ความคิดเห็นที่ 1 อย่างนี้เรียกว่า AYF ตุกติกได้หรือเปล่า? AYF ที่ว่าคือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อยุธยา (โทร.02-657-5757) สองปีก่อนบริษัทนี้มีกองทุนเปิดอยุธยาเพิ่มค่า 3-4-5 ออกจำหน่ายแก่ประชาชีที่เบี้ยน้อยหอยน้อย อธิบายเจ้ากองทุนที่ว่าแบบง่ายๆ คือ ฝาก 3 ปี ปีแรกได้ดอกเบี้ย3% ปีที่สองได้ 4% และปีที่สาม 5% ง่ายๆ แค่นี้ หลายคนซื้อ เพราะความเสี่ยงมันต่ำเพราะไม่ได้ลงทุนในหุ้น ลงเฉพาะแต่ในตราสารหนี้ที่มีความมั่นคง แถมในช่วงปีนั้นดอกเบี้ยธนาคาร ยังอยู่ไม่ถึง 3 เปอร์เซ็นต์และยังไม่มีทีท่าว่าดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การจะขึ้นถึง 4% และ 5% ดูเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก นักออมเงินก็พร้อมจะลุ้นฝังเงินไว้ในกองทุนนี้ 3 ปี และเก็บเกี่ยวดอกผลเล็กๆ น้อยๆ ตามอัตภาพ สิ้นปีแรก ดอกเบี้ยที่กองทุนนี้ให้ยังสูสีตลาด ปีที่สองเริ่มชัดเจนว่า กองทุนตราสารหนี้ส่วนใหญ่ให้ดอกเบี้ยมากกว่า 4% ไปมาก หลายกองทุนให้ถึง 4.8% แต่ก็ไม่เป็นไร นิดๆ หน่อยๆ อดทนรอ 5% ในปีถัดไปมาถัวแล้วกัน แต่แล้ว AYF ก็ตุกติกจนได้! ในช่วงดอกเบี้ยขาลง AYF ตุกติกเปลี่ยนสัญญา โดยเสนอทางเลือก(แบบบีบบังคับ)ให้ลูกค้าเลือกเปลี่ยนกองทุนเป็น 3-4-2 คือปีสุดท้ายรับ แค่ 2%! (เฮ้ย!) แต่ถ้าผู้ถือหน่วยเดิมไม่เอาก็เอาเงินคืนไป (เฮ้ย!) ทำอย่างนี้ได้ไงครับ เขาบอกเหตุผลว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงการลงทุน เพราะเงินลงทุนของนักออมกองทุนนี้ถูกนำไปลงทุนในตราสารที่เครดิตลดลง นี่คือการวิเคราะห์ผิดพลาด แล้วให้ผู้ออมเงินรับผิดชอบนี่ครับ เหมือนเล่นหมากรุกกัน ตอนตัวเองได้เปรียบก็วางท่าเฉยๆ แต่พอดูท่าจะเสียเปรียบก็ล้มกระดาน ผู้ถือกองทุนบางคนเรียกวิธีการนี้ว่าโกง แต่ผมว่าแค่ตุกติก และไม่ค่อยสง่างามเท่าไหร่ ผมก็ได้แค่บ่น และคงต้องรับชะตากรรม ที่ AYF กำหนดให้ อาจจะปรับให้ผมรับแค่ 2% หรือ ปัดเงินออมน้อยๆ ของผมทิ้ง ก็ได้แต่สงสารนักออม และนักลงทุนคนอื่นๆ ที่กำลังฝากเงินออมของท่านไว้กับนักวิเคราะห์ และคนดูแลเงินออมของประชาชนที่ปัดความ รับผิดชอบ และไม่รักษาประโยชน์ของลูกค้า เช่นนี้ จากคุณ : ชายผู้ที่ฝากเงินลงทุนเกือบทั้ง - [ 23 มี.ค. 50 23:34:10 A:10.90.5.138 X:202.28.181.10 TicketID:141542 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ในแง่ความเสี่ยง LTF ลงทุนในหุ้นอย่างเดียว RMF ลงทุนในหุ้น/พันธะบัตร/ตราสารหนี้ ในแง่ระยะเวลาการลงทุน LTF 5ปีปฏิทิน ไม่ต้องลงทุนต่อเนื่อง ซื้อปีไหนลดหย่อนปีนั้น ส่วน RMF ต้องลงทุนจนถึงอายุ 55 และซื้อต่อเนื่อง แต่ซื้อได้ปีเว้นปี ส่วนตัวแล้วชอบ RMF มากกว่า เพราะ 1. กระจายความเสี่ยงได้(ระดับนึง) สามารถลงทุนได้ทั้ง หุ้น(เสี่ยงมาก)/พันธะบัตร(เสี่ยงน้อย) หรือ ตราสารหนี้(เสี่ยงพอประมาณ) 2. จัดการความเสี่ยงได้(ระดับนึง) โดยการ switch ไปมาระหว่างหุ้น/พันธะบัตร/ตราสารหนี้ เมื่อตลาดทุนไม่ดี ก็หลบไปเข้าตราสารหนี้หรือพันธบัตร เมื่อดีก็ Switch กลับมา หลายคนอาจเถียงว่า LTF ก็ Switch กองทุนได้ เนื่องจาก LTF จะมีแต่หุ้นเท่านั้น ทำให้ผมคิดว่า การย้ายจากหุ้นไปหุ้น ไม่ได้ช่วยในแง่ของการจัดการความเสี่ยงเท่าไหร่เลย ฐานภาษีจะเป็นตัวบอก Margin of safety ยิ่งมากยิ่งดี ผมคิดว่า 20% เป็นส่วนลดที่น่าดึงดูดใจพอสมควร แต่เนื่องจากต้องแช่เอาไว้นาน ผมจึงเลือกใช้ลดหย่อยเฉพาะส่วนที่เกิน 10% คิดซะว่าเมื่อแก่จะได้มีเงินก้อนไว้ใช้ ผมอยู่ในตลาดหุ้น รู้ดีว่ามันเสี่ยงแค่ไหนกับการที่เอาเงินมาลงในตลาดทุนโดยให้คนอื่นจัดการให้ ถึงจะได้ส่วนลดก็เถอะ เพราะงั้นจึงไม่ชอบ LTF เอาซะเลย ยิ่งถ้าตลาดเป็นแนวโน้มลง หรือไซด์เวย์ด้วยแล้ว หัวใจจะวาย อ้อ พันธะบัตรถึงจะมีความเสี่ยงน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยงเลย ถ้าหากดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะขึ้น การลงทุนในพันธะบัตรก็ไม่ดีนัก แต่ถ้าดอกเบี้ยมีแนวโนมลงอย่างตอนนี้ก็พอดูได้ ส่วนตราสารหนี้ นั้นมีความเสี่ยงมากขึ้นจากผู้ออกตราสารหนี้ หากเบี้ยว ผู้ลงทุนก็อด เพราะงั้นเวลาจะเข้าไปลงทุนในกองพวกนี้ ต้องระวังหมั่นเข้าไปดูว่า กองทุนให้ใครกู้บ้าง มีโอกาสเบี้ยวหนี้มาก-น้อยแค่ไหน ส่วนหุ้นนี่สุดๆ (เมื่อวานผมถือหุ้นอยู่ตัวหนึ่ง บวกไป 8% วันนี้วันเดียวลงไป 25%) ไม่ได้บอกว่ากองทุนพวกนี้ถือหุ้นประเภทเดียวกับผมนะ เพียงแต่จะบอกว่า ตลาดนี้เวลาดีก็ดีใจหาย แต่เวลาแย่ก็เกือบหมดลมหายใจเลย(ญาติผมเคยซื้อกองทุนหุ้นเมื่อหลายปีแล้ว จาก Par 10 ตอนนี้เหลือ 2 บาทกว่า หายไป 70 กว่า% ดีนะที่แกตายไปนานแล้ว ไม่งั้นเห็น nav ตอนนี้ก็คงหัวใจวายตายเหมือนกัน) อย่างไรก็ดี ในฐานะที่ผ่านมาก่อนผมบอกได้ว่า เวลาและส่วนลดที่เยอะ จะเป็นตัวละลายความเสี่ยงที่ดี (แต่ต้องใส่ใจด้วยนะ) โชคดีครับ จากคุณ : ชอบของถูก - [ 24 มี.ค. 50 00:25:59 A:124.120.71.219 X: TicketID:109035 ]