ความคิดเห็นที่ 1 90% up นักพนัน คิอปัญห่า(ย้ำ "ห่า")ใหญ่ ----มองตัวเองว่าเล่นหุ้นทุกวันนี้เป็นรายนาทีใชเหรอไม่ ----ซื้อมาแล้วคิดที่จะขายทันทีใช่เหรอไม่ ----สตางค์สองสตางค์ไม่ว่าขาดทุนหรือกำไรขายทิ้งทั้งนั้น ไช่เหรอไม่ ----เคยคิดที่จะถือหุ้นสักอาทิตย์ไม่ ----กำลังเล่นการพนันใช่เหรอไม่ สิ่งที่กล่าวข้างต้นคือเหตุและผลทำให้ ตลท ล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านสุดๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : คนไทยนักพนัน ไม่รู้จักลงทุน - [ วันสิ้นปี 07:26:45 A:124.120.129.49 X: TicketID:000564 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถือมา7ปี ยังกลับมาต่ำกว่าเดิม แบบนี้ถือว่ายาวพอไม๊ครับ หุ้นดีไม่ใช่หุ้นปั่นด้วยนะครับ จากคุณ : หรือว่าต้อง100ปี - [ วันสิ้นปี 08:50:25 A:203.188.59.114 X: TicketID:128313 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณน้อง J สำหรับข้อมูลดีๆ การเล่นหุ้นคือการคาดการณ์อนาคต   ว่าหุ้นที่เราซื้อมันจะมีอนาคตดีกว่าวันนี้   ................หุ้นคือตลาดซื้อขายความคาดหวัง............... ส่วนตัวผมมองว่า   ค่า PE คือความคาดหวังของตลาด   ทำไมหุ้นในตลาดต่างประเทศเค้าถึงเล่นกันที่ PE สูงๆ   ยิ่งลากยิ่งวิ่ง  เพราะตลาดเต็มไปด้วยความคาดหวังว่า  พรุ่งนี้  เดือนหน้า  หรือปีหน้าจะมีของแพงกว่าวันนี้ ตอนนี้ตลาดไทย   เป็นตลาดที่ความคาดหวังต่ำ   เมื่อคนในตลาดขาดความมั่นใจ  หรือหมดหวัง   จะเอาแรงจากไหนมาไล่หุ้นให้มันแพงกว่าเดิม เมื่อความมั่นใจของตลาดกลับมา   ราคามันก็จะตามมาเองแหละ   เมื่อวันหนึ่งในอนาคต   ถ้าหุ้นไทยวิ่งไป 1000 จุด   มันจะมีข่าวออกมาสนุนสนุนเองว่า   ทำไมหุ้นไทยถึงวิ่งไปได้ขนาดนั้น ตอนผมเล่นหุ้นจาก 450 มา 600 กว่าๆ  ผมก็ไม่คิดว่าหุ้นจะวิ่งมา 800  เพราะมาแค่ 600 ผมก็ว่าแพงแล้ว   ผมซื้อ  ปตทสผ  ครั้งแรกราคา  170 บาท  ไม่เคยคิดว่าราคาจะลากกันมาได้ถึง 600     ปล.  ผมไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 1........พนันไม่พนันมันคนละเรื่องกันกับตลาดไม่ขึ้น จากคุณ : no_lagging - [ วันสิ้นปี 09:18:05 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สำหรับ หุ้นที่ผมได้ยกตัวอย่างมา 10 ตัว จัดได้ว่าเป็นหุ้น top10 ของประเทศไทยได้เลยทีเดียว โดยเทียบเกือบเท่ากับ 50% ของมูลค่าตลาด ใน ไตรมาสที่3 จะเห็นได้ชัดเลยว่า หุ้นกลุ่มพลังงานเริ่มชลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด และมีการคาดหมายกันว่า งบในปี 50 ไม่น่าจะเติบโตมากนัก อาจจะทรงตัว หรือลดลงก็เป็นได้ ผมเชื่อมั่นว่า pttep q1 ปีหน้าจะลดลงอย่างแน่นอน สำหรับ pttep ผมเคยแนะนำเล่นตั่งแต่ 400กว่าๆ ว่าจัดว่าเป็นหุ้น mkt cap ใหญ่ ที่จะหนุนตลาดไทยในปีก่อนอย่างมาก เนื่องด้วยราคากลุ่มพลังงานและก๊าซจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง เมื่อปีก่อน รวมไปถึงได้รับผลกระทบจากพายุแคธริน่า และการเติบโตของ productivity แต่ก็ได้ออกมาพูดเมื่อช่วงต้นปีว่า ผลประกอบการณ์ pttep เริ่มไม่ค่อยพอใจแล้ว แม้นว่า q1 ปีนี้จะอยู่ในระดับสูง แต่ก็เป็นเพราะได้กำไรจากค่าเงินที่เพิ่มขึ้นมาเช่นกัน แล้วมาประกอบกับข่าว เรื่องโครงการก๊าซในพม่าที่ต้องเลื่อนออกไปได้ส่งผลกับ ราคาpttep มากครับ หุ้นบริษัท PGN ของอินโดนีเซีย ก็เป็นบริษัทที่ดำเนินงานเกี่ยวกับ ก๊าซเช่นกัน ก็ได้รับผลกระทบราคาก๊าซลดลงเช่นกัน แต่ได้การเพิ่มปริมาณการผลิตที่สูงขึ้น 60% ส่งผลให้ผลประกอบการณ์ยังคงดีอยู่ และบริษัท petro china ของประเทศจีน ก็ได้เพิ่มoutlook ที่ดีจากเรื่อง productivity ด้วยเช่นกัน เพราะ บริษัทแม่ CNPC รัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ตัวจริง ของประเทศจีนเกี่ยวกับพลังงาน และมีกฏหมายออกมารับรองให้รัฐถือหุ้น100%เท่านั้น ได้รับสัมปทานการผลิตแหล่งก๊าซในอุซเบกิสถาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับ PTR (Petro China) พูดนอกเรื่องไปเยอะ เพราะพวกที่พูดไปผมจะค่อยๆนำเสนอข้อมูลออกไปอีกทีนึง แต่ว่านี่เป็นเหตุผลข้อหนึ่งที่ผมได้เสนอขึ้นที่ประชุมไปว่า ทำไม ตลาดบ้านเราถึงไม่สูงดั่งเพื่อนบ้าน ซึ่งจริงๆแล้ว ยังมีอีกหลายเหตุผลเช่นกัน ถ้าความคิดเห็นที่1 มองว่าเป็นเพราะนักลงทุนบ้านเรายังไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนในหุ้นอย่างแท้จริง ก็น่าเป็นเหตุผลสำคัญมากกว่าการเล่นพนันครับ จริงๆก็มีหลายองค์ประกอบสำคัญเช่นกัน ที่ส่งผลครับ ปล. หุ้น bank ที่อยากพูดก็เพราะ การออกนโยบายล่าสุดเป็นการบ่งบอกว่า ดอกเบี้ยอาจจะยังไม่ลดลงในเร็ววัน การเก็งว่าจะมีการลดดอกเบี้ย ซึ่งจะนำไปสู่การที่ bank จะมีผลประกอบการณ์ดีขึ้น เพราะต้นทุนการเงินของ bank จะต่ำลง (เชื่อผมเหอะครับ ถ้ารัฐลดดอกเบี้ย bank ไม่ได้เสียหายเลย เพราะฝากประจำ ก็จะครบกำหนดในปลายปีนี้แล้วหลายบัญชีที่ดอกเบี้ย fix ระดับสูง และก็เริ่มปรับตัวลดลงแล้ว ส่วนบัญชีออมทรัพย์ก็ยังคงต่ำอยู่ เมื่อดอกเบี้ย RP ปรับลดลง จะส่งผลกับดอกเบี้ยเงินฝากต้นทุนของbank ก่อน แล้วค่อยปรับลด ดอกเบี้ยเงินกู้(กำไรของbank)ลงตาม จากคุณ : j_abac - [ วันสิ้นปี 10:00:50 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตลาดหุ้นบ้านเราความเสี่ยงสูงครับ...... ถึงแม่ว่า PE จะต่ำขนาดนี้ ยังไม่ค่อยน่าไว้ใจเลย..... ไม่ต้องคาดการณํไกลมาก  เอาแค่สัปดาห์หน้า ขึ้นหรือลงยัง 50/50 เลยครับ จากคุณ : pitan - [ วันสิ้นปี 11:20:35 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อลดอัตราดอกเบี้ย P/E ของตลาดจะเพิ่มขึ้นน่าจะจริงเพราะ ยอดขายเพิ่ม  ค่าใช้จ่ายลดลง ที่น่าคิดก็คือจะส่งผลกระทบต่อตราสารหนี้อย่างไรก็ไม่ทราบ จากคุณ : jonathan w. - [ วันสิ้นปี 11:23:37 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ... ขอบคุณครับ จากคุณ : roadtrip - [ วันสิ้นปี 13:17:17 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ทำไมตลาดอินโดนีเซียถึงโต ก็คงมองแบบเศรษฐกิจพื้นฐานชาวบ้านแบบ เด็กโง่ๆอย่างผมมองนะครับ ตัวหุ้นจะตอบสนองไปถึงดัชนี ถ้าตัวหุ้นไม่ไป ดัชนีก็ไม่ไป และยิ่ง ตัวหุ้นที่มี impact กับ ดัชนีสูง เติบโต ดัชนีก็ยิ่งเติบโตเร็ว หุ้นที่จะแนะนำกลุ่มแรกก็คงเป็น หุ้นกลุ่มสื่อสาร TLKM ที่ถือว่าร้อนแรงที่สุดในช่วงเวลานี้ ถ้าเทียบหุ้น TLKM กับ บริษัทในบ้านเราก็คงเปรียบได้กับ TOT หรือว่า CAT แล้วก็อาจจะรวม TRUE และ TT&T เข้าไปได้อีก ซึ่ง TLKM เป็นบริษัททีดำเนินงานเกี่ยวกับ การสื่อสารทางสายโทรศัพท์บ้าน ให้บริการ INTERNET ให้บริการ MOBILE รวมไปถึงธุรกรรม การโทรออกต่างประเทศ และการที่ อินโดนีเซียเป็นประเทศใหญ่และการสื่อสารยังโตได้อีกมาก รวมไปถึงธุรกรรม 3G ซึ่งจะเริ่มใช้บริการอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปีหน้า ก็ยิ่งส่งผลให้ TLKM น่าสนใจยิ่งขึ้น TLKM จัดได้ว่า เป็นหุ้น MKT CAP ใหญ่สุดของตลาดอินโดนีเซียเลยทีเดียว เทียบเท่ากับ 15-16%ของมูลค่ารวมตลาด และมีมูลค่า MKT CAP มากกว่า PTT ของบ้านเราด้วยครับ TLKM ให้ผลตอบแทนปีล่าสุดไม่รวม dividend สูงถึง 68% ส่วน TLK ซึ่งเทรดที่ตลาด NYSE ให้ผลตอบแทน 85% มีผลเรื่องค่าเงินด้วยครับ อ้างอิง: http://sg.finance.yahoo.com/q/bc?s=TLKM.JK&t=1y อ้างอิง: http://sg.finance.yahoo.com/q/bc?s=TLK&t=1y ส่วนงบการเงิน TLKM มี net income เพิ่มขึ้นในระดับ63% เมื่อเทียบ YOY สำหรับงวด 9 เดือน ส่วน Q3 YOY มีnet income เพิ่มขึ้นในระดับ 53% สำหรับ outlook ในปีหน้า TLKM คาดว่าผลประกอบการณ์น่าจะยังโตในระดับสูง เนื่องด้วยจะเริ่มรับรู้รายได้ เกี่ยวกับการให้บริการ 3G อย่างเป็นทางการเข้ามา ส่วน Sector สำคัญของ ตลาดหุ้น Indonesia คือ กลุ่ม finance ซึ่งถือได้ว่า เป็น Sector ที่มีมูลค่า MKT CAP สูงสุด จะขอยกตัวอย่าง 3 Banks ละกันนะครับ เพราะถือได้ว่าเป็นสัดส่วนถึง ร้อยละ 80 ของมูลค่ารวม 1. BBCA (PT Bank Central Asia Tbk) ราคาหุ้น เติบโตสูงในระดับถึง 77% เลยทีเดียวในปีนี้ อ้างอิง : http://sg.finance.yahoo.com/q/bc?s=BBCA.JK&t=1y ส่วนผลประกอบการณ์โตขึ้นในระดับ 19% เมื่อเทียบ YOY มี Income margin สูงถึง 36.3% 2. BBRI (Bank Rakyat Indonesia Tbk) ราคาหุ้น เติบโตสูงในระดับถึง 71.6% อ้างอิง : http://sg.finance.yahoo.com/q/bc?s=BBRI.JK&t=1y ส่วนผลประกอบการณ์โตขึ้นในระดับถึง 59% มี Income margin ระดับ 28.36% 3. BMRI (Bank Mandiri Tbk) ราคาหุ้น เติบโตสูงในระดับถึง 81% อ้างอิง : http://sg.finance.yahoo.com/q/bc?s=BMRI.JK&t=1y มีผลประกอบการณ์สำหรับnet income รวมโตขึ้น 3% ในส่วน EPSลดลง 3% ใน q ล่าสุด แต่9เดือนเติบโตในระดับ 33% ส่วน qoq เพิ่มขึ้น 25% สำหรับ q3ล่าสุด มี Income margin ระดับ 11% สำหรับ outlook กลุ่ม banking ของอินโดนีเซียในปีนี้ ได้เล่นข่าวเรื่องการลดดอกเบี้ย ส่งผลให้งบ bank ในหลายตัวปรับตัวสูงขึ้น รวมไปถึงราคาได้ตอบสนองมองไปถึงผลประกอบการณ์ในปีหน้าแล้ว โดยจะเห็นได้ชัดว่า ราคาปรับตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังอย่างชัดเจน หุ้นใหญ่อีกหนึ่งตัวที่จะแนะนำ สำหรับตลาดอินโดนีเซีย ก็คือหุ้นในกลุ่มพลังงาน PGAS หรือว่า บริษัท PGNแต่ว่า MKT CAP ยังถือว่าน้อยกว่า BBCA และ BBRI ด้วยซ้ำ แต่ก็มีมูลค่าใกล้เคียง PTTEP บ้านเรา ในปีนี้ราคาหุ้น เติบโตสูงถึงระดับ  68% แต่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของPGAS ลงมา 16% อ้างอิง : http://sg.finance.yahoo.com/q/bc?s=pgas.JK&t=1y ส่วน ผลประกอบการณ์ บริษัท PGN โตในระดับ 190% เฉพาะครึ่งปีนี้นะครับ เพราะยังไม่มีข้อมูล update ตรงที่ผมได้เห็นรายงาน สำหรับงวด 9 เดือน สำหรับ PGN ก็ได้รับผลกระทบ เรื่องราคาก๊าซตลาดโลดลดลงจากปีก่อนลงมา แต่ได้เรื่อง ภาคผลิตที่เพิ่มขึ้นมาช่วย ส่งผลให้บริษัทยังคงรักษาระดับการเติบโตได้ และในช่วงปลายปี รัฐบาลอินโดนีเซีย ก็ได้ขายหุ้น จำนวนหนึ่งออกมาเช่นกัน ทำให้ราคา PGAS ลดลงมา นี่คือส่วนหนึ่งของตลาดหุ้น อินโดนีเซีย แค่หุ้นระดับ 5ตัวที่ได้เอ่ยมาแล้วนี้นั้น ก็เทียบมูลค่าได้ถึง ระดับ 60% ของmkt cap รวมของอินโดนีเซียเลยทีเดียว ซึ่งถ้าดูการเติบโต และ outlook แล้ว ก็เห็นได้เลยว่า ทำไมตลาดหุ้น อินโดนีเซียถึงโต จากคุณ : j_abac - [ วันสิ้นปี 15:12:56 ]