นสูง ก้อจัดแจงผ่าตัดยกใหญ่ บอกเอาชัวร์ไว้ก่อนจะได้หายแน่ๆ ซึ่งอาจหายหรือเปล่ายังไม่รู้ผล เพราะเพิ่งผ่า แต่เจ็บแผลที่ผ่าชะมัดเลยตอนนี้ ^^" แม้ผมจะคิดว่า มันน่าจะเหมาะสมที่สุดตอนนี้ แต่ใช่ว่าผมจะเห็นด้วยกับความแรงของมาตรการนะครับ เพราะทางเลือกอื่นๆ ของเรามันตันจริงๆ แบงค์ชาติก้ออีกนั่นละ ปล่อยให้สถานการณ์มันยากสำหรับการแก้ไขแบบง่ายๆ แล้ว จากคุณ : m_ple - [ 28 ธ.ค. 49 16:56:01 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ภาคการเงิน (ทั้งตลาดเงินและตลาดทุน) ควรจะรับใช้ ภาคการผลิตที่แท้จริงครับ ... เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาสิเป็นของจริง ถ้าค่าเงินบาท แข็งขึ้น 1 บาท ... เงินได้ที่แท้จริงของไทยเรา จะหายไป ประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ครับ ถ้าโครงสร้างเราไม่แข็ง อ่อนแอแล้ว จะหวังอะไรกับเงินเก็งกำไร เงินกู้ระยะสั้น ... เรื่องแบบนี้ ต้องยอมเจ็บครับ ... จากคุณ : รถไฟสายใต้ - [ 28 ธ.ค. 49 18:24:58 ]

ความคิดเห็นที่ 68 Q: ไปเอาไอเดียแบบนี้มาจากไหนเนี่ย (-_-")a A: แฮ่ๆ มีสองประเทศครับ ที่เคยใช้ให้เห็นแบบจะๆ นั่นคือ ชิลีตอนปี 1991 และอาเจนติน่าปี 2005 นี่เอง --------------------- โห นโยบายมาเอา เยี่ยง อาเจนติน่า .. อ่านเจอแค่นี้ ก็หนาวเรี้ยว อีกหน่อย ก็คงได้เห็น อาเจนติน่าจูเนียร์ กันบ้างหรอก ---------------------------------------------------- สรุปๆ ไอไม่รู้ว่ายูทำไรอ่ะ ยูไปตกลงกันให้ชัวร์ๆ ก่อน ว่าอยากให้ไอมาเล่นหรือเปล่า แต่วันนี้ไอขอขายก่อนแล้วกัน เอาชัวร์ๆ (อีกอย่าง แค่นี้ไอก้อทำกำไรอักโขแล้ว เพราะไอรับมาถูก ฮา) ------------ ใช่ ถูกต้อง ฝรั่งขาดทุนกำไร แต่คนไทยเข้าเนื้อ น่ะ อ่ะ ถึงหุ้นจะดีดขึ้นมาก็ยังไม่ถึงทุนที่ซื้อมา จากคุณ : Green Turbo - [ 28 ธ.ค. 49 19:11:41 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ยืมภาพ หน่อยนะครับ จากคุณ : j_abac (j_abac) - [ 28 ธ.ค. 49 20:28:18 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ยืมภาพหน่อยนะครับ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : j_abac (j_abac) - [ 28 ธ.ค. 49 20:31:46 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ตั้งใจอ่านเรื่องนี้ทุกบรรทัดเลยครับ เพราะถือว่า วันนั้นผมเสียค่าวิชาไปหลายบาท จากคุณ : Register_AC - [ 28 ธ.ค. 49 22:50:36 ]

ความคิดเห็นที่ 72 Thank you very much, in deed. จากคุณ : jasmin rice - [ 28 ธ.ค. 49 23:51:19 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ขอขอบคุณครับ จากคุณ : Juste - [ 29 ธ.ค. 49 00:50:34 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ได้ความรู้อีกแล้วครับ จากคุณ : T-E-N-A - [ 29 ธ.ค. 49 01:38:04 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ขอบคุณจขกท.ม๊ากมากเลยค่ะ อธิบายได้กระจ่างมากเลยแล้วก็อ่านสนุกด้วย เรามีความรู้เรื่องหุ้นและการเงินน้อยนิด ปกติก็อ่านผ่านๆเพราะไม่ค่อยเข้าใจ แต่อ่านกระทู้นี้ทุกบรรทัดเลยค่ะ นับถือๆ จากคุณ : เม - [ 29 ธ.ค. 49 03:49:06 A:75.32.73.62 X: TicketID:077556 ]

ความคิดเห็นที่ 76 .. ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากครับ ชัดเจน แจ่มแจ้ง เข้าใจง่าย มากมาย .. จากคุณ : >>To Be in L [O] V [E]<< - [ 29 ธ.ค. 49 05:22:10 ]

ความคิดเห็นที่ 77 Thank you very much krub. ^^ จากคุณ : Muggles - [ 29 ธ.ค. 49 11:56:00 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ขอบคุณมากครับ เยี่ยมจริงๆ และขอโหวต จากคุณ : ว่าวน้อยลอยชมสวน - [ 29 ธ.ค. 49 14:55:19 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ขอบคุณสำหรับ บทความ แต่อยากจะเสนอแนะ ไปยังแบงค์ชาติ  หน่อยนึง เรียนมาก็เยอะ เด็กทุนคิง ทั้งนั้น ไม่ทราบว่ารู้จักตลาดเก็งกำไรหรือไม่  ในตลาดเก็งกำไร จะมีผู้เล่น อยู่ 2 ฝ่าย  เสมอ    ฝ่ายที่มองสูง กับ มองต่ำ  ใครมองถูก  คือคนที่ได้กำไร    อัตราแลกเปลี่ยคือ ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า กับ กองทุนเงินต่างๆ  เขาเป็นผู้กำหนด  ไม่ใช่ แบงค์ชาติ เป็นคนบอกว่า 35 อ่อนไป หรือแข็งไป  เพราะถ้าคุณบอก นั่นแหละคุณได้แทรกแซงแล้ว  เกมส์นี้แข่งกันระหว่างแบงค์ชาติ กับ กองทุนหัวเห็ดพวกเก็งกำไร ทั้งหลาย    ยกที่แล้ว รอบก่อน โดนไป กี่แสนล้าน   จำกันได้หรือไม่    รอบนี้  หาญกล้า จะไปขึ้นสังเวียนอีกรอบ      แค่คุณคิดแทรกแซง  ก็เท่ากับว่าคุณ คิดเก็งกำไรแข่งกับเขาแล้ว    เพราะเขารู้ว่า คุณเล่น เขาเลยค่อยๆ แหย่ให้คุณเล่น เรื่อยๆ  กว่าจะรู้ตัว ก็กินหน้าตักไปเยอะ สะแล้ว คราวนี้  เลยต้องลงสนามเต็มตัว    บอกได้คำเดียวว่า แบงค็ขาติ โง่ และอ่อนหัดมาก  ที่กระโดดลงไปเล่นกับเขา โดยไม่รู้ตัว    แล้วก็ไม่เห็นต้องคิด  ว่า ถ้าเราเป็นคนดู จะเลือกแทงฝ่ายไหน จากคุณ : หมอเสดสาด - [ 29 ธ.ค. 49 16:44:40 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ผมว่า ความคิดของคุณ รถไฟสายใต้ มีประเด็นครับ เพราะส่วนตัวไม่เห็นด้วย "ภาคการเงิน (ทั้งตลาดเงินและตลาดทุน) ควรจะรับใช้ ภาคการผลิตที่แท้จริงครับ ... เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาสิเป็นของจริง" ตลาดเงิน ตลาดทุน ภาคการผลิต จริงๆแล้วมันก็สัมพันธ์กันหมดครับ ตลาดเงินและตลาดทุนสามารถเป็นตัวชี้นำภาคการผลิตได้ด้วยซ้ำ เพราะภาคการผลิต ต้องอาศัยสัญญาณของตลาดเงินและตลาดทุน เพื่อจะได้ทราบ demand และ supply ถ้าประเทศเรามีศักยภาพในการผลิตสินค้า A ดีกว่าประเทศอื่นๆ เงินทุนก็จะไหลเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นจากการลงทุนของต่างชาติ หรือ ภายในประเทศ แต่ถ้ามีมาตรการควบคุมการไหลเข้าออกของเงินเกินความจำเป็นแล้ว โอกาสที่จะได้ผลิตสินค้า A ก็ลดลง ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณตะบี้ตะบันส่งออก อยู่อย่างเดียวโดยไม่สนใจที่จะไปลงทุนนอกประเทศ และแก้ปัญหาค่าเงินด้วยการที่ตลาดทุนและตลาดเงินต้องเสียสละ เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ตลาดนอกประเทศถดถอย ประเทศคุณก็เข้าวิกฤติ อย่าลืมนะครับ ปี 50 นี้ เขาคาดการณ์แล้วว่า เศรษฐกิจเมกาจะแย่ลง ค่าเงินดอลล์ยังจะอ่อนตัวอยู่ ถ้าประเทศเราจะมัวยึดติดกับตลาดส่งออกแล้ว เศรษฐกิจเราจะต้องพึ่งภายนอกมากขึ้น แทนที่จะเป็นเศรษฐกิจที่พึ่งตนเองได้ ผมไม่รู้ว่า นี่คือการขัดหลักการเศรษฐกิจพอเพียงหรือไม่ จากคุณ : อวิรุืทธ์ - [ 29 ธ.ค. 49 17:02:59 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ขอบคุณมากๆ เลยขอให้เขียนอธิบาย แบบนี้อีกเรื่อยๆ นะครับ เข้าใจง่ายดี จากคุณ : Jino_base - [ 29 ธ.ค. 49 17:07:19 ]

ความคิดเห็นที่ 82 เงินทองไม่ใช่ของมายา แน่นอนครับ การที่คุณผลิตสินค้าส่งออกไป เป็นการเอาความเหน็ดเหนื่อยของคนไทย และทรัพยากรในประเทศไปประเคนให้ประเทศอื่น เพื่อจะได้เงินจากต่างชาติมา คุณก็หวังที่จะนำเงินนั้น ไปซื้ออะไรสักอย่างจากต่างชาติ เพราะถ้าคุณส่งออกอย่างเดียว ไม่นำเข้า ไม่ลงทุนนอกประเทศ คุณก็เหมือนกับเป็นขึ้ข้าต่างชาติ ต้องผลิตสินค้าและบริการไปให้เขาเพื่อแลกเศษกระดาษ มาเก็บไว้เฉยๆ ถ้าคุณบอกว่า ภาคการเงิน ต้องเสียสละ ก็เหมือนกับว่า คุณตะบี้ตะบันจะเป็นขี้ข้าต่างชาติอยู่เท่านั้น เงินต่างชาติที่ได้มาเอาไปทำอะไรไม่สน ขอให้ได้รับใช้คนต่างชาติ จากคุณ : อวิรุืทธ์ - [ 29 ธ.ค. 49 17:13:24 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ขอความเห็นหน่อยครับ ว่าถ้าเป็นรัฐบาลชุดที่แล้วเขาจะทำยังไงครับ จากคุณ : aorphow - [ 29 ธ.ค. 49 23:37:20 A:10.0.21.37 X:202.57.152.92 TicketID:031814 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ความเห็นผม มันต้องดอกเบี้ยก่อน เพราะการลงทุนกับเก็งกำไร มันใช้เวลาต่างกัน สกัดเก็งกำไร ทำได้ทันทีต้องดอกเบี้ย ที่ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา แต่หลักๆ ที่เราต้องปรับก็คือ เงินดอลล์จะกลายเป็นกระดาษนี่สิ มันต้องเกิดการปรับตัวครั้งใหญ่  เพราะความไม่สมดุลย์ของยูเอส ความเห็นเล็กๆนะครับ จากคุณ : เลขสาม - [ 30 ธ.ค. 49 02:35:37 ]

ความคิดเห็นที่ 85 คิดอยากจะพอเพียง มันต้องทำให้ประชาชนทุกคนรวมถึงคนยากไร้เพียงพอก่อน ไม่ใช่เรามีกินมีฐานะแล้วเราบอกว่าเราพอเพียงแล้ว แต่คนจนที่ยังขาดปัจจัย4ซึ่งเป็นพื้นฐานของชีวิตยังไม่มี แบบนี้เราก็พูดได้ แต่คนจนจะยอมหรือครับ แค่มีข้าวจะกินให้ครบมื้อทั้งครอบครัว บ้านที่จะซุกหัวนอนเป็นของตนเอง เสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนเพราะสกปรกใส่มา7วันแล้ว หรือการเข้ารักษาพยาบาลที่พอเพียงไปจนถึงพื้นที่ชนบททุรกันดาล ถ้าทุกคนได้พื้นฐานที่พอๆกันแล้วเมื่อนั้นความพอเพียงส่วนใหญ่ก็จะเริ่มเกิดขึ้นมาได้ครับ โลกแห่งจินตนาการกับโลกแห่งความจริงมันไม่สวยหรูเหมือนกันได้หรอกครับ ตราบใดที่การกระจายรายได้ยังไปไม่ทั่วถึง ทุกอย่างยังต้องรวมศูนย์ในกรุงเทพทั้งเรื่องเศษฐกิจ สังคมและการเมือง ทุกอย่งเลยวิ่งไปรวมกันอยู่ที่นั่น ลองให้มันกระจายไปทั่วๆ เมื่อนั้นประชานก็จะค่อยๆมีรายได้และสิ่งต่างๆที่ดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเจน จากคุณ : ผู้ที่ยังขาดแคลน - [ 30 ธ.ค. 49 10:07:05 A:203.114.109.224 X: TicketID:128313 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ทำยังไงให้นักลงทุนจริงๆเข้าครับ? แล้วสกัดพวกเก็งกำไรค่าเข้ามาฟันคนไทยฉับๆแล้วหนี ปล่อยให้คนไทยเจ็บตายขาดทุนแทน เหมือนสงครามล่าอาณานิคมในสมัยก่อน พวกหัวแดงมาขนทรัพยากรเงินทองกลับเหมือนปล้นประเทศที่อ่อนแอกว่า  จนกว่า  ไม่มีทางสู้   รอจังหวะอ่อนแอตอนไหน  ก็เล่นไม่เลิก ฝรั่งเฮงสวย เปิดเสรี100%การเงิน  เราก็ตายเห็นๆซิครับ   ข้อมูลที่อธิบายมาเยี่ยมจริงครับ ยังไงก็ขอให้ประเทศอยู่รอดครับ แต่ทำไมเลี้ยงไข้ไว้นานเหลือเกิน  ใกล้ตายค่อยส่งเข้าห้องผ่าตัดใหญ่  เดี้ยงพิการ  ขาเป๋ไปแล้ว เป็นคนไข้โดนฟ้องเละไปแล้วนะคุณหมอ แบงค์ชาติ จากคุณ : 99life - [ 30 ธ.ค. 49 20:10:49 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ดีจริงๆ ได้สาระมั่กๆ จากคุณ : คุณฉงน - [ 30 ธ.ค. 49 21:01:29 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ส่งการ์ดอวยพรปีใหม่สวยๆ ด้วย Flash E-card ที่ www.linkgfx.com จากคุณ : WWW.LINKGFX.COM - [ วันสิ้นปี 01:42:25 A:125.25.205.169 X:212.138.64.173 TicketID:135292 ]

ความคิดเห็นที่ 89 เฮ้อ ตกลงที่ทำไป ไม่ผิด 555 เอาว่าถ้าเป็น รบ ที่แล้ว คงโดนด่าว่าทุบหุ้น ช้อนซื้อเอง *(&*^&*&*&(*( นี่โห เป็นคนดีทุกอย่างจริงๆ หุหุ มีเหตุผลรองรับดีจริงครับ   แต่ "ผมไม่เชื่อ"  ว่ามีเหตุผลแค่นี้ แค่นั้นแหละ ใ:-)ไปกันมั่งหละ งวดนี้ หุหุ จากคุณ : Zatan - [ วันสิ้นปี 22:48:22 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ไม่เบื่อครับ มา post บ่อยๆนะครับ เห็น webblog ใช้ชื่อ whitehartlane ซะด้วย สงสัยแฟนไก่เหมือนผม อิอิ จากคุณ : Muffin - [ วันปีใหม่ 16:02:14 ]

ความคิดเห็นที่ 91 เข้ามาลงชื่อค่ะ จากคุณ : คะน้า (KaNa Naka) - [ 2 ม.ค. 50 18:06:52 ]

ความคิดเห็นที่ 92 30 ธค.49 .... ปัญหาที่แท้จริงของ ธปท. เมื่อวันที่ 19 ธค.ที่ผ่านมา ธปท.เห็นว่า มีนักลงทุนต่างชาติพยายามเข้ามาปั่นราคาเงินบาท จึงได้ออกมาตรการให้กักเงินนำเข้าจากต่างประเทศไว้ 30% ซึ่งมีผลทำให้ตลาดหุ้นแทบพัง และมาจนถึงวันนี้ ธปท.ก็ยังยืนยันว่ามีคนจ้องจะโจมตีจริงๆ โดยจะดันอัตราแลกเปลี่ยนไปจนถึง 29-30 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ ครับ, ผมจะยังไม่ขอวิจารณ์เรื่องข่าวดังกล่าว แต่จะขอชี้ถึงข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ข้อมูลที่ผมมองเห็นก็คือ ในประวัติศาสตร์ของไทยที่ผ่านมา ดุลชำระเงินของเราเป็นบวก แต่ปีนี้เรากลับเสียดุลไปกว่า 300,000 ล้านบาท นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น และเงินกว่า 300,000 ล้านบาทนั้นมันเป็นก้อนมหึมา มันเทียบกับการส่งออก(1,500,000 ล้านบาท)แล้ว เป็นถึง 20 เปอร์เซนต์ เรื่องนี้ ถ้ามองดูประเทศให้เหมือนตัวบุคคล มันก็คือคนที่ใช้จ่ายเกินตัวไปถึง 20 เปอร์เซนต์ของรายได้ คนอย่างนี้มันไม่น่าจะมีชื่อเสียง หรือเป็นที่เชื่อถือของใครได้ ถ้าคิดจะไปกู้เงินใครมาใช้ มันก็จะไม่มีใครให้กู้ ครับ, คำถามของผมก็คือ ปีนี้ประเทศไทยใช้เงินเกินตัว ค่าของเงินบาทจึงน่าจะลดลง แล้วทำไมต่างชาติจึงคิดจะดันค่าเงินบาทให้เพิ่มขึ้น? หรือจะถามอีกทางหนึ่งก็คือ ต่างชาตินี่มันบ้าหรือเปล่า ที่พยายามกระทำในสิ่งที่สวนทางกับข้อมูลที่ผมชี้? โอกาสที่มันจะปั่นราคาเงินบาทขึ้นไปจนถึง 29-30 บาทต่อดอลล่าร์นั้นจะมีสักเท่าใด? ครับ, ต่างชาตินั้นไม่บ้าแน่นอน และเขารู้ว่าเขามีโอกาสปั่นได้ แต่อาจเป็นคนละทิศทาง เหตุผลก็คือ เมืองไทยกำลังเข้าสู่วิกฤติเป็นครั้งที่สอง เพราะสภาวะการเมืองไม่ปรกติ ค่าเงินบาทผันผวน....ถ้าเขาทำท่าบีบให้อัตราแลกเปลื่ยนลดลงจากปัจจุบัน การส่งออกก็จะลดหนัก แล้วปีหน้าการขาดดุลชำระเงินจะเพิ่มขึ้น สมมุติว่า ปีหน้า(2550) ขาดดุลอีก 500,000 ล้านบาท ไทยก็ต้องกู้ต่างชาติอีกมากมาย ถึงตอนนั้นกระแสน้ำก็ก็จะใหลทวนกลับ อัตราแลกเปลี่ยนจะไต่ขึ้นเป็น 35,36,37,....50 แล้วไทยก็จะขาดทุนจากการต่อสู้เพื่อรักษาค่าเงินบาทเป็นแสนล้านบาท นั่นละที่ต่างชาติเขาเก็งกันมากกว่า ครับ, จริงๆแล้ว ธปท.ควรจะหันมาดูเรื่องขาดดุลชำระเงินมากกว่า มันเป็นปัญหาที่แท้จริง และใหญ่กว่ามาก ธปท.ไม่จำเป็นที่จะไปออกมาตรการอะไรเลย เงินบาทมันต้องลดค่าอยู่แล้ว หลงกลต่างชาติคราวนี้ สงสัยว่าจะขาดทุนอีกหลายแสนล้าน http://www.drpunya.com/news.htm จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 2 ม.ค. 50 18:57:20 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ขอโทษนะครับ ... ผมขออนุญาตถามเรื่องนึง ... ผมสงสัยมานานแล้ววววววว ถามว่า ... 1.) ... ปกติทุนสำรองของ ธปท ถือเป็น Position ที่ต้องทำ Hedging ด้วยไหมครับ 2.) ... แล้วถ้าต้องทำ Hedging  แล้ว ธปท ไปพ่วงกับธุรกรรมไหนเพื่อ Square Position ครับ 3.) ... แล้วพอจะทราบไหมครับว่าประเทศอื่นเขาบริหารทุนสำรองแบบนี้กันยังไงครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ .... จากคุณ : ฟ้าคำนวณ - [ 4 ม.ค. 50 17:35:27 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ครับแวะมาอ่าน ขอบคุณเจ้าของกระทู้ ที่พยายามจะชี้แจง แก้ต่างแทน มาตรการที่ผมอยากให้ฉายาว่า "หมากเก็บโลกตะลึง" อธิบายคือกติกา ที่ยึดข้าคือความถูกต้อง ???ไม่เข้าใจแรงเฉือยของทุนนิยม แบบเดียวกับแนวคิดเรื่อง"เศรษฐกิจพอเพียง" คือการเอาอัตตาลงไปขวางแรงเฉื่อยของการขับระบบนิเวสน์ตามทุนนิยมโลกเกินไปแบบ แนวคิดสุดโต่งลงทางแคบ ผมเข้าใจว่าทุนนิยมนั้นมีทั้งด้านมืดและสว่าง แต่การขวางนั้นเท่ากับปิดทุกด้าน(เพิ่มแรงต้านและแรงเสียดทานในระบบนั้นคือปัจจัยความเสี่ยงความเชื่อมั่น) ที่มากกว่าหักคมมีดด้วยเข่า การที่เราจะปรับตัวเข้าหาสังคมโลกที่เราไม่ได้เป็นคนอกแบบ แต่เขาขับแรงเฉื่อยมาแบบนั้น ต้องใช้"มัชฉิมาทาง" หรือความ"พอดี" ไม่ใช่สุดโต่งลงทางแคบแบบ "สมถะ"(พอเพียง) ไปเถียงหรือขวางแบบหักคมมีดด้วยเข่าแบบนั้น ปัจจัยที่อ่อนไหว ที่สุดในตลาดแบบนี้คือความน่าเชื่อถือลเชื่อมั่นหรือ"ความเสี่ยง" การกำหนดกติกาแบบ"หมากเก็บโลกตลึง"นี้คือการขวาง90 องศา แม้แต่กติกามวยไทยที่เป็นอัตลักษณ์ไทยใหญ่กว่าอัตตา ("หมากเก็บโลกตะลึงอันนี้")ที่คนทั่วโลกยอมรับ ทั่วไป แต่ทำไมยังไม่ไปโอลิมปิก ในคือมาตรฐานสากลแต่นี่ขนาด"หมากเก็บโลกตะลึง" เข้าใจว่าเราจะต้องยืนยันความถูกต้องของตัวตนเราให้เร็วที่สุด  เรารู้ว่าอะไร?ถูกผิด,มหันตภัยการเก็งกำไร ที่เข้ามานั้นเรารู้รับรู้สัญญานตรงนั้นชัดแล้ว เหมือนน้ำเหนือปีนี้ที่ไหลบ่าลงมา พยากรณ์ได้ว่าจะเกิดวิกฤตน้ำ ท่วมพันปี แนวทางแบบกระสอบทรายหรือ ? ล้น เสียงบเปล่าๆ แบบการต่อสู้เงินบาทสมัยนั้น น้ำเชี่ยวแบบนั้นเอาเรือไปขวาง(30%)หรือ จม??? หรือเรือแตกกลางลำ แรงเฉื่อยระดับน้ำท่วมพันปีนั้น??? แนวคิดแบบโครงการแก้มลิง นั้นคือแอพซอร์พกรรมลดแรงปะทะทอนความเชี่ยวกระจายแรงเฉื่อยที่มหาศาลนั้นไปยังการวางทางไหลของน้ำอย่างเหมาะสม ทอนชั้นบรรไดของน้ำเหนือ ด้วยมาตรการเชิงซ้อนด้วยการการสร้างมาตรการเขื่อนหรือฝ่ายแม้วทอนทางไหลของน้ำ ไม่ใช่ไปตั้งด่านเดียวด่านสุดท้าย ด้วยที่มั่นสุดท้ายคือกรุงเทพฯแบบ 30% วัดกันแบบ ทุบหม้อข้าว หม้อแหล่งทุนตลาดทุนแบบนั้น ด้วยการแจวเรือลำเล็ก สุพรรณหงส์ที่สวยงามสูงส่ง แต่ใช้ได้แค่ลุมน้ำเจ้าพระยา แต่กับมหาสมุทธรโลกาภิวัฒน์โลกนั้น เราจะแจวข้ามไปถึงเวียตนามหรือเปล่าไม่รู้ จะไสเอาอัตลักณ์ แบบข้าคือตัวข้าคือความถูกต้องไทยไปขวางทางน้ำไหล โดยมั่นใจอย่างเดียวว่าเราทำในสิ่งที่ถูกต้องทุกอย่างต้องหลบเรา  มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก??? เพราะระบบนิเวสน์โลกเราไม่ได้เป็นคนออกแบบและข้อจำกัดคือเราไปออกแบบกรรมคนอื่นไม่ได้ แต่สิ่งที่จะประณีประณอมสุดคือใช้ปรัชญา"ความพอดี" (สมดุล)หรือมัชฉิมาทางไม่ใช่"พอเพียง" (สมถะ) ลงไปไปเถียงหรือตอบโจทย์นี้แบบขวาง 90องศาแบบนั้น พังเจ้งอย่ามั่วท่านปรีดียาธร??? จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 5 ม.ค. 50 20:18:07 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ยาไม่จำเป็นต้องแรงหรอกกับเคสนี้ แค่เข้าใจหลักมัชฉิมาทางกับปัญหา นั้นคือความสมดุลหรือ"พอดี" บริหารจัดการกับปัญหาน้ำท่วมพันปีอย่างใช้"ปัญญา"ไม่ใช่"อัตตา เข้าใจธรรมชาติของน้ำ บริหารจัดการแบบขั้นบรรได ทอนด้วยเขื่อน(ในระยะยาว) ผ่านการชี้แจงให้โปร่งไสหรือทำความเข้าใจและให้เป็นที่ยอมรับในกติกา กลาง ไม่ใช่อยู่ดีดีไปกำหนดกติกาแบบ"หมากเก็บโลกตะลึง"แบบนั้น คนเล่นคนไทยเองยังงง ต่างชาติที่ต่างเป้าหมายต่างอัตลักษณ์ออกไป เขาก็น่าจะงง กติกา นั้นต้องไม่ขวางเกินไป  หรือจะใช้ยาแรงก็ต้อง ตรวจสอบที่มาที่ไปสร้างความมั่นในแบบใบประกอบโรคศิลป์ ไม่ใช่อยู่ๆก็สร้างกติกาอะไรก็ไม่รู้ เช่นขับรถห้ามเกินเศรษฐกิจพอเพียง ความเสี่ยงคือความไม่เข้าใจ,ไม่รู้ว่าขับยังงัยคนไทย90%เองยังงง? เพราะมันไม่มี ไม่ใช่ว่าถูกหรือผิด?แต่มันไม่มีในศาสตร์นี้ ทุกวันนี้เตือนแล้ว หลายๆเตือนแล้ว ว่าอย่าถวายโอสถพิษเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ถ้าจะเอาศิลธรรม คุณธรรมลงไปในศาสตร์นี้เขา ก็ใช้ให้ถูกเครื่องมือ นั้นคือ"ความพอเพียง"ไมใช่เศรษฐกิจพอเพียง เอาง่ายๆคำนี้มีในพจนาณุกรม ไหม?   มีข่าวว่าจะถึงขนาดเปลี่ยน ในพจนาฯ มั่วกันไปใหญ่แล้ว??? หรือใช้หลักธรรมมาภิบาลเอาเครื่องมือตรงนี้ที่เป็นสากลให้ชัดเจนให้ถูกต้องก่อนที่จะไปสร้างกติกาแบบหมากเตะโลกตะลึงแบบ นั้น อย่ามั่ว??? อ่านแผนที่มั่วๆ แบบ จากสนามหลวงไปราชดำเนินผ่านๆฟ้า พระบรมมรูปทรงม้า แล้วหลังจากนั้นตะวันตกดินค่ำไหม?(เศรษฐกิจพอเพียงไหม?) ทุกคนก้รู้ว่าตะวันตกดินมันมืดและค่ำ แต่คนอ่านแผนที่นำคนอื่นกำหนดสารพัดกติกาให้คนอื่นเดินตามและจะ สร้างผลกระทบมากมายให้คนอื่นรับผลกลางนั้น แต่ตั้งคำถามแบบนี้??? นำแบบแม่ปูนำลูกปูแบบนี้จะพากันเดินตรงได้อย่างไร? โอเคถ้าแค่เอาเป็นความสมัครใจแบบเศรษฐศาสตร์ทางเลือกเหมือนเดิมไม่กำหนดลงไปในแผนที่หลักให้คนอื่นเดินตามแบบปูนี้ ไม่เป็นไรใครอยากปูอยากเป็ด อยากเดินตรงก็ตามใจ แต่นี้เอาหลักศิลธรรมความพอเพียงมากำหนดลงไปในแผนที่เป็นหลักเศรษฐกิจพอเพียง ที่แนวคิดทางศิลธรรมศาสนาไม่มีหน้าที่จับใครติดคุกแค่ชี้ถูกชี้ผิดส่วนอื่นเป็นหน้าที่ของอีกศาสตร์เช่นนิติเศรษฐศาสตร์  อย่ามั่วแบบนี้ ทักไปหลายคนแล้วสงสัยจะ???แล้วโถ่ประเทศชาติ จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 5 ม.ค. 50 20:42:55 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ลงชื่อว่าเข้ามาอ่านค่ะ :) จากคุณ : ไร้นาม - [ 6 ม.ค. 50 14:29:52 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ขอบคุณมากๆครับสำหรับข้อมูล ก็พอเข้าใจแบงค์ชาติขึ้น แต่ ตลาดลงขนาดนี้ก็ไมไหวเหมือนกันนะครับ จากคุณ : ง้วนป้อ (ง้วนป้อ) - [ 7 ม.ค. 50 00:16:43 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ตอบคุณ อวิรุืทธ์  ... นะครับ ยินดีที่ได้ ถกความเห็นด้วยครับ ผมเห็นด้วยครับ ที่ ภาคการผลิต-การบริการ และ ตลาดเงิน ตลาดทุน มีความสัมพันธ์กัน อย่างใกล้ชิด และต้องบริหารทุกส่วนให้ สอดคล้อง และสนับสนุน ซึ่งกันและกันครับ แต่ ในบางครั้งการเติบโตอย่างบิดเบี้ยวของตลาดหนึ่งกลับ ไม่ได้สนับสนุนอีกตลาดหนึ่ง ดังนั้น เลยต้องมีมาตรการสักชุด หรือ หลายชุดออกมาเพื่อแก้ไข ความบิดเบี้ยวนี้ครับ เช่นตลาดหุ้น  ซึ่งมองว่าเป็นแหล่งระดมทุนสำคัญของผู้ประกอบการ-ธุรกิจที่สำคัญของประเทศ เพื่อ นำเม็ดเงินเหล่านี้ เข้ามาขยายงาน สร้างประสิทธิภาพในการแข่งขัน โดยเนื้อแท้แล้ว นักลงทุนตลาดหุ้นต้องมองถึงศักยภาพ และแนวโน้มธุรกิจของบริษัท โดยหวังผลตอบแทนเป็นเงินปันผล  และมูลค่าบริษัทในระยะยาว แต่ด้วยความบิดเบี้ยวบางประการ เช่น การเก็งกำไร ผสมกับเงินร้อนจากต่างประเทศ ทำให้แนวทางเหล่านี้ดูเปลี่ยนไป เราจึงเห็น บริษัทที่ไม่มีอนาคตแท้จริง หรือ มีเพียงภาพหลอก ดูดี แต่ทำเงินจริงๆไม่ได้ กลับมีราคาหุ้นสูงๆเอา ในระยะเวลารวดเร็วแบบไม่มีเหตุผล พอเจ้ามือปล่อยของหมด ... หุ้นก็ตกลงไปหลายเท่า ยังผลให้นักเก็งกำไร หรือนักลงทุนที่ไม่รู้ข้อมูล ขาดทุนกันหนัก ... เปรียบเหมือน เงินร้อนระยะสั้นจากต่างประเทศเช่นกัน จริงอยู่เขาเข้ามาลงทุนเพราะเชื่อถือธุรกิจในประเทศเรา  แต่ด้วยเม็ดเงินมหาศาล ที่ไม่หวัง การลงทุนระยะยาวเหล่านั้น  ทำให้เกิดเงินเฟ้อหลอกขึ้นมา อะไรคือเงินเฟ้อหลอก ... ก็คือของแพงขึ้น เพราะเงินมันสะพัดขึ้น คนเลยแย่งซื้อ สินทรัพย์ต่างๆกัน โดยเงินที่เพิ่มขึ้นนั้น ไม่ได้มาจากผลตอบแทน หรือ ศักยภาพที่แท้จริง แต่มาจากการกู้ยืม ... หรือ เก็งกำไร ซึ่ง การเติบโตแบบนี้ มีผล 2 ส่วนคือ 1.ทำให้ภาคประชาชน มีภาระค่าใช้จ่ายเงินเฟ้อสูงขึ้น ทั้งที่รายได้แท้จริง กลับเพิ่มขึ้นน้อยว่า  ยกตัวอย่างเช่น ราคาอสังหาริมทรัพย์ หรือ ราคาหุ้นบางตัว  ราคาไม่สะท้อนผลประโยชน์แท้จริง เช่น คุณซื้ออาคารหลายสิบล้าน แต่กลับปล่อยเช่า ได้น้อยกว่า เก็บกินดอกเสียอีก หรือ หุ้นที่ปันผล ได้น้อยกว่ามูลค่ามาก และมูลค่าบริษัทที่แท้จริงก็น้อยกว่าราคาตลาดไปไกลแล้ว 2.ทำให้ ภาคธุรกิจ นักลงทุนที่ได้ อานิสงค์จาก ภาวะเฟ้อเหล่านี้ วางแผนการบริหารเงินผิด และไม่สอดคล้องกับพื้นฐานที่แท้จริง  เพราะถูกภาวะเงินเฟ้อเหล่านี้หลอกตาเอาไว้  ...  จึงเกิดภาวะฟองสบู่ขึ้นมาเพราะมองตลาดผิด ดังนั้น ผมจึงสนับสนุนว่า เราควรเร่งสร้างและพัฒนา ภาคการผลิต-บริการ ซึ่งสร้างเม็ดเงินจริงๆให้กับประเทศ ภายใต้การสนับสนุนของเงินลงทุน จากตลาดเงิน ตลาดทุน ที่มีคุณภาพครับ เพราะถ้าเม็ดเงินร้อน ที่ไม่มีคุณภาพเข้ามา ... มันช่วยให้เราดูดี ในระยะสั้น แต่ลดศักยภาพของภาคเศรษฐกิจจริง ไปไม่น้อยครับ   เพราะถูกบิดเบือนไปหมด ... และพอความไม่สมดุลกันมีมาก จนตลาดรับไม่ได้ ก็เกิดภาวะ เศรษฐกิจตกต่ำ ต้องปรับฐานกันอย่างรุนแรงเสมอไปครับ ผมไม่ได้ปฎิเสธเงินลงทุนต่างประเทศครับ ... แต่เห็นว่า เราก็ควรเลือกคุณภาพของเงินลงทุนด้วยครับ ไม่ใช่เปิดรับหมดโดยไม่มีกติกา และไม่เอาผลประโยชน์ของคนทั้งชาติเป็นตัวตั้ง     ผมจึงเห็นว่า ยาแรง นั้นดีกว่ายาชาซึ่งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่กล้ารักษาครับ ( ในระยะยาว ถ้าภาคธุรกิจจริง เรามีศักยภาพ  ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ว่าตลาดหุ้นจะไม่ดี ) แต่ที่ต้องะวังคือ ดีหลอกๆ และดีสั้นๆครับ จากคุณ : รถไฟสายใต้ - [ 7 ม.ค. 50 10:24:29 ]

ความคิดเห็นที่ 99 ครับจริงๆคุณm_ple ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เป็นวิทยาทานต่อประเด็นนี้ได้มาก(โดยเฉพาะกรณีการชี้แจงเหตุผลของเรื่องวิกฤตหุ้นนั้น) ข้อความข้างบนนั้นผมอาจจะพูดภาพรวมๆไป ก็อย่างที่คุณคุณ อวิรุืทธ์   พูดไว้ว่า ทุกหนึ่งคือในนั้น เหตุปัจจัยทั้งภายนอกภายในจะส่งผลตกกระทบ ต่อปัญหานี้ ในขณะที่คุณ รถไฟสายใต้ พยายามจะให้เรา "ประมาณตน"ตามแนวทาง"ความพอเพียง"(เศรษฐกิจพอเพียงถ้าสื่อแบบที่ขยายตอนนี้ผมยังไม่ยอมรับ)แต่ถ้าเป็นความพอเพียงแบบที่ว่านั้นได้ นั้นคือต้องทราบพิกัดน้ำหนัก และทราบขนาดโมเม็นตั้มของเรา (ขนาดเศรษฐกิจ)แบนตั้มเวต รุ่นน้าเขาทราย ปัจจัยพื้นฐานที่เป็นต่อแบบเขาทรายคือหมัดซ้ายหนัก ก็จริงแต่ถ้าความประมาณตนไม่มีจะกระโดดเข้าไปคลุกวงในถ้าต่อยกันไทสันโฮลีฟิล(แฮฟวี่เวท) ตรงๆแบบไม่เกี่ยงเวทีน้ำหนัก นั้นคือพรวิเศษที่จะให้สติในพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงตอนนั้นและให้สติพวกไม่พอจนทำการคหกรรมต้มยำกบคนไทยกันเอง ถ้าไม่ประมาณตนตอนนนั้นนั้นคือถ้าชกกับโฮ,ฯ (แฮฟวี่เวต)เท่ากับฆ่าตัวตาย แต่สิ่งที่คุณคุณ อวิรุืทธ์  สะท้อนไว้ น่าจะเป็น การขยายความร่วมมือเพื่อสร้างอำนาจการต่อรอง เรื่องแบบนี้จึงต้องอาศัย "ตลาดทุน" หรือบริหารจัดการส่วนนี้เพื่อสร้างโอกาสและเพิ่มขนาดเศรษฐกิจ จนถึงการขยายการลงทุนไปยังภายนอก  นั้นคือเราจะมีปฎิสัมพันธ์อย่างไร  กับปัจจัยภายนอกหรือสังคมโลก เพื่อวางตำแหน่งขยายรัสมีเส้นรอบกรรม ไปยังการเข้าถึงความร่วมมือ เพื่อสร้างอำนาจการต่อรองให้มากกว่าตัวตนที่เรามีเท่านั้น ให้"พอดี" จนเกิด"สมดุล" พอที่จะดุลอำนาจขนาดเศรษฐกิจ ที่ใหญ่ระดับโฮลีฟิล จะมาไล่ทุบเขาทรายซ้ายทะลวงใส้เราได้ แต่ถ้าเราจะมุ่งเอาตัวตนของเราอย่างเดียว  ยึดมั่นตรงนั้นแต่ในขณะเดียวกันเรายังเปิดบ้านเสรีบางที  นั้นอาจจะเป็นการกำหนดสถานะตัวเองในสถานภาพเหยื่อหรือล้าหลัง(ในมิติความพร้อมไม่ต้องขนาดแข่งขันแต่ป้องกันตัวได้และอยู่อย่างสงบสุขไม่เดือดร้อนได้) หรืออยู่ในระบบเวทีโลกได้ ถ้าเราแยกตัวจากฝูง ถ้ายึดเฉพาะตัวตนที่"สมถะ"(เศรษฐกิจพอเพียงได้ถ้าเราอยู่ในถ้ำกำหนดอาณาเขตเฉพาะตัวแบบพม่า)  แต่นี่เราลงไปในสนามกลางป่าในที่โล่งแจ้งแดนนักล่าทุ่งสังหาร(เปิดประเทศเต็มตัว) การสร้างอำนาจการต่อรอง ก็คือติดกลุ่มหรือเข้าฝูง ดังนั้นเราจึงต้องสร้าง ทั้งตัวตนภายในให้แข็งแรง เพื่อมีแรงกำลังในการเคลื่อนไหวตัวเองให้เกาะกลุ่ม  ไม่เป็นเป้าหรือทำตัวให้กลมกลื่น ไม่สร้างปัจจัยเสี่ยง เป็นความอ่อนแอ เพื่อชี้เป้าเหยียวเวหา ที่สายตามันจ้องอยู่แล้ว??? ต้องยอมรับว่าตอนนี้เราวิ่งเป๋ออกจากกลุ่ม(ปฎิวัติ) การเมืองไม่นิ่ง แล้วระบบเศรษฐกิจไทย ก็แขวนจมูกไว้ระบบผูกขาดด้วยทุนนิยมอย่างเสรี ไว้หลายชั้น ทั้งในประเทศก็ผูกขาดโดยกลุ่มทุน  นอกประเทศเปิดเสรีไม่จำกัดขนาดเวที(แรงเฉื่อยตอนนี้มันขับมาแบบนี้นานแล้ว) จึงอย่าหักคมมีดด้วยเข่าหรือขวาง??? เราจึงเผยจุดอ่อนในระบบ ให้เหยี่ยวเวหานักล่าเห็น(เท่าที่ทราบบางกระแสข่าวให้ยิ่งเศร้าใจว่ากลุ่มทุนนักล่าหน้าเหลี่ยมไทยยังไปเกาะกลุ่ม เชิญพวกนักล่าจากข้างนอกมารุมทึ้งเมืองไทยของตัวเอง)  ไม่คอนเฟิร์มน่ะจะหาว่าไปกล่าวหาเขา ฟังหูไว้หู แต่ควรช่วยกันดูกันตรวจสอบให้ดีดีกว่าช่วยกันปิดมันมีคนตั้งประเด็นมาผมจึงไม่ได้กล่าวหาแค่ยกมา สิ่งที่จะอันตรายต่อไปไม่ใช่ประเด็นนี้ แต่น่าจะเป็นแบบที่คุณอภิมหาชาตบุตร 92เสนอไว้  นั้นล่ะเกมของนักล่าที่เข้าอยู่ตำแหน่ง ที่สูงกว่ามีอำนาจขนาดเศรษฐกิจ และความเป็นมืออาชีพกว่า และเคยเก็บ"หมูสยาม"เราเมื่อคราวที่แล้ว ก็เพราะความผิดพลาดของพลปตอ.(ธ.ประเทศไทย) ที่อ่อนหัด เคยเจอแต่เคสแมงหวี่แมงวัน เลยเอาเงินไปสู้เงินบาทแบบนั้นได้ แต่นี่มันเคสเหยี่ยวเวหา นักค้าเก็งกำไรมืออาชีพ ตอนนั้นแทนที่จะเก็บอาการสถานะเหยื่อที่ขุนแล้ว(NPL) โดยการเอาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมาขุนให้อ้วน ให้เราช่วยกันพลาญ จนแผลเน่า เหวอะกางหลัง อ้วนฉุเพราะพองฟองสบู่ เข้าใจว่าตอนนนั้นห่วงหนี้สาธาณะ ที่ช่วยกันผลาญและกำหนดให้ไหลเข้าอย่างไม่มีมาตรการควบคุมที่ดี จนโชว์สถานเหยี่อที่ขุนจนอ้วนให้เห็น  แต่แทนที่ตัวเองเป็นเหยื่ออยู่แล้วมีแผลเหวอะกางหลังโชว์อาการ ให้เห็นแล้ว แทนที่จะพลางตัวเข้าฝูงหรือที่ปลอดภัย(ค่อยๆลดค่าเงินไม่ให้มีผลต่างเป็นแรงจูงใจมากนัก)  แต่นี่กลับไม่หมูสยามชะตาขาดเรา กลับเอาพลปตอ.(ก็ธ.ประเทศไทยนี่ล่ะ)อ่อนหัด พาร่างอ้วนฉุแผลเหวอะ ไปกระโดดท้าเหย่งๆ ขอสู้กับเหยี่ยวเวหา เข้าใจว่าจะเหมือนแมงวันแมงหวี่ และนี่ระดับประเทศพวกนั้นแค่เอกชน ประเมินจากการห่วงแผลเน่ากลางหลังจะขยาย(หนี้สาธารณะพวกตัวเองจะเพิ่มขึ้น) จึงตัดสินใจห่วงแผลกลางหลังมากกว่าห่วงลมหายใจเศรษฐกิจและความเป็นความตายของประเทศชาติ  ออกไปประกาศตัวสู้ถวายหัวแบบหมูชะตาขาด ประกาศถวายหัวให้เหยี่ยวเวหาคงไม่ต้องอธิบายภาพต่อไปว่าคืออะไร?(เราทุกคนสัมผัสชะตากรรมนั้นด้วยกันมาแล้วกับวิกฤตนั้น) และตอนนี้ สิ่งที่ธ.แห่งประเทศไทยทำ ส่วนใหญ่ปราถนาดี และไม่น่ามีวาระซ่อนเร้นอะไร? และเจตนาใช้ยาโฟกัสเป้าหมาย เล็กๆ คือ"พวกเก็งกำไรเงินบาท" กลุ่มหนึ่ง ใคร??? คงไม่ต้องอธิบายมากมั่งรู้ๆกันอยู่ ปัญหาคือยาแรงเกินไปไหม?ผลข้างเคียงตรงนี้ คุ้มไหม?กับการไปขยายความเสี่ยง ความเชื่อมั่น เข้าไปในจังหว่ะ ที่เรามีปัจจัยที่จะลดความเชื่อมั่นใหญ่หลักเดิมอยู่แล้ว(รัฐบาลปฎิวัติ) แรงส่งอันนี้มากที่สุด??? นี่คือตัวแปรหลักสำคัยอันหนึ่งที่อาจจะมองข้าม ที่ทำให้ตลาดตื่นตะหนกได้มากขนาดนั้น เขาไม่ไว้ใจรัฐบาลนี้อยู่แล้วเพราะไม่ปกติ แถมเข้ามากำหนด"กติกาแบบหมากเก็บโลกตะลึง" ลงไปในแผน เช่น"เศรษฐกิจพอเพียง" ลงไปในแผนที่หลัก (เดิมทางเลือก)ความไม่เข้าใจงงในกติกานั้นคือความเสี่ยงความเชื่อมั่นในเวที แถมระแวง รัฐบาลรัฐประหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเข้ามาก็เริ่มเลย (ที่ชี้แจงกันยกใหญ่เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงนี้) กติกานี้เล่นยังงัย เขาก็ยังงง? เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็พอทน เพราะปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจภายในยังดีอยู่ยังไปได้อยู่  แล้วนี่อยู่ดีดีคลอดมาตรการนี้(หมากเก็บโลกตะลึง) นี้ออกมาตะเพิดคนที่ลังเล กล้าๆกลัวๆอยู่แล้ว กับ30% เขาจะสร้างภาพความระแวงกับรัฐบาลทหารไปถึง เงินจะสูญ? โดนยึด แบบนายกเดิมถูกตรวจสอบแบบรัฐบาลเก่าหรือเปล่า?เอาอะไร?แน่นอนกับสถานกาณ์แบบนี้ ที่เจ้าของกระทู้อ้างว่าทำการประเมินผลกระทบมาประมาณหนึ่งแล้ว เอาตัวแปรนี้(รัฐบาลรัฐประหารแถมเข้ามาก็เริ่มเข้าไปกำหนดอะไรงงๆหลายเรื่องเช่น กำหนดกติกาเศรษฐกิจแบบเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแผนที่หลัก) ทั้งที่คนไทยเองเกิน80%งง(ก็อย่างที่บอกไว้ข้างบนว่ามันไม่มีใช้เครื่องมือผิด) ตัวแปรแบบนี้การเมืองแบบนี้แล้วสารพัดปัจจัยอื่นๆทีไม่ปกติเติมลงไป ผลจึงออกมาแบบนั้น ผมเข้าใจที่ท่านอธิบายว่าเจตนาแค่กระทบระยะสั้น และเกมนี้(ของนักเก็งกำไร?ก็ไม่ยาวเพราะพื้นฐานเศรษฐกิจเรายังดีตีได้ไม่นาน) แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือทีคุณอภิมหาชาตบุตร  วิเคราะห์ไว้ เรื่องดุลบัญชี หนี้ที่เพิ่มขึ้นขาดดุลชำระเงินเพิ่ม 3แสนล้านวันเดียวนี้ขยายแผลวันเดียวได้ขนาดนี้ มีโอกาสแบบนั้นแน่??? กับปัจจัยความเสี่ยงความเชื่อมั่นที่วิกฤตอยู่แล้วแบบนี้ จังหว่ะแบบนี้ เหตุแค่สิบมันก็จะทวีคูณแบบที่เห็น ปัจจัยเสริมที่น่ากลัวที่สุดคืออะไร? จะประเมินแบบ คอนเซ้นท์อย่างเดียวอย่างนั้นได้อย่างไร เข้าใจถ้าคุณทำตอนปกติ(รัฐบาลปกติและไม่มีเงื่อนไขไม่ปกติมากมายแบบนี้เข้าไปเสริม) อาจจะใช้ได้ประมาณหนึ่ง แต่ยังไม่ใช่ที่สุด มันจะคล้ายเราไปขยายแผลแบบคราวนั้น แล้วสายน้ำไหลย้อนกลับ แบบที่คุณอภิมหาชาตบุตร  วิเคราะห์ไว้ ที่ล่ะ สายน้ำฟองสบู่แบบคราวนั้นมันจะไหลทวนกลับมา??? จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 8 ม.ค. 50 13:54:31 ]

ความคิดเห็นที่ 100 อ่านแล้วรู้สึกขอบคุณทุกท่านที่ได้แสดงความเห็นไว้ เป็นประโยชน์จริง ๆ ครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีปีใหม่ จากคุณ : akom - [ 8 ม.ค. 50 19:38:21 ]

ความคิดเห็นที่ 101 คนเขียนมีความตั้งใจดีมาก แต่อ่านยังไม่หมด เริ่มไปได้หน่อยเดียวไว้จะกลับมาอ่านใหม่อีกที :) จากคุณ : Ivy (MarvericK) - [ 8 ม.ค. 50 20:03:02 ]

ความคิดเห็นที่ 102 อืมมม ผมว่าผมทำงานอยู่ในโลก ทุนนิยม ที่มุ่งเน้น แสวงหาผลประโยชน์สูงสุด แล้วนะครับ ดังนั้น ความพอเพียง ในมุมมองผม คงไม่มากไปกว่า ไม่ลงทุนเกินตัวเท่านั้นครับ แต่ยังย้ำเจตนารมณ์เดิมครับ .... เราต้องช่วยกัน สนับสนุนมาตรการ ที่ดูเจ็บหรือแรงในระยะสั้น แต่ดีในระยะยาวครับ เพราะการคัดเลือกทุนคุณภาพ และทุนไม่มีคุณภาพ เข้ามาเป็นสิ่งจำเป็น ... การเปิดเสรี ไม่ใช่การเปิดประตูให้ใครก็ตาม มาเรียกร้องว่า จะทำอะไรได้ตามใจชอบครับ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ DFI ในโครงการลงทุนมากกว่า 1 ปี ก็ไม่มีเงื่อนไขนี้ครับ นักลงทุน ที่โวยวาย ผมเชื่อว่า ไม่ใช่นักลงทุนครับ ต้องเรียกว่า นักเก็งกำไรมากกว่า ... ดังนั้น ถ้าเรามัวหลงไปกับ ทุนระยะสั้นๆ ที่พร้อมจะไปไหนตลอดเวลา  แล้วทิ้งขว้าง ภาคธุรกิจจริงให้ได้รับผลกระทบไปโดยไม่ทำอะไร นั้น อันตรายที่สุดแล้วครับ ...  แล้วนักธุรกิจไทย จะไปไกลได้แค่ไหน เมื่อคนส่วนใหญ่ กดดันให้รัฐบาลออกนโยบายที่สนับสนุนแต่นักเก็งกำไรระยะสั้น ที่ประเทศเราเจอวิกฤต ... ไม่ใช่เพราะเรามัวแต่เก็งกำไรกันหรือครับ โดยไม่เน้นสร้างมูลค่าเพิ่มที่แท้จริงให้กับเศรษฐกิจ  ท้ายที่สุดเมื่อฟองสบู่แห่งการเก็งกำไรแตก คนที่ถือไม้คนสุดท้ายก็ซวย เหมือนเดิม (ส่วนใหญ่ก็แมงเม่าทั้งนั้น) จากคุณ : รถไฟสายใต้ - [ 8 ม.ค. 50 23:20:48 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ครับคุณรถไฟสายใต้  ครับ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลา แต่ต้องแวะมา(ใช้เน็ตคาเฟ่เสียงดังไม่ค่อยมีสมาธิจะคุยได้ขนาดไหนไม่รู้)  ผมเข้าใจว่าเรากำลังเผชิญกับ มหันตภัยรูปแบบใหม่ ที่มาพร้อมกับโลกาภิวัฒน์  ทั้งฝรั่งจริงและฝรั่งดอง กับความพยายามจะสร้างปราการเขื่อนไว้ สกรีนน้ำไหลเข้า ที่โลกาภิวัฒน์ก็คือสมุทธศาสตร์พาณิชย์ มีคุณและมีโทษ มีมืดมีสว่าง ที่ผมเป็นห่วงมากที่สุดตอนนี้คือประเด็น ความน่าเชื่อถือ ,การสร้างความเสี่ยง,ลดบรรยากาศ จนขวางหรือหักคมมีดด้วยเข่า ในจังหว่ะที่เราไม่ปกติ(ปฎิวัติ) ปัจจัยเสริมที่จะกระตุ้นความตะหนกให้เกินจริงอันนี้อย่ามองข้าม??? กับสาระพัดมาตรการแบบ"หมากเก็บโลกตะลึง" ขณะนี้ เข้าใจว่าเราต้องตอบโจทย์??? ที่ฝรั่งดองและฝรั่งอาชญากรทางเศรษฐกิจ แต่ส่วนที่ดีก็มีด้านสว่างก็มี  แต่การขวาง 90 องศานี้ก็เท่ากับปิดไว้เกือบหมด เหมือนเจตนาหักคมมีดด้วยเข่า  ในขณะที่เราเองมีสภาวะไม่ปกติ เป็นปัจจัยกระตุ้นความระแวง ไม่ไว้ใจ มีความเสี่ยง จากความไม่ปกติ เองของเราเป็นปัจจัยไม่ปกติ(เห็นพลังบ้างแล้วตอน30%ยังจะเล่นอีก) เรายังไปสร้างปัจจัยเสริมหรือขยายปัจจัยเสริมตรงนี้ในจังหว่ะแบบนี้  แบบหักคมมีดด้วยเข่า(ล่าสุดก็คลอดกติกาหมากเก็บโลกตะลึงเรื่องพ.ร.บประกอบฯต่างชาติ)  ผมเข้าใจว่าเราต้องทำอะไร?สักอย่างกับโจทย์นี้ แต่ผมไม่เห็นด้วยว่าต้อง ซ้ำเติมแบบหักคมมีดด้วยเข่าเวลานี้ รัฐบาลนี้ ไม่ปกติ แบบนี้ ???รัฐบาลรักษาการแบบนี้??? ปัจจัยเสี่ยงมันเลยไปถึงความรอบคอบที่จะส่งกระทบภายในประเทศ และขยายไกลเกินควบคุมได้  หักคมมีดด้วยเข่านั้น ซ้ำเติมบ่อยๆ แม้ ปัจจัยพื้นฐานเราจะดี ยังหนุ่มยังแข็งแรง แต่ถ้าซ้ำเติมปัจจัยความเสี่ยงความน่าเชื่อถือ สร้างความตะหนกขยายแผลให้ลึกเข้าๆ แบบไม่เข้าใจแรงเฉื่อยของทุนนิยมโลก จนขวางเกินไป พอแผลเหวอะมากเกินไป  จนลึกถึงเส้นเลือดใหญ่  อาการห้ามเลือดไม่อยู่ จนเกิดปรากฎการณ์แบบไหลย้อนกลับไปแบบวิกฤตคราวนั้น จะเอาอยู่ไหม? สำคัญที่ว่า ทำไมพึ่งมาของขึ้นเอาตอน ที่เราอาการไม่ปกติตอนนี้ ถ้าเขาแปลว่าเรากำลังจะคุ้มคลั่ง มากกว่าของขึ้น(ฝรั่งไม่รู้แยกไม่ออกหรอกว่าของขึ้น กับคุ้มคลั่งต่างกันอย่างไร?) ชี้แจงให้ตายเขาก็จะหาว่าเราคุ้มคลั่งไม่ใช่ ของขึ้น ท่านปรีดียากร กติกาหมากเก็บโลกตะลึงของท่านถ้าไม่มีกรณีฝรั่งหัวแดงเป็นแรงหนุน ถึงแบบนั้นบ้า ไปแล้วไม่ใช่แต่เขายังให้อภัย??? แต่นี่ อะไร? หักคมมีดด้วยเข่าอีกแผลคราวนี้เกิดไปโดนเส้นเลือดใหญ่ ภายใต้ปัจจัยที่ไม่ปกติ จะควบคุมไหวเหรอ นี่ขนาด 30%  มีการคาดการประเมินไว้ระดับหนึ่ง มันยังเกินคาดขนาดนั้น เพราะละเลยปัจจัยไม่ปกติที่ว่า(ปฎิวัติ) อันใหม่นี้ แรงกว่าเดิม ระวัง อย่าของขึ้นบ่อยๆจนกลายเป็นคุ้มคลั่งแบบคนเมายาบ้า เอามีสับคอตัวเองเข้าเส้นเลือดใหญ่ไม่รู้สึกตัวไป??? จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 9 ม.ค. 50 16:29:09 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ผมเข้าใจว่าท่าน(ทั้งหลาย) มีข้อมูลในมือและความชำนาญหรือเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน  ตรงนั้นคือโอกาสของท่าน แต่เพราะคำว่าเฉพาะด้านนี่ล่ะ เลยต้องทัก??? เช่นจำเป็นแค่ไหนต้องตอนนี้ สภาพที่ไม่ปกติแบบนี้ แม้บางเรื่องต้นทันเกมและทันการณ์  แต่กฏหมาย ประกอบธุรกิจต่างชาตินี้  ผมยังมองไม่เห็นในความจำเป็นเร่งด่วน นอกจากเจตนาแบบกติกา"หมากเก็บโลกตะลึง" เพื่อหยุดฝรั่งดอง ???โจทย์นี้ไม่จำเป็นต้องตอนนี้ หรือได้ใจเรื่อง30% เลยเอาใหญ่ เรื่องนี้(พรบ.ลงทุนต่างชาตินี้) ยังมีเวลาหาความถูกต้องเหมาะสมโดยเฉพาะมิติสถานการณ์ไม่ปกติและไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน  เกินไปที่จะต้องตอนนี้ที่มีเงื่อนไขอ่อนไหวพิเศษแบบนี้ ผมยังมองเป็นความสะใจในการให้ยามากกว่าให้ทันการณ์ เรื่อง30%ยังมีเงื่อนไขแบบนั้นอยู่แม้ไม่ใช่ทั้งหมด และความโชคดีช่วยไว้ แต่เรื่องพรบฯนี้ คิดดีๆว่าแก้ปัญหาหรือเพื่อความสะใจ??? แล้วผลข้างเคียงที่อาจจะเกินคาดมันคุ้มกันไหม? ถ้ามีโจทย์ว่าอาศัยเวลาพิเศษแบบนี้ออกกฎหมายให้ทันเพื่อใช้เล่นงานเขาให้ทันเวลา ตั้งโจทย์และคำนวณสถานการณ์ผิด แม้อาจจะคิดถูก แล้วผลข้างเคียงตอนนี้ที่อาจจะเกินควบคุมล่ะ? แบบเอายาฆ่าหญ้า มาใช้ฆ่าพยาธิ กับคนเลย คิดดีดีถ้าเวลาปกติเล่นอะไร?แบบปกติผมจะไม่ว่า??? จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 9 ม.ค. 50 17:42:22 ]