ความคิดเห็นที่ 1 เงินเฟ้อสิครับ กลายเป็นไม่มีค่า จนกลายเป็นแค่เศษกระดาษ จากคุณ : คนหนอคน - [ 20 ม.ค. 50 23:04:30 ]

ความคิดเห็นที่ 2 หุหุ คิดได้ไงเนี่ย จากคุณ : น้องโป๊ด - [ 20 ม.ค. 50 23:06:38 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เวลาจะซื้อข้าวราดแกงสักจาน คงต้องเอาเงินใส่ตระกร้าไปซื้อแล้วครับ หรือไม่งั้นก็พวกลักจี้ชิงปล้น ก็คงจะปล้นเอาแต่กระเป๋าใส่เงิน แต่เอาเงินโปรยทิ้งให้เราดูต่างหน้าแทน.... เคยได้ยินมาว่าการจัดพิมพ์ธนบัตรออกมานั้น ต้องใช้ทองคำมาหนุนค่าของเงินครับ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 20 ม.ค. 50 23:11:07 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เงินที่พิมพ์ออกมามันแค่มายาครับ คุณค่าที่แท้จริงของมันอยู่ที่ความเชื่อมั่น ถ้าทำแบบนั้น ความเชื่อมั่นในค่าเงินก็ลดลง สุดท้ายก็เจ๊งยิ่งกว่าเดิม จากคุณ : masked v - [ 20 ม.ค. 50 23:39:34 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่ได้ครับ ถ้าจะใช้หนี้เราต้องไปหาแลกเป็นเงินต่างประเทศก่อนครับ ถ้าเราเอาไปแลกเยอะๆแบบว่าต้องการมาก ราคาก็จะสูง ค่าเงินเราก็จะไม่มีค่าครับ ต่อไปราคาของที่นำเข้าก็จะสูงขึ้นทำให้ค่าแรงสูงขึ้นและทุกอย่างแพงขึ้น เงินก็ไม่มีค่าอยู่ดีครับ จากคุณ : Bomb308 - [ 21 ม.ค. 50 00:32:50 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ได้ยินเรื่องเล่าว่าสมัยอเมริกันเข้ามาในอินโดจีน ช่วยลาวกอบกู้ภาวะเงินเฟ้อ โดยการเอาเงินท้องถิ่น (กีบ) ใส่รถบรรทุกไปเผาทิ้ง แล้วเอาเงินดอลลาร์จ่ายชดเชยให้รัฐบาลในราคาที่เท่ากัน จากคุณ : TauRuZ_PaSSeRBy - [ 21 ม.ค. 50 00:41:16 ]

ความคิดเห็นที่ 7 งงอะครับ เรื่องที่ทุกคนช่วยกันอธิบายน่าสนใจดีนะครับ ใครที่พอรู้เรื่องนี้ ช่วยรบกวนลงรายละเอียดแบบละเอียดๆๆให้หน่อยได้ไหมครับ อยากศึกษาไว้เหมือนกันครับ ขอบคุณมากครับ จากคุณ : Esprite - [ 21 ม.ค. 50 00:51:28 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เข้าใจว่าธนบัตรนั้นมันไม่ใช่กระดาษมีแต่รูปอย่างเดียว มันมีเลขประจำตัวแต่ล่ะใบไม่ซ้ำกันหรือเลขลำดับที่ แบบล๊อตเตอรี่นั่นแหละ คนปลอมล๊อตเตอรี่รางวัลที่ 1 ไปขึ้นเงินแม้จะเหมือนทุกอย่างก็ถูกจับได้แน่เพราะตรวจสอบรหัสบาร์โค้ดก็รู้แล้วว่าใช่หรือไม่ เพราะเลขรหัสมันปลอมไม่ได้หรือสร้างขึ้นเองไม่ได้ต้องออกมาจากกองสลาก      หากพิมพ์เงินมาก ๆ  คนต้องรู้และสงสัย คือมันมีการตรวจสอบจำนวนเงิน เหมือนซื้อของต้องแสกนบาร์โค้ดว่าของขายไปเท่าไหร่ เหลือเท่าไหร่      ถ้าพิมพ์เองก็ต้องสร้างเลขเพิ่มเอง เหมือนทำบาร์โค้ดเพิ่มเอง ต่างชาติก็รู้เพราะเงินใครมีเท่าไหร่เหลือเท่าไร่มันเชื่อมโยงกัน  เหมือนพนักงานเซเว่นแอบเอาของข้างนอกมาขายในร้านเพื่อเอาตังร้านตัวเอง แต่ในที่สุดจะรู้ว่าของจริง ๆ มันไม่ได้ถูกขายแต่เงินดันจ่ายไปเกินอย่างนั้นแหละ     ส่วนที่ว่าทำไมเรามีเงินน้อย เพราะเราจนมาแต่แรกอาจเพราะเราค้าขายสู้เขาไม่ได้ เราไม่ใช่ประเทศอุตสาหกรรม เราขายแต่ของถูกได้เงินน้อยกว่า ฯลฯ มาแต่สมัยโบร่ำโบราณแล้ว  ถ้าเราพิมพ์แบงค์เองมาก ๆ ก็เป็นความร่ำรวยหลอกลวงชาวโลกว่าทำไมเราขายของได้น้อย แต่คนในประเทศมีเงินเป็นฟ่อน เขาก็รู้อยู่ดี     แต่ที่แน่ ๆ เวลาพิมพ์แบงค์ไม่ได้มีแต่เราที่รู้กันเองในประเทศ จากคุณ : 1p2m - [ 21 ม.ค. 50 01:39:51 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ทำไมประเทศไทยจะผลิตเงินเองไม่ได้ อยากพิมเท่าไหร่ก้ได้ครับ แต่พิมแล้วได้อะไร ระยะสั้น ถ้าพิมไม่มาก อาจจะได้การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ต่อมาเงินเฟ้อก้ตามมา ถ้าพิมเยอะๆ ราคาของก้แพงขึ้นตามจำนวนที่พิม จากคุณ : polac - [ 21 ม.ค. 50 01:42:32 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ประเด็นคือ พิมพ์ออกมามากๆเงินก็เฟ้อ อย่างที่ คห1 บอกว่า "เงินเฟ้อสิครับ กลายเป็นไม่มีค่า จนกลายเป็นแค่เศษกระดาษ" แต่ ทางรัฐบาลต้องการให้เงินบาทอ่อนลงเล็กน้อย ก็เหมือนกับเงินเฟ้อเล็กน้อย  ไม่ใช่หรือ ดังนั้น แทนที่จะออกมาตรการปกป้อง ชัก 30% จนวุ่นวาย ก็พิมพ์เงินบาทเพิ่มสักหน่อยหนึ่ง เชื่อว่า แบงค์ชาติน่าจะมีความสามารถ คำนวนได้ ว่าพิมพ์สักเท่าไร เงินบาทจะอ่อนลงได้พอดีตามต้องการ เท่ากับยิงนกที่เดียวได้สองต่อ คือได้เงินทุนสำรองเพิ่ม ( เอาเงินบาทที่พิมพ์มาไปซื้อดอลลา ) และ ปรับค่าเงินให้เหมาะสมได้ด้วย ใครว่าผมคิดผิดตรงไหนช่วยแนะด้วย จากคุณ : Mudady - [ 21 ม.ค. 50 01:53:19 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 21 ม.ค. 50 04:15:08 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้าเราพิมพ์เองได้ แล้วประเทศอื่นๆเขาก็พิมพ์ได้เหมือนกัน มันก็จะทำให้เงินไม่มีค่าเหมือนเศษกระดาษ เค้าจึงต้องมีมาตราการในการที่จะพิมพ์แบงค์ออกมาจะต้องใช้ทองคำเป็นหลักค้ำประกัน จากคุณ : หานทราย - [ 21 ม.ค. 50 04:51:36 ]

ความคิดเห็นที่ 13 จะลองอธิบายแบบชาวบ้านให้ฟังครับ ถ้าเปรียบเทียบให้คุณเป็นเศรษฐีประจำหมู่บ้าน มีทองและเงินเต็มตุ่มที่บ้าน แต่เวลาซื้อของคุณขีเกียจหอบทองไป เพราะไม่สะดวก เวลาซื้อของ คุณก้อใช้วิธีเอากระดาษเปล่ามา เขียนจำนวนเงินที่ซื้อของลงไปพร้อมเซ็นต์กำกับ และบอกใช้เค้าไปขึ้นเงินที่บ้าน ถ้าชาวบ้านเชื่อว่าในตุ่มที่บ้านมีเงินจริง เค้าก้อยอมรับกระดาษคุณ ถ้าคุณเขียนไม่กี่ใบ กระดาษพวกนั้นจะมีค่ามากๆ พอๆกะทองคำทีเดียว แต่ถ้าคุณเล่นเขียนมากๆๆๆๆ ค่ามันจะเริ่มลดลง ชาวบ้านจะเริ่มสงสัยว่าในตุ่มที่บ้านมีเงินจริงมั๊ย แต่ถ้าคุณยังจำเป็นต้องใช้ของ คุณต้องยอมเขียนกระดาษเปล่านั้นในราคาสูงขึ้น เพื่อซื้อของราคาเท่าเดิม เช่นเขียนสองร้อย เพื่อซื้อของ100 ให้ชาวบ้าน แลกกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของเจ้าของสินค้าที่อาจแลกเงินไม่ได้ แต่ขืนคุณยังเขียนๆๆๆๆๆๆ ต่อไปอีก คุณค่ามันจะลดลงจนเป็นกระดาษเปล่าจริงๆ กระดาษที่ใช้เขียนค่าเงิน คือธนาบัตรไงครับ ส่วนเงินที่ใส่ตุ่มไว้ที่บ้าน คือเงินสำรองที่ธนาคารชาติ เก็บไว้แบคอัพค่าเงินไงครับ โดยมีเงินนี้มูคค่าเท่าไหร่่ เค้าก้อจะพิมพ์เป็นธนาบัตรออกมาปริมาณเป็นสัดส่วนตามที่สากลกำหนด แถมต่อให้ครับ ถ้าภาวะเงินอ่อนคือ เราพิมพ์ออกมามากจน คนเริ่มไม่เชื่อว่่าปริมาณเงินสำรองมีขนาดนั้น เงินเราก้อจะมีค่าน้อยลงเช่น 25บาทเคยแลกus ได้1 เหรียญ แต่ตอนนี้ต้องใช้35-38ถึงแลกได้1us ถ้าเงินแข็งคือ ชาวบ้านเค้าเชื่อว่าเรามีเงินสำรองมากกว่าที่พิมพ์ธนาบัตรเราไว้เยอะ เงินเราก้อมีค่ามากขึ้น เช่นแต่ก่อน40บาทต่อ1us ตอนนี้อยากได้1us เอาบาทไปแลกแค่ 35 ก้อพอ ไม่รู้ผมพ๎ดนี้ยิ่งทำให้งงมากขึ้นหรือเปล่า อิๆ แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 50 06:21:37 จากคุณ : พ่อฟ้าใส - [ 21 ม.ค. 50 06:16:14 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เป้าหมายของ bot ตั้งแต่ใช้ inflation targeting คือ รักษาเสถียรภาพของราคาเป็นอันดับหนึ่งครับ สำคัญว่าเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนซะอีก ส่วนเรื่องอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องเล็กมากในสายตา bot จากคุณ : Minesweeper - [ 21 ม.ค. 50 07:35:14 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คุณ พ่อฟ้าใส อธิบายได้เคลียที่สุดแล้วครับ อยากเข้าใจเพิ่มเติมหนังสือเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นเลยครับ จากคุณ : หนุ่ยนะครับ - [ 21 ม.ค. 50 07:58:22 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คุณพ่อฟ้าใส    อธิบายได้เห็นภาพชัดเจน  เคลียกระจ่าง เลยครับ  เยี่ยมเลยครับ จากคุณ : M_GR2LAB - [ 21 ม.ค. 50 14:59:36 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ตามที่คุณพ่อฟ้าใสว่านั่นเลยครับ เงินเป็นสิ่งสมมุติครับ ค่าของมันขึ้นกับความต้องการ เช่นเดียวกับทุกอย่างที่สมมุติขึ้นมาทั้งนั้น เคยถามตัวเองไหมว่าทำไมทองถึงมีค่า ขณะที่ถ่านไม่มีค่า ทำไมประเทศไทยต้องใช้เวลานี้ ทำไมบางประเทศต้องปรับเวลาขึ้นหนึ่งชั่วโมงในหน้าร้อน ฯลฯ บางทีมันใกล้ตัวจนไม่ได้สังเกตครับ จากคุณ : TauRuZ_PaSSeRBy - [ 21 ม.ค. 50 15:06:52 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คนไทยทุกคนจะได้มีกินมีใช้ ????? งบประมาณส่วนใหญ่ ควรลงไปกับการศึกษาและสังคมครับ ไม่ใช่ด้านการทหาร หรือ ฯลฯ โดยเฉพาะงบลับ จากคุณ : ไม่เจริญเพราะไม่รู้หนังสือ - [ 21 ม.ค. 50 15:33:17 A:125.25.136.122 X: TicketID:038237 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้ามีคนต้องการเงินบาทเยอะ ๆ แบบว่า เหมือนสหรัฐ ช่วงหนึ่งที่พิมพ์แบงค์ออกมาแจกได้ เพราะประเทศต่าง ๆ เชื่อมั่นเก็บเงิน US ไว้เป็นทุน แต่ประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่เป็นปชต. อย่างไทย จะทำให้คนอื่นเชื่อมั่นอย่างนั้นคงต้องรอสักหลายชาติครับ จากคุณ : HaHaHa - [ 21 ม.ค. 50 16:45:45 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ใช่ครับ  ถ้ามองตามหลักเศรษฐกิจ จะเกิดเงินเฟ้อ  แต่ถ้ามองตามหลักการผลิตธนบัตร  จะต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันมุลค่าเงินที่ผลิตออกมา   ซึ่งหลักทรัพย์ที่เค้าใช้กัน จะเป็นทองคำครับ จากคุณ : paokung - [ 21 ม.ค. 50 18:44:56 ]

ความคิดเห็นที่ 21 พิมพ์หนังสือแจกจ่ายให้มากขึ้น โดยเฉพาะวิชาเศรษฐศาตร์ให้กับผู้ตั้งกระทู้นี้ ฉันว่าประเทศชาติจะพัฒนา และผู้คนมีกินมีใช้มากกว่า มานั่งคิดจะพิมพ์เงินให้มันเยอะๆเป็นไหนๆนะ เงินเฟ้อ ฉันว่าเรียนมาตั้งแต่ ม.4 นะ กลุ้มจริงๆ ยังไงวานเจ้าของคำถามในกระทู้นี้ไปทบทวนนิดนึงนะจ๊ะ จากคุณ : ตามนี้ - [ 21 ม.ค. 50 19:33:44 ]

ความคิดเห็นที่ 22 แล้วสรุปว่าเราต้องมีทองเป็นตันๆมูลค่าเท่ากับจำนวนแบงค์ที่เราพิมพ์ออกมาเลยเหรอครับ งั้นทองพวกนั้นเค้าเก็บไว้ที่ไหนครับ อยากรู้จัง แล้วเคยได้ยินว่าอเมริกาสามารถพิมพ์แบงค์ได้ตามความต้องการโดยไม่ต้องมีทองค้ำประกัน จริงหรือเปล่าครับ จากคุณ : nuidee (หนุ่ยดี) - [ 22 ม.ค. 50 00:09:14 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อเมริกาเครดิตดีครับ ในฐานะมหาอำนาจโลกทั้งกำลังทหาร เศรษฐกิจ เทคโนโลยี จากคุณ : คนหนอคน - [ 22 ม.ค. 50 00:12:26 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ..เอาง่ายๆ.........ประเทศไทยผลิตเงินแจกคนละสิบล้านให้ครบทุกคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ซึ่งมี หกสิบกว่าล้านคน...นี่นะ ...เมื่อทุกคนมีเงินแล้ว..ชาวนาไม่ออกไปทำนาต่างคนต่างนอนนับเงินอยุ่ในบ้าน ในที่สุดข้าวก็ไม่มีกิน ...ถามว่าเอาเงินมากินแทนข้าวได้ไม๊........ก็ไม่ได้เงินแค่กระดาษ... ...ไม่งั้นญี่ปุ่นจะมานั่ง ทำ แคนนอนทำ โซนี่ทำโตโยต้าทำไม นั่งผลิตแต่เงินแจกไม่ดีกว่าหรือ...ประเทศไทยเราจนเพราะเราเรียนจบแต่ผลิตของยากๆไม่เป็นเราจึงจน ดูพวกดอกเตอร์ทั้งหลายเอาแต่นั่งวิจารณ์ เค้ายังบอกเลยบ้านเรามีนักวิทยาศาสตร์น้อย จากคุณ : กบ สีเขียว (เทพบุตรสายฟ้า) - [ 22 ม.ค. 50 07:38:01 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ผมอยากพูดให้ทุกท่านมองเห็นอีกนะครับ... ..พอชาวชนบทยากจน การเมืองจึงเป็นแบบนี้ ใครมาช่วยคนจนหรือนโยบายช่วยคนจน..พรรคนั้นได้รับเลือก.. ...แล้ว ทางใต้ ทางกทม ชอบดูถูกว่า 14 ล้านเสียงไม่มีคุณภาพ...ผมถามหน่อยกรุงเทพผลิตของเอาไปขายที่ถ้าไม่ใช่เหนือกะอีสาน...คนกรุงเทพก็ดูดทรัพยากรจากชนบทไป......กลับมาคืนน้อยในเรื่องงบประมาณ...แล้วต่างชาติ ก็ดูดต่อไปจนเราเหี่ยวเฉา..เพราะเราซื้อสินค้าเทคโนโลยี่เค้าใช้.......อันนี้ผมไม่ได้ว่าใครนะครับแต่ผมอยากให้คนไทยเข้าใจกันแล้วหันมาช่วยกัน...มิฉะนั้นถ้ามัวแต่โทษกันประเทศไทยเราจะลำบากขึ้นทุกวัน...เวลาน้ำท่วมก็รู้ว่าครับ.เขาถ่ายรูปสภาพชนบทมาให้เราดู.ฐานะของคนไทยเป็นไง ดูบ้านเค้าสิครับ เขาอยู่ตึก หรืออยู่กระท่อม........ส่วนมากยากจนนะครับ จากคุณ : เทพบุตรสายฟ้า - [ 22 ม.ค. 50 08:26:01 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อย่าไปแซว เจ้าของกระทู้มากเลย ถ้าเขารู้เค้าก้ไม่มาตั้งกระทู้ถามหรอกมั๊ง ผมว่ายังมีคนที่ไม่รู้ เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกมากเลย ผมเองยังไม่ใจว่ารู้แค่ไหนเล๊ย ..ขอบคุณพ่อฟ้าใส อธิบายดี สมแล้วที่เป็นครู ไปอบรม เป็นวิทยากร บ่อยๆๆ จากคุณ : :::GANTZ::: - [ 22 ม.ค. 50 09:44:01 ]

ความคิดเห็นที่ 27 สหรัฐมีเทคโนโลยีแยอะครับ ใช้แทนทองคำได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะเทคโนฯ ด้านอวกาศ ซึ่งพวกนี้มีไลเซนต์ซึ่งแปล ออกมาเป็นค่าเงินได้มหาศาล.......... จากคุณ : เด็กผีแดง - [ 22 ม.ค. 50 14:31:51 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ตัวตนที่แท้จริงของระบบเศรษฐกิจคือการผลิตและการแลกเปลี่ยนผลผลิตกันระหว่างผู้ผลิต ส่วนเงินเป็นเพียงตัวกลางที่ช่วยให้การแลกเปลี่ยนสินค้ากันทำได้สะดวกและเป็นธรรม ต่อมาตัวกลางนี้ได้พัฒนาขึ้นมาให้สามารถสะสมค่าได้ซึ่งธนาคารเป็นผู้รับสะสมค่านี้ แต่ค่าของตัวกลางนี้(เงิน)เป็นผลมาจากการผลิตและการบริโภคซึ่งมีความไม่แน่นอนในแต่ละช่วงเวลา เพื่อประกันค่าความไม่แน่นอนนี้ธนาคารในฐานะของผู้ทำหน้าที่ค้ำประกันความเชื่อมั่นจึงต้องนำความเชื่อมั่นของผู้ฝากนี้ไปอิงกับสินทรัพย์ที่เสื่อมค่ายากเช่นทองคำเพื่อให้ผู้นำความเชื่อมั่นมาฝากมั่นใจว่าแม้ในภาวะเลวร้ายที่สุดเช่นภาวะสงคราม ปริมาณเงินxค่าของเงิน ไม่มีวันลดค่าลงและสามารถนำออกมาใช้ได้ในทุกสภาวะการณ์ จากคุณ : . - [ 22 ม.ค. 50 14:44:16 A:203.114.125.223 X: TicketID:135638 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณครับ จากคุณ : จขกท. - [ 22 ม.ค. 50 18:02:49 A:125.26.55.198 X: TicketID:117957 ]

ความคิดเห็นที่ 30 พูดมาได้  รู้มาตั้งแต่ ม.4 อายปากบ้างจะพูดอะไร ถ้าเด็ก ปวช ปวส ที่ไม่ได้ผ่าน ม.4 มาล่ะ ปล. ผมให้ rep 21 ไปพัฒนาสมองด้านความสัมพันธ์ จากคุณ : MASTERSMITH - [ 22 ม.ค. 50 23:34:35 ]