โพสต์ทูเดย์ — "โกลบอลฟันด์" กองทุนยักษ์เมินหุ้นไทยแล้ว เหตุเล็กเกินจนไม่น่าสนใจ ส่วนที่อยู่ก็จะเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุนสั้นๆ เพียง 3 เดือนเท่านั้น จากเดิม 1-1.5 ปี ย้ำต่างชาติซื้อหนัก 3.8 พันล้านอย่าดีใจเพราะแค่เก็บหุ้นคืนเท่านั้น
ตลาดหุ้นท้ายสัปดาห์ดัชนีพุ่งขึ้นต่อและปิดตลาดที่ 645.71 จุด เพิ่มขึ้น 8.08 จุด หรือ 1.27% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย ทั้งสิ้น 18,911.69 ล้านบาท ต่างชาติซื้อหนัก 3,814 ล้านบาท สถาบันขาย 1,478 ล้านบาท และรายย่อยขาย 2,336 ล้านบาท
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ กล่าวในงานสัมมนา "มุมมองนักลงทุนสถาบันและต่างชาติต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย" ว่า ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติระดับโลก (โกลบอลฟันด์) เช่นในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่มีสำนักงานในภูมิภาคเอเชีย ได้ตัดสินใจทิ้งการลงทุนหุ้นไทยแล้ว เนื่องจากอยู่ห่างไกลและไม่มี ผู้คอยติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเห็นว่าตลาดหุ้นไทยมีขนาดเล็กมากและมี น้ำหนักต่อการลงทุนน้อยมากเมื่อเทียบกับพอร์ตลงทุนรวม จึงหันไปลงทุนในตลาดหุ้นจีน ฮ่องกง อินเดียแทนเพราะมีผลตอบแทนที่ดี
"การที่ต่างชาติกลับเข้ามาซื้อหนักก็อย่าดีใจ เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการขายหุ้นล่วงหน้า (ชอร์ตเซล) ทำให้ต้องซื้อหุ้นคืนเท่านั้น"
นอกจากนี้ กลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่ยังเหลืออยู่จะเป็นกลุ่มที่รู้จักประเทศไทยเป็นอย่างดี และมีความจำเป็นต้องลงทุนจากนโยบายการลงทุน แต่รูปแบบการลงทุน จะเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุนจากเดิมที่ลงทุน 1-1.5 ปี เป็นเพียง 3 เดือนเท่านั้น
"ครึ่งแรกของปีนี้ต่างชาติจะเล่นแบบเทรดดิง เพราะยังมีความเสี่ยง โดยเฉพาะในช่วงเดือนมีนาคม–เมษายนนี้จะมี เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น เช่น การตัดสินกรณีขายหุ้นของปตท.(PTT) โดยนักลงทุนจะรอจนสถานการณ์นิ่งหรือคาดหวังว่าจะเป็นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้"
นายไพบูลย์ กล่าวว่า
ในสายตานักลงทุนต่างชาติ เห็นว่าความเสี่ยงในประเทศไทยขณะนี้สูงมาก เพราะในเหตุการณ์ปกติจะต้องสามารถประเมินสถานการณ์ในอนาคตได้ แต่ปัจจุบันแม้แต่นักลงทุนในประเทศเอง ก็ไม่สามารถประเมินสถานการณ์ใดๆ ได้ และมีโอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยในปีนี้จะหลุด ต่ำกว่า 600 จุด
ทั้งนี้ ทิสโก้ได้ปรับลดดัชนีปีนี้เหลือแค่730 จุด จากเดิม 780 จุด และลดกำไรของบริษัทจดทะเบียนเหลือเพียง 1-2% เท่านั้นจากเดิม 8% นอกจากนี้ได้เลื่อนแผนการออกไปโรดโชว์ต่างประเทศจน กว่าสถานการณ์จะนิ่ง โดยมีแผนจะไป โรดโชว์ในปลายเดือนมกราคมนี้
นายสมชัย ก่อสวัสดิกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด สถาบันต่างประเทศ บล.เอเซีย พลัส (ASP) กล่าวว่า สภาพตลาดหุ้นไทยช่วงนี้เป็นการลงทุนระยะสั้นสำหรับนักลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากขาดความมั่นใจต่อสถานการณ์บ้านเมืองของประเทศ อีกทั้งนโยบายของภาครัฐปัจจุบันไม่เอื้อต่อการลงทุนระยะยาวได้เลย
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกพอจะมีบ้างสำหรับหุ้นไทยคือ การประชุมของ คณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ในวันที่ 17 มกราคมนี้ หากมีการ ลดอัตราดอกเบี้ยก็จะทำให้หุ้นขึ้นได้ และเมื่อลดแล้วทำให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจก็น่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้นักลงทุนสนใจได้
จากคุณ :
พิษประจิม
- [
13 ม.ค. 50 17:07:44
]