ความคิดเห็นที่ 1 รู้สึกว่าจะมี บลจ.เอ็มเอฟซี นะครับ เขาตั้งเป็นกอง FIF ได้หลายปีแล้ว จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 25 มี.ค. 50 11:11:49 ]

ความคิดเห็นที่ 2 นาน ๆ จะได้เข้ามาห้องสินธร ก็ขอถือโอกาสแสดงความคิดเห็นหน่อยนะครับ เรื่องนี้ผมขออนุญาติตอบโดยใช้ทฤษฎีครับ (หาวิธีตอบแบบชาวบ้านค่อนข้างยาก) คือ ตามหลัก Interest rate parity จะลงทุนรับดอกเบี้ยที่ประเทศไหน ถ้าสุดท้าย convert มาเป็นสกุลเงินไทย ก็จะได้ดอกเบี้ยเท่ากับดอกเบี้ยในประเทศครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าดอกเบี้ย 1-yr AUS 6% ดอกเบี้ยไทย 4% แล้วคนไทยเอาเงินไปแลก AUS Dollar ฝากเอาไว้ 1 ปี เวลาแลกเงินกลับเป็นบาท ค่าเงิน AUS/THB ตามหลักจะอ่อนค่าลง 2% (ขาดทุน) สุดท้ายแล้วนักลงทุนก็ได้แค่ 4% (6%-4%) เท่ากับดอกเบี้ยของเมืองไทยครับ ถ้าจะตั้งกองทุนลักษณะข้างต้น อย่างที่คุณ จขกท. เสนอ ทางกองทุนคงจะต้องพิจารณาป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน เพราะว่าถ้ากองทุนลงทุนแบบมีลักษณะคล้ายฝากเงิน ถ้าฝากได้ดอกเบี้ยสูงแต่ขาดทุนค่าเงินมาก ๆ กองทุนก็อาจจะขาดทุนได้ นักลงทุนคงก็จะไม่ happy มาก ๆ เวลา hedge หรือป้องกันความเสี่ยง ผู้จัดการกองทุนจะทำผ่านอนุพันธ์ที่เรียกว่า FX Forward (พวก banker ชอบเรียก fx swap แต่ผมว่ามันทำให้สับสน) ซึ่งมีต้นทุน และต้นทุนจะเท่ากับส่วนต่างดอกเบี้ยพอดี ถ้าอย่างในตัวอย่างก็คือ 2% สุดท้ายนักลงทุนไทยไปลงใน AUS ได้ 6% หลังหักต้นทุนในการป้องกันความเสี่ย (hedging cost) ก็จะเหลือ 4% ไม่แตกต่างจากลงทุนในไทยครับ FYI - FX Forward คือเครื่องมืออันเดียวกับที่บริษัทที่ทำธุรกิจนำเข้า/ส่งออก ใช้ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน ซึ่งมีใช้กันมานานแล้วครับ และตลาดก็มีสภาพคล่องสูงมาก (แบงค์ชาติ เวลาเข้าไปแทรกแซงค่าเงินก็มักจะทำผ่านตลาดนี้เช่นเดียวกัน ที่หนังสือพิมพ์เค้าชอบพูดว่า "ฐานะฟอร์เวิร์ดสุทธิของธปท.เพิ่มขึ้น/ลดลง xxx บาท" จากคุณ : เจษ (JET_AYF) - [ 25 มี.ค. 50 22:05:39 ]