ความคิดเห็นที่ 1 อาจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ  สรุปไว้ในหนังสือหน้า 43 ว่า... ข้อแตกต่างระหว่างความร่ำรวย กับความมั่งคั่ง อยู่ที่..   "สถานะของทรัพย์สินในแต่ละช่วงเวลา" หรือจะว่าไปก็ขึ้นอยู่กับ  "การไหล" และ "การสะสม"... ในย่อหน้าที่ 3  ของหน้า 43....... อาจารย์วรากรณ์  บอกว่า.. ความร่ำรวย หมายถึง เงินสดหรือรายได้ที่ได้รับต่อช่วงเวลา.. ความมั่งคั่ง หมายถึง มูลค่าทรัพย์สิน ณ จุดหนึ่งของเวลา.. ........ มีช่วงเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย... ดังนั้น จะร่ำรวยหรือ จะมั่งคั่ง  ก็ไม่แน่นอนคงที่ ต้องขึ้นอยู่กับเวลาด้วย... จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 2 เม.ย. 50 16:12:24 ]

ความคิดเห็นที่ 2 หากจะให้เข้าใจมากขึ้น... อาจารย์วรากรณ์..  ได้เปรียบเทียบไว้พอสรุปได้ว่า.. ความร่ำรวย กับความมั่งคั่งมีความสัมพันธ์กัน  เหมือนการไหลของน้ำเข้าสู่ถังเก็บน้ำ จังหวะใดก็ตามที่กระแสน้ำไหลเข้าถังในปริมาณมากๆ... ก็หมายถึงจังหวะนั้น ความร่ำรวย ได้เข้ามาเยี่ยมเยือนแล้ว.. ประเด็นต่อมา... ปริมาณน้ำที่ไหลมามากๆ หากถูกสูบออกไปใช้ในอัตราการไหลออกที่เท่ากัน หรือ มากกว่า... ก็เท่ากับว่า  มีแต่ความร่ำรวย... หาได้มีความมั่งคั่งไม่ ดังนั้น  "ความมั่งคั่ง"... จึงเปรียบเสมือนปริมาณน้ำที่ถูกกักเก็บไว้ได้ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง... การจะกักเก็บน้ำไว้  จะต้องอาศัย การลดอัตราการไหลออกของน้ำให้น้อยลงกว่าอัตราการไหลเข้า.. ........... ความร่ำรวย จึงเป็นตัวแปรสำคัญที่จะสร้างความมั่งคั่ง.. แต่ตัวแปรที่สำคัญกว่าคือ ตัวของ "ความมั่งคั่ง" เอง... เพราะว่า ใครจะมีความมั่งคั่งเท่าใดนั้น จะต้องระบุมูลค่าความมั่งคั่งจาก  "การตีราคา" ของสิ่งที่ถูกกักเก็บไว้ ณ จุดใดจุดหนึ่งของเวลานั่นเอง จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 2 เม.ย. 50 16:29:34 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ทีนี้หากมองในแง่ของโรเบิร์ต ที คิโยซากิ..  ผู้เขียน Rich Dad Poor Dad.. "ความร่ำรวย" จะเกิดขึ้นได้จากการมีกระแสเงินไหลเข้าในปริมาณมากๆ.. ไม่แตกต่างกัน... แต่อาจจะดูมหัศจรรย์กว่าวิธีปกติธรรมดา ตรงที่ กระแสเงินไหลเข้านั้น ถูกเน้นว่าจะต้องมาจาก "ทรัพย์สิน"  ..   หรืออีกนัยหนึ่ง "ความร่ำรวย" จะถูกสร้างขึ้นจาก  "ความมั่งคั่ง"  ที่มีอยู่ในขณะหนึ่งนั่นเอง   ใช่หรือไม่?? ดังนั้น... จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 2 เม.ย. 50 16:56:12 ]

ความคิดเห็นที่ 4 หากอ่าน "พ่อรวยฯ"  อีกสักรอบ... สิ่งที่โรเบิร์ตบอก...  และเสนอ...  ว่าให้หา "ทรัพย์สิน" ที่เป็น "ทรัพย์สิน"  ที่แท้จริง... นั่นก็คือ  ทรัพย์สินในส่วนที่ ไม่ถูกนำไปใช้จ่าย.. หรือทรัพย์สินในส่วนที่ถูกกักเก็บไว้.. และนำทรัพย์สินในส่วนนี้มาใช้ประโยชน์.. ก็เหมือนโรเบิร์ต..กำลังบอกว่า... อุดรูรั่ว  ที่ไม่จำเป็นทุกรู ซะ.. และต่อท่อใหม่  ให้ "น้ำ"  ที่เก็บไว้นั้น...  ไหลออกไป ดันเอาน้ำใหม่ๆ เข้ามา ในปริมาณที่มากขึ้น ... มีอะไรที่มากไปกว่านี้หรือไม่?? ... จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 2 เม.ย. 50 17:01:29 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สวัสดีพี่ คนล่าห่าน ครับ เข้ามานั่งหน้าห้อง รอฟังต่อครับ จากคุณ : Golden-Bullet - [ 2 เม.ย. 50 17:05:32 ]

ความคิดเห็นที่ 6 มานั่งหลังห้องแล้วกั๊บ จากคุณ : ดอกไม้ DSM - [ 2 เม.ย. 50 17:08:28 A:221.128.102.175 X: TicketID:125129 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แนวคิดของโรเบิร์ต... ไม่แตกต่างกับแนวคิดของอาจารย์วรากรณ์.. และคงไม่แตกต่างกับแนวคิด "ความร่ำรวยและความมั่งคั่ง"  ของคนอื่นๆ เพียงแต่ ให้รายละเอียดปลีกย่อยที่ชัดเจนกว่า.. ของอาจารย์วรากรณ์ให้ความชัดเจนใน "คำจำกัดความ" ของโรเบิร์ต ให้ความชัดเจนใน "กลไกความสัมพันธ์".. และหนังสือเล่มอื่นๆ ของโรเบิร์ต  ให้ความคิด ในการ "ผลัก" หรือ "ขับเคลื่อน" กลไกนั้นให้ทำงาน พื้นฐานของความร่ำรวยและความมั่งคั่ง.. ไม่มีอะไรมากไปกว่า  .."หารายได้ให้มากขึ้น"  และ "เก็บสะสมมันเอาไว้" หาอย่างไร...   สะสมอย่างไร... ก็จะมีวิธีการปลีกย่อยอีกมากมาย เหล่านี้...  หากมาโยงกับ DSM...   ก็คงไม่ผิดไปจาก   .."หารายได้ให้มากขึ้น"  และ "เก็บสะสมมันเอาไว้" ........ ซึ่งผมคงไม่น่าจะเข้าใจประเด็นนี้ผิดไปจาก...  แนวคิด DSM แท้ๆ เพราะเป็นที่รู้กันว่ารากฐานแนวคิดของ DSM ก็มาจาก แนวคิดของความร่ำรวยและความมั่งคั่ง  ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือของโรเบิร์ต เพราะท่านจ้าวสำนักเป็นคนระบุออกมาเอง..  อิอิ .......... จึงเข้ามาสู่คำถามที่ได้ตั้งใจไว้..   DSM  เน้นที่ความร่ำรวย  หรือ ความมั่งคั่ง... คำตอบของคำถามนี้... จะทำให้เห็นที่มา ของวิธีการเทรด  DSM ในรูปแบบที่แตกต่างกันอย่างมากมาย..  ของหลายๆ คน ผมเชื่ออย่างนั้น..........   แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 50 17:30:10 แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 50 17:19:25 จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 2 เม.ย. 50 17:14:42 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อิอิ...  มีผู้รับชม 2 ท่านแล้วกั๊บ... ดีใจจัง....   .......... คำตอบของคำถาม.. DSM เน้นที่ความร่ำรวย หรือเน้นที่ความมั่งคั่ง.. ถ้าตอบเพียงด้านใดด้านหนึ่ง... จะมีวิธีการเทรดที่แตกต่างกันไป...  ราวฟ้ากับดิน...   เมื่อใดที่คำตอบออกมาเป็น   DSM  เน้นที่ความร่ำรวย.. กลไกการเทรดจะออกมาในแนวทางที่สร้างให้เกิด กสง. แต่ในทางกลับกัน  ถ้า คำตอบออกมาในทิศทางของการสร้างความมั่งคั่ง.. กลไกการเทรดก็จะเน้นไปที่การซื้อคืน และสะสมจำนวนหุ้น... .... ซึ่งเท่ากับเป็นการกำหนดช่องการซื้อคืนที่แตกต่างกัน. ผลที่ได้จึงไม่เท่ากัน... .......... ในประเด็นต่อมา... หากมองในแง่ของ การสร้างความมั่งคั่ง... ปัญหาก็คือ   "ความมั่งคั่ง"...  จะถูกวัดค่าจาก อะไร? ในขณะที่โดยทั่วไป  "ความมั่งคั่ง"  จะถูกวัดค่าจาก... การตีราคา.. .............. และตรงนี้ภาพลวงตาจะเกิดขึ้น...?? จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 2 เม.ย. 50 17:25:47 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ต้องบอก ณ ตรงนี้อีกครั้งว่า... สิ่งที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้เป็นการตีความ  ซึ่งอาจจะมีทั้งตรงและไม่ตรง ทั้งถูกและไม่ถูก  หรืออาจจะทั้งไม่ตรงและไม่ถูกเลยก็ได้..  เพราะเป็นเพียงแค่ “ตีความ” ................... ผมพยายามตั้งคำถามชนิดที่คิดว่ามันมีความน่าจะดึงดูดใจ  แต่เชื่อว่ามาถึงบรรทัดนี้... คงเดาคำตอบได้ไม่ยากว่า.. ที่สุดแล้วคำตอบของคำถาม... DSM เน้นที่ความร่ำรวย หรือเน้นที่ความมั่งคั่ง??..นั้น ผมต้องตอบว่า..  DSM เน้นทั้งสองอย่าง.. และเป็นทั้งสองอย่างที่ควรจะประสานสอดคล้องส่งเสริมกัน... เหมือนเป็นการชักนำน้ำในถังไปในทิศทางที่ต้องการ เพื่อผลักดันน้ำใหม่ที่มีปริมาณมากกว่าเข้ามาในถังอย่างสม่ำเสมอ.. คำถามที่ตามมาก็คือ.. จะสร้างความสอดคล้องนั้นได้อย่างไร..? แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 50 23:00:45 จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 2 เม.ย. 50 17:31:30 ]

ความคิดเห็นที่ 10 อิอิอิ....... มาช่วยเสริม...... วิธีขยายพอร์ตมีสองแบบ..... แบบแรก....ขยายพอร์ตจำนวนเงินสด...... แบบสอง....ขยายพอร์ตจำนวนหุ้นที่ถือ....... ถ้าเล่นแบบแรก..... ต้องขยัน...ค้นหาหุ้น...อ่านข่าว....ดูกราฟ..... แบบสอง....เล่นตามสเต๊บ.... มีเวลา....อยากทำไรก็ทำ...... ปัญหาของเงิน.....มีสองอย่าง...... หนึ่ง.....ไม่มีเงิน...... สอง....มีเงินมากเกินไป...... 555555555555555555 จากคุณ : armeh - [ 2 เม.ย. 50 19:04:15 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอฟังด้วยคนครับ พี่ห่านฯ จากคุณ : Pu'Chew - [ 2 เม.ย. 50 21:01:15 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อิอิ  มีผู้สนใจเพิ่มมาอีกสอง..   ......... การตอบคำถามใน คห.9   คงต้องทำความเข้าใจกับปัญหาที่ผมทิ้งท้ายไว้ใน คห. 8 ..ที่ว่า ความมั่งคั่งจะถูกวัดค่าจากอะไร...?? ซึ่งโดยปกติการวัดค่าจะใช้การ “ตีราคา” เป็นการ “ตีราคา” ที่เทียบกับ “อำนาจซื้อ” ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ดังนั้นถ้าความมั่งคั่งคือ “เงิน” ที่ถูกเก็บกักไว้ในตู้เซฟอยู่เฉยๆ เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง  สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ  “อำนาจซื้อ”  ของเงินจำนวนนั้นจะถูกลดทอนลงไป การเก็บกัก "อำนาจซื้อ" ไว้ในรูปแบบที่เหมาะสม ก็จะสร้างความมั่งคั่งให้คงอยู่   และเท่ากับเก็บกัก “อำนาจซื้อ” ให้คงมีอำนาจไว้เท่าหรือมากกว่าเดิม การเก็บกัก "อำนาจซื้อ"  อาจทำได้โดยการแปรรูป “รายได้” หรือ “เงิน” ที่ได้รับในช่วงเวลาหนึ่งให้อยู่ในรูปของ สินทรัพย์ต่างๆ ที่แต่ละคนเชื่อมั่นว่าจะสามารถคืน "อำนาจซื้อ" ให้ได้เท่าเดิมเมื่อเวลาผ่านพ้นไป ........... ในกรณีที่เราเก็บ “รายได้” หรือ “เงิน”  ไว้ในรูปของ “หุ้น”...   การประเมินหรือตีค่า “อำนาจซื้อ” จะมีความผันผวนอย่างมาก เพราะเราจะไม่สามารถวัดประเมิน “ตีราคา” หุ้น  ออกมาเป็น “อำนาจซื้อ” ได้อย่างชัดเจนแน่นอนคงที่เป็นระยะเวลายาวนานได้เหมือนสินทรัพย์ประเภทอื่น เพราะ“การตีราคา” เกิดขึ้นทุกๆ วินาที ที่ “หุ้น” นั้นอยู่ใน “ความสนใจ” ของคนในตลาด และกลายเป็น “ภาพลวงตา” ของ “มูลค่าหุ้น”... ........ และน่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง...  ที่ทำให้คนรีบขายหุ้นทิ้ง เมื่อราคาตกลง... เพราะกลัว “อำนาจซื้อ” จะหดลง นั่นเอง... แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 50 23:09:58 จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 2 เม.ย. 50 23:08:09 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ถึงตรงนี้... ถ้าใครที่เทรดหุ้นตามแนวทาง DSM จะมองออกเลยว่า... DSM  นั้น มองข้ามจุดนี้ไปด้วยคำเตือนของท่านเจ้าสำนัก  ที่ย้ำหลายต่อหลายครั้งว่า... อย่าไปให้ความสำคัญกับมูลค่าพอร์ท...   เพราะเรากำลังให้ความสำคัญ อยู่กับ “ภาพลวงตา”...นั่นเอง ........ งั้น  ก็แสดงว่าการเทรดแบบ  DSM  ก็ไม่ได้เน้นที่ “ความมั่งคั่ง”  น่ะซี... เปล่าเลย! การเทรดแบบ DSM เน้นความมั่งคั่ง.. และเน้นอย่างมากด้วย แต่เน้นความมั่งคั่งที่สะสม “อำนาจซื้อเฉพาะ”...จนกว่า  “อำนาจซื้อเฉพาะ” นั้นจะมีมูลค่าสูงกว่า “อำนาจซื้อ”   จากเงิน หมายความว่า... เมื่อใดก็ตามที่ ราคาหุ้น ลดลง  ความมั่งคั่งก็จะลดลงในมุมมองของอำนาจซื้อที่มาจากเงิน  หรือ พูดได้ว่า “อำนาจซื้อ” ลดลงเมื่อเทียบกับ. “เงิน”. แต่ “อำนาจซื้อเฉพาะ” เมื่อเทียบกับตัวมันเองไม่ได้ลดลง..  ... นั่นคือ “ภาพจริง” ที่เกิดขึ้นซ้อนอยู่กับ “ภาพลวงตา”....... และสินทรัพย์ทุกๆ ประเภท..  ก็น่าจะมีลักษณะอย่างนี้... เพียงแต่ ไม่ปรากฏชัดเจนเท่ากับ “หุ้น” ถ้าไม่มีเงินมาเป็นตัวกลาง...  ภาพลวงตา จะไม่เกิดขึ้น... และเพราะเกิดภาพลวงตาขึ้น... DSM จึงใช้ประโยชน์จากภาพลวงตามาสร้างกระแสเงิน. (ความร่ำรวย).  โดย.. การเปลี่ยน “หุ้น” เป็น “เงิน”  และ เปลี่ยน “เงิน”  กลับเป็น "หุ้น" หรือเปรียบเสมือน  การเปลี่ยน “อำนาจซื้อเฉพาะ” มาเป็น “อำนาจซื้อจากเงิน” และเปลี่ยน “อำนาจซื้อจากเงิน” มาเป็น “อำนาจซื้อเฉพาะ” อีกทีหนึ่ง กลไก มันจึงอยู่ที่การจับจังหวะ  “ซื้อให้ถูกกว่าขาย” ให้ได้ทุกครั้งไป และรอบวงจรไม่ควรจบอยู่ที่การเปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งหนึ่งอย่างถาวรก่อนเวลาอันควร... เพราะจะเป็นจบเกมส์การเปลี่ยน “อำนาจซื้อเฉพาะ”  ไปเป็น “อำนาจซื้อจากเงิน” ก่อนที่เกมส์จะจบ และหาก “อำนาจซื้อเฉพาะ”  ถูกเปลี่ยนมาเป็น “อำนาจซื้อจากเงิน”  ในจำนวนที่ต่ำกว่าจากที่เคยเปลี่ยนไว้ .. นั่นจะมีผลเท่ากับการทำลายความมั่งคั่งของ “เงิน” โดยสมบูรณ์.. ทั้งหมดนั้นจึงเป็นการตอบคำถาม... ที่ว่า จะสร้างความสอดคล้องระหว่างความร่ำรวยและความมั่งคั่งได้อย่างไร และอย่าลืม อีก กลไก หนึ่งที่สำคัญคือ  ....... อย่าเพิ่งจบเกมส์ก่อนเกมส์จะจบโดยตัวของมันเอง.. ........... สรุปได้ว่า... การเทรดแบบ DSM  เน้นทั้งความร่ำรวย และเน้นทั้งความมั่งคั่ง... ครับ แถมต้องเป็นความร่ำรวยและความมั่งคั่งที่มีลักษณะเฉพาะ..... ที่ต้องการความเข้าใจในการผสมผสานความร่ำรวยและความมั่งคั่งเข้าด้วยกันอย่างสอดคล้องเลยทีเดียว.. และต้องอาศัยเวลา...  โดยตระหนักว่า.. อย่าเพิ่งจบเกมส์ก่อนเกมส์จะจบโดยตัวของมันเอง.. . แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 50 23:20:16 จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 2 เม.ย. 50 23:14:56 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ตามมาแอบฟังครับ .. จากคุณ : ozzyii - [ 3 เม.ย. 50 08:57:33 ]

ความคิดเห็นที่ 15 รออ่านและรอออกเล่มใหม่ดีกว่า จากคุณ : กึ่งสำเร็จรูป - [ 3 เม.ย. 50 09:40:15 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณ คุณพี่กึ่งฯ ครับ...  ที่จะรออ่านรอออกเล่มใหม่... แต่ไม่รู้ว่าจะรอถึง พอ. ศอ.  ไหน  นะครับ........เอิ๊กๆๆ. กลัวหาโรงพิมพ์ไม่ได้..........  .. ................. คุณพี่ออสซี่  แอบฟังไม่ได้ฮับ..  ช่วยติติงด้วยครับ..... . คุณพี่ท่านอื่นๆ  ที่เผลอเข้ามาอ่านด้วยนะครับ.. อยากทราบความเห็นเพิ่มเติม...  เห็นด้วย เห็นต่างอย่างไรก็ได้นะครับ.. ไม่มีว่ากันอยู่แล้ว...  เพราะสิ่งที่ผมเขียนมาก็ จำๆ เขาเอามาตีความอีกทีทั้งนั้น.. อาจจะถูกหรือผิดก็ได้...  ดังนั้น หากผิด ช่วยเตือนๆ กันมั่งนะครับ.. หรือถ้าถูก ช่วยต่อให้อีกนิด  เผื่อผมจะได้คิดไปไกลได้อีกหน่อยนะครับ... ขอบคุณที่แวะมาอ่านครับ... อิอิ จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 3 เม.ย. 50 10:36:17 ]

ความคิดเห็นที่ 17 มาอ่านครับ จากคุณ : trakulsom - [ 3 เม.ย. 50 14:48:47 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ทั้งหมดที่เขียนมา  สรุปลงตรงที่ว่า.. DSM เน้นทั้งความร่ำรวย และความมั่งคั่ง... แต่ถ้าพิจารณาถึงกระบวนการของ DSM แล้ว.. ผมว่าเป็นกระบวนการที่สอดคล้องกับแนวปรัชญาแบบเศรษฐกิจพอเพียงอยู่อย่างมาก.. แต่ก่อนจะเข้าไปถึงตรงนั้น... ขออนุญาตทบทวนเนื้อหาแนวความคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซักนิดหนึ่ง.. พระองค์ท่านทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำไปเผยแพร่เพื่อเป็นแนวทาง ของทุกฝ่ายและประชาชนโดยทั่วไป เมื่อวันที่ 21 พย.2542 โดยมีใจความว่า.. _/|\_ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้ต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน  และขณะเดียวกัน จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี _/|\_ แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 50 21:29:26 จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 3 เม.ย. 50 21:20:24 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เผยแพร่และเสนอแนะการตีความปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงว่า มีหลักพิจารณาอยู่ 5 ส่วน ดังนี้ 1.  กรอบแนวคิด เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจาก วิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัย และวิกฤต เพื่อความมั่นคง และความยั่งยืนของการพัฒนา 2.คุณลักษณะ เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ โดยเน้นการปฏิบัติบน ทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน 3. คำนิยาม ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 คุณลักษณะ พร้อมๆ กัน ดังนี้ .             a. ความพอประมาณ .                 หมายถึง ความพอดี ที่ไม่น้อยเกินไป และไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ ในระดับพอประมาณ .             b. ความมีเหตุผล .                  หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ .              c. การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว .                  หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและ การเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล 4.เงื่อนไข การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัยทั้งความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน กล่าวคือ .               a. เงื่อนไขความรู้ .                   ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้น มาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และ ความระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ .                b. เงื่อนไขคุณธรรม   .                    ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักใน คุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต 5. แนวทางปฏิบัติ/ผลที่คาดว่าจะได้รับ   จากการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืนพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้และเทคโนโลยี ................ จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 3 เม.ย. 50 21:28:16 ]

ความคิดเห็นที่ 20 DSM ดีไม่ดี "ยาก" จะบอก ต้องลอง......อิอิ ...แอบซุ่มเข้ามาตอนป๋าฯหลับ   .... รอคนล่าห่าน แอ็พปิโสดทู    ครับ... จากคุณ : akae - [ 3 เม.ย. 50 23:02:40 ]

ความคิดเห็นที่ 21 มีเรื่องหนึ่งครับที่ผมลองคิดดูบางทีมันก็เป็นเรื่องที่ซ้อนกันอยู่ระหว่าง "ความร่ำรวย" กับ "ความมั่งคั่ง" เอาตามที่พี่ห่านฯบอกนะครับ ถ้าการเน้นที่ความร่ำรวย เน้นที่ "เงิน" และความมั่งคั่งเน้นที่ "หุ้น" แล้ว การที่สะสมเงินหรือซื้อหุ้นจากเงินส่วนนี้นี่ เราจะนับเป็นซื้อหุ้นหรือจะนับเป็นการลดต้นทุนได้ไหมครับ จริงๆแล้วถ้าเราได้ กสงฝ 50% จากมูลค่าการลงทุน ก็เท่ากับเราทำ คค ratio ไปเรียบร้อย โดยอาจได้หุ้นครบตามจำนวน หรือหายไป 30% ของ port (ตามทบ.) แต่มาถึงจุดนี้ผมพบว่า ผมยังให้ความสำคัญกับ "เงิน" และ "มูลค่า" อยู่มาก แต่น้อยกว่า "ข้อมูล" ครับ DSM มักจะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จริงๆครับ ผมมักใช้ประกอบกับการดูกราฟครับ จากคุณ : กึ่งสำเร็จรูป - [ 4 เม.ย. 50 01:32:42 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คุณพี่กึ่งฯ  กำลังเอา งบดุลมาปนกับงบกำไรขาดทุน  แถมยังปนกับงบต้นทุนขายอีกต่างหาก...อิอิ.. หากมองในแง่ความมั่งคั่ง  จะเทียบได้กับเป็นงบดุลครับ... ส่วนความร่ำรวย จะเทียบได้กับ งบกำไรขาดทุน... ส่วนต้นทุน  แม้จะอยู่ในงบกำไรขาดทุน แต่จะมีงบย่อยๆ  ที่แสดงที่มาที่ไปของต้นทุนขายอยู่.. สามส่วนมีความสัมพันธ์กัน ครับ... แต่ปนกันไม่ได้  เหมือนจิ๊กซอว์  ต้องต่อให้ตรงจุด จึงจะเห็นภาพครับ... การทับซ้อน ทับซ้อนกันจริง  แต่เป็นการทับซ้อนอย่างมีระบบครับ.. .............. ตัวส่วนต่างที่เกิดจากการซื้อให้ถูกกว่าขาย  เป็นรายได้ที่ต้องทำ... แต่ทำบน "ช่องว่าง"  ของการแปลงค่าจาก "หุ้น" เป็น "เงิน".. หรือทำบนการเปลี่ยนแปลงของอำนาจซื้อ... ที่ "อำนาจซื้อจากหุ้น" มีการเปลี่ยนแปลงไวกว่า "อำนาจซื้อจากเงิน" ตรงนี้จะทำให้เกิด "รายได้".........  หรือ "ความร่ำรวย" .. แต่  ปัญหาต่อมาคือ  จะกักเก็บความร่ำรวยนั้นไว้ให้เป็น "ความมั่งคั่ง" ได้อย่างไร ก็ต้องอาศัย การแปลง "ความร่ำรวย" ให้เป็น "ความมั่งคั่ง" ซึ่ง  ถ้ามองให้ลึกลงไป  "ความมั่งคั่ง"  ก็คือ "อำนาจซื้อ"  ที่ถูกสะสมไว้... ถ้าไม่อยู่ในรูปของเงิน ก็อยู่ในรูปของทรัพย์สินอื่นๆ.. ในที่นี้ ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องคือ "หุ้น"... ดังนั้น  การสะสมจึงควรสะสมไว้ใน  "หุ้น"  ไงครับ... หุ้นจึงต้องเพิ่ม ตามวิธีการนี้   "ความมั่งคั่ง"  จึงจะมีมากขึ้น และเมื่อมี "ความมั่งคั่ง" มากขึ้น  "ความร่ำรวย" ก็จะมากขึ้น.. จากกลไกของ "ช่องว่าง"  ระหว่าง  "ความมั่งคั่ง" ของ "เงิน" กับของ "หุ้น" หรือ "ช่องว่าง"  ระหว่าง  "อำนาจซื้อ" ที่เปลี่ยนแปลงช้า  กับอำนาจซื้อที่เปลี่ยนแปลงเร็ว เผอิญว่า  อำนาจซื้อสองอย่างมันแลกกลับไปกลับมาด้วยกันได้... ดังนั้นถ้าเข้าถูกจังหวะ  ออกถูกจังหวะ  ...  "ความร่ำรวย"  ก็จะเกิด... แต่ต้องเก็บกักสะสมไว้ด้วย   ....  "ความมั่งคั่ง"  ก็จะเกิด ................. ตามความเข้าใจของผมเป็นอย่างนั้น นะครับ ไม่รู้ความเข้าใจของวผมจะตอบคำถามของพี่กึ่งฯ ได้หรือป่าว.......อิอิ.. ........... จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 4 เม.ย. 50 09:29:52 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ผมนะเห็นด้วยเลยครับ และคิดอย่างที่คุณห่านคิด แต่คนที่บริหาร ต้องนำ "งบดุล" "งบกำไรขาดทุน" "ต้นทุนขาย" และ หลายๆอย่าง มายำให้เกิดช่องว่างในการขยายตัวครับ ผมคิดว่าไม่งั้นมันเหมือนกับเรามีระบบ มีข้อมูล มีทุกอย่างพร้อม แล้วก็มองว่าทุกอย่างดูสวยดีแล้ว อันนั้นก็ทำให้บริษัทเดินได้ครับ แต่ถ้าจะเอาชนะกัน ขั้นสุดท้ายแล้ว ต้อง "ถอดรหัส" ให้ได้ครับ คือเอาทุกอย่างมาใช้ครับ บางปีงบดุลต้องมา บางปีกำไรขาดทุนสำคัญกว่า เหมือนกับ บางช่วงเราอาจต้องให้ความมั่งคั่งนำหน้า บางช่วงเราอาจต้องให้ความร่ำรวยนำหน้า จริงแล้ว งบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด เป็นเรื่องเดียวกันเลยครับ (ตามที่เคยเรียนมานะครับ) เพียงแต่วัดสิ่งต่างๆต่างกันครับ งบดุล ออกเพื่อวัดมูลค่าบริษัท ณ วันหนึ่ง งบกำไรขาดทุน รวมผลการดำเนินงานทั้งปีนั้น งบกระแสเงินสด ไว้บริหารเลือดที่หล่อเลี้ยงบริษัทให้เคลื่อนไหว เหมือนร่างกายจริงๆครับ มองแขน มองขา มองหน้า ไม่เรียก ว่า"คน"ครับ เพราะ ยังไม่ได้เอามาประกอบกัน เรียกได้ว่า "ชิ้นส่วนของคน" เพราะเวลาประกอบกันแล้ว ดันเยอะกว่าที่เอ่ยมาอีกครับ สำหรับผมแล้ว ทำให้ DSM อธิบายยากจริงๆครับ อันนี้ส่วนเพิ่มเติมครับ ขออภัยผมอธิบายไม่ค่อยละเอียดแต่ไหนแต่ไรมา ให้ลองสังเหตุง่ายๆที่หัวงบดุล งบกำไรขาดทุนนะครับ งบดุล  จะออก ณ วันที่ งบกำไรขาดทุน จะออกเป็นช่วงครับ คือ เป็นของปีอะไรก็ว่ากันไป ดังนั้นงบดุลจึงสามารถปั่นแต่งได้ครับ ยิ่งบริษัทที่ลูกเยอะนะยิ่งสบายครับ วันเลวคืนโหด หนี้มักโผล่แบบ หัวใจจะวาย เรียกว่าสั่งได้ ขวาตาย ซ้ายสลบ แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 50 05:27:14 จากคุณ : กึ่งสำเร็จรูป - [ 4 เม.ย. 50 11:21:36 ]

ความคิดเห็นที่ 24 นั่นแหละ  อย่างที่คุณพี่กึ่งฯ  ว่าไว้เลย... ผมเลยคิดว่า  การจะนำมาใช้ อาจจะอาศัย ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง..ของพระองค์ท่าน เข้ามาประยุกต์ได้บ้างไง... แล้วก็ยังพยายามโยงกันอยู่..........เอิ๊กๆ.... ก็เลยค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิมพ์ ไปเรื่อยๆ......อิอิ...   จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 4 เม.ย. 50 12:08:40 ]

ความคิดเห็นที่ 25 อ่า..... มาถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงช่วงหนึ่ง ที่บางบริษัทที่มี "ความมั่งคั่ง" สูง แต่โอกาสทาง "ความร่ำรวย" เริ่มตีบตัน คือ "งบดุล" หรูหรา แต่ "งบกำไรขาดทุน" เริ่มปั่นไม่ขึ้น ทางอเมริกาจะนิยมมากคือ ซื้อกิจการครับ ช่วงหนึ่งบริษัทที่เคยทำงานด้วยเป็น licensee ของ TimeWanner แล้ว TW ถูก AOL ซื้อ บริษัทที่มีอายุนานกว่า เหมือน "พ่อ" ถูกบริษัทที่มีอายุน้อยกว่า รุ่น "ลูก" ซื้อ รวมกันเป็น deal ใหญ่ระดับ mega project ของโลกเลยครับ ก็ได้รับการชี้แจงจากผู้บริหารภายในเหมือนกัน ทำให้ได้เรียนรู้การมองแบบ "ฝรั่ง" กะเขาบ้าง อิอิ มาถึง DSM บ้าง ในช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าเรามี "ความมั่งคั่ง" มากกว่า "ความร่ำรวย" เราจะเลือกวิธีไหนในการบริหาร port แล้วถ้าเรากำลังมี "ความร่ำรวย" มากกว่า "ความมั่งคั่ง" เราจะจัดการกับ port อย่างไร "ความร่ำรวย" ก่อให้เกิด "ความมั่งคั่ง" แต่การบริหาร"ความมั่งคั่ง" ที่ผิดพลาด จะก่อให้เกิดปัญหากับ"ความร่ำรวย" กรณีที่พบมากมักเป็นแบบนี้ครับ จากคุณ : กึ่งสำเร็จรูป - [ 5 เม.ย. 50 03:17:50 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณพระคุณครับ  ที่ผมได้สาระอันเยี่ยม ๆ อันความรู้ถ้าเรารู้แต่เพียงแค่ตัวเอง มันก็จะสูญหายไปพร้อมกับตัวเราเอง เมื่อเราได้นำความรู้นั้นมาแบ่งปัน ยิ่งแบ่งปัญแบบไม่เจาะจงคนอ่าน ผมว่าเป็นธรรมทาน  แบบสังฆทาน  ได้มั๊ยครับเนี๊ย   (อิอิอิ กระผมเป็นแค่ลูกอ๊อดในกะลา  ขออวดหางครับ) ชอบครับท่านล่าห่าน  เอาอีก ๆ ๆ ๆ แม้มแต่เสียดายท่านล่าห่านกลัว  วัยรัด เลยไม่ยอมเป็นนักบิท เพราะในบิทมีเยอะอ่านเอง  ม่ะไหว อยากรบกวนท่านผู้รู้  เยี่ยงท่านล่าห่าน และท่านอื่น ๆ ในห้อง   สรุปเอาแก่น ๆ มาให้อ่านเช่นนี้ ขอบคุณมากครับ  อบอุ่นครับ /\   ยิ้มแล้วรวย จากคุณ : จิกุง - [ วันจักรี 19:28:22 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ที่จริงแวะเข้ามาในกระทู้นี้หลายครั้งแล้วหล่ะ... แต่  "คิ๊อารายม๊ะเอาะ"  ก็เลยทำเฉยๆ  ไปซะงั้น........... ฮี่ฮี่.. ข้อดีของการตั้งประเด็นคุยไว้ในโลกไซเบอร์ ก็เงี้ย... ถึงเวลาที่คิดไม่ออก ยังมีการหลบมุมไปนั่งคิด นอนคิด ก่อนมาคุยต่อ...เอิ๊กๆๆ.. ยังดีที่มีคุณพี่กึ่งฯ มาร่วมแจมช่วยให้กรอบความคิดขยายออกไปได้กว้างมากขึ้น... ไม่งั้น...  คิดเอง เออเอง อยู่คนเดียว.......  5555 ก็ยังดีอีกที่เป็นโลกไซเบอร์....  ถ้าเป็นโลกจริงๆ...  เขาคงมองว่า.. หมอนี่เพี้ยน...    "คุยอยู่คนเดียว"....  คริๆๆ ...................... การคุยอยู่คนเดียว...  ถ้าเป็นในทางที่เรื่อยเปื่อย ไม่มีประเด็น... มันจะทำให้ฟุ้งซ่าน...   แต่ถ้าคุยอยู่คนเดียว.. ในเรื่องดีๆ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทำนองตีความ.. ก็เหมือนเป็นการเอาความคิดของคนอื่นมาขบต่อ..    โดยเฉพาะในเชิง "ปรัชญา" "ศาสนา" "หลักคิด" และ "วิธีการ" บางทีมีประโยชน์...  ช่วยให้เราเกิดความเข้าใจโลกได้มากขึ้น.. ผมเองก็กลัวฟุ้งซ่าน...  ก็เลยแก้โดยพยายามหาเรื่องดีๆ ของคนอื่นมาขบคิด... และสิ่งที่ผมกำลังคิดก็คือ...  "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"  ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.. .................. ผมพบจากการพูดคุยกับคนประมาณ 30 กว่าคนว่า...   มีมากกว่าครึ่ง ที่ไม่ได้สนใจ สิ่งที่พระองค์ท่านพระราชทานมาให้ อาจจะเป็นเพราะคิดว่า  "มันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง".. อีกเกือบครึ่ง...  แม้สนใจ แต่ก็ไม่ชัดเจน หรืออธิบายไม่ได้ว่า .. .. ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร แถมยังมีอีกบางส่วน 5 - 6 คนยังเข้าใจว่า...เป็นเรื่องเฉพาะของ "คนจน"  เท่านั้น.. โอ้  น่าเศร้า!  แทนพระองค์ท่าน... พระองค์ท่านทรงย้ำนักย้ำหนาตั้งหลายต่อหลายที่ว่า... ปรัชญาพอเพียงเป็นปรัชญาที่สามารถนำมาใช้ในการดำเนินวิถีชีวิตได้ทุกระดับชั้น... ไหง ยังมีคนตีความ "พระอัจฉริยภาพ" ได้แคบถึงเพียงนั้น ..... แต่ผมก็ยังได้มีโอกาสได้โต้แย้ง และแก้ต่างไปบ้างตามความเข้าใจ.. ว่า.. "ปรัชญาเศรษฐกิจ" พอเพียงของพระองค์ท่านนั้น... ใช้ได้ทุกระดับชั้น  และ แม้กระทั่งบริษัทมหาชนที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ... คือ "ปูนซีเมนต์ไทย"  ยังใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารงานมาตั้งแต่ปี 2540 จนถึงทุกวันนี้  ร่วมๆ จะสิบปีแล้วทีเดียว.. แล้วอย่างนี้จะว่า "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"... ใช้ได้กับเฉพาะ "คนจน" ได้อย่างไร.. ก็ได้แต่หวังว่า  บุคคล 5 -6 คนที่เข้าใจอย่างนั้น คงจะมีความสนใจมากขึ้นและกลับไปให้ความสำคัญต่อปรัชญาอันยิ่งใหญ่นี้เสียใหม่.. ............ เดี๋ยวนี้มีหนังสือหลายเล่มที่อธิบายความ "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง".. และเชื่อว่า ในอนาคตอันใกล้นี้  คนไทยในวงกว้าง คงจะเห็นความสำคัญของปรัชญาอันเป็นเลิศนี้.... ........................ จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 9 เม.ย. 50 21:27:30 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ไหนๆ ก็ไหนๆ..... ในวิกิพีเดีย  ก็มีสรุป "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ไว้ได้น่าอ่านพอสมควร ................... http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87 ................. จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 9 เม.ย. 50 21:48:32 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อาจารย์เกษียร เตชะพีระ ได้เขียนบทความเรื่อง "อีคาวโนมิคส์" ลงในมติชน ฉบับวันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2550 มีการกล่าวถึงโมเดลเศรษฐกิจแบบทุนนิยมว่า..... "คุณมีวัว 2 ตัว คุณขายตัวหนึ่งแล้วเอาเงินไปซื้อกระทิงพ่อพันธุ์ ฝูงวัวของคุณเพิ่มทวีขึ้นและเศรษฐกิจก็เติบโต คุณขายฝูงวัวทิ้ง แล้วเลิกทำมาหากิน อาศัยเงินที่ขายวัวได้นั่งกินนอนกินได้สบายใจเฉิบ" สำหรับหลักเศรษฐกิจพอเพียงก็อาจเปรียบเทียบได้ว่า.... เมื่อคุณมีวัว 2 ตัว คุณต้องเลี้ยงวัว 2 ตัวให้ดี คุณจะได้ดื่มนมวัวของคุณเอง เมื่อวัวโตเต็มที่ ก็จะผสมพันธุ์กันได้ลูกวัว ซึ่งถ้าคุณเลี้ยงวัวดีอ้วนท้วน ไม่มีโรค วัวก็จะให้ลูกมาก อาจไม่มากเท่ากระทิงของทุนนิยม แต่เจ้าของวัวก็มีความสุขที่ไม่ต้องลงทุนเลี้ยงกระทิงดุ ซึ่งมีความเสี่ยง เพื่อรอคอยผล คือความสุขเมื่อขายฝูงวัวไปแล้ว หลักเศรษฐกิจพอเพียงจะให้ความสุขตั้งแต่เลี้ยงวัวธรรมดาๆ ให้ดี และมีความสุขตั้งแต่ยังไม่ต้องขายฝูงวัว เป็นความสุขที่ได้เลี้ยงวัวด้วยความรัก ไม่ต้องกังวลในการหมุนเงินมาใช้หนี้ค่าตัววัวกระทิง ที่ไปซื้อมาจากต่างประเทศ เจ้าของวัวก็ไม่เสี่ยงต่อการขาดทุน ดังนั้น หลักเศรษฐกิจพอเพียง จึงมีความแข็งแกร่ง ไม่สุดโต่ง ทั้งยังเป็นรากฐานที่มั่นคงของการพัฒนาแบบยั่งยืน ซึ่งชาวโลกทั้งหลายกำลังมองหาอยู่ในปัจจุบันนี้ ............................... ผมลอกบางส่วนนี้มาจากบทความ เศรษฐกิจพอเพียง อีกมุมมอง โดย วรนุช แสงนิ่มนวล  มติชนรายวัน  วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10611 .............. เห็นภาพปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในมุมมองนี้แล้ว แทบไม่ต้องอธิบายต่อเลยว่า... DSM  เป็นวิธีการเล่นหุ้นที่อยู่ในแนวทาง  "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" อย่างจริงแท้แน่นอนที่สุด! และอดไม่ได้ที่จะต้องขอปรบมือให้ท่านจ้าวสำนักเด่นศรี...  ดังๆ เลยครับ... เพราะไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม...   แต่มุมมองและแนวคิดของคุณเด่นศรี.. ที่นำมาเผยแพร่นั้น ก้าวล้ำนำสมัยอย่างยิ่งครับ... จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 9 เม.ย. 50 22:02:21 ]

ความคิดเห็นที่ 30 หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้ว... จะพบว่า...  "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"...  ไม่ได้ปฏิเสธ "ความมั่งคั่ง".. แต่ในทางกลับกัน "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" เป็นปรัชญาที่สร้าง "ความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน"  เสียด้วยซ้ำ... ............ ในทำนองเดียวกัน...  การเล่นหุ้น แบบ DSM.. ก็เป็นการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนเช่นกัน... ............. สำหรับผู้ที่ยังไม่เห็นความต่าง...   อยากจะขอให้มองย้อนกลับไปที่คำว่า "ปรัชญา"... ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงถึง "ความเชื่อ"... เมื่อใครได้ "เชื่อ"  ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว "การกระทำ" ของเขาก็จะแสดงออกไปตามที่ตน "เชื่อ" ดังนั้น ... หากใครเชื่อว่า  เล่นหุ้น  แบบ "เก็งกำไร" ลึกๆ แล้วเขาเชื่อใน  "ความได้เปรียบ"  หรือ  "ความเหนือกว่า" เพื่อหาจังหวะ "ทำกำไร"  หรือ... จังหวะที่ทำให้เขาเก็บ "โอกาส"  ที่เกิดขึ้นให้ได้มากที่สุดจากตลาด.. สิ่งที่เขาแสวงหา ก็จะออกมาในลักษณะของเครื่องมือต่างๆ... ที่จะช่วยให้เขาได้เห็นจังหวะ ได้เห็นโอกาส  มากกว่าผู้อื่น...  ใช่หรือไม่? แต่ DSM มี "ความเชื่อ" อีกแบบหนึ่ง... วิธีการของ DSM จึงแตกต่าง....  (ยิ้ม) จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 9 เม.ย. 50 22:25:59 ]

ความคิดเห็นที่ 31 หากยังไม่ลืมเนื้อหาของ คห.บนๆ... ผมได้จำเขามาเล่าให้ฟังว่า.. "ความร่ำรวย" เสมือนเป็นกลไกที่ผลักดันห้เกิด "ความมั่งคั่ง".. .............. ในแนวทาง "ทุนนิยม"  ความร่ำรวย จะมาจากการหา+สร้างโอกาส และการสร้างความได้เปรียบด้วยวิธีการต่างๆ   เพื่อให้ได้เก็บประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นนั้น ความรวดเร็ว  แม่นยำ... ต่อ "จังหวะ"  จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะให้เกิดผลประโยชน์ และเป็นผลประโยชน์ที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบของสิ่งแวดล้อมอีกด้วย (ซึ่งหนึ่งในสิ่งแวดล้อมก็คือ คู่แข่งขัน หรือ คนที่อยู่ในสนามแข่งเดียวกัน) ผลก็คือ มักจะมีคนหนึ่งได้ และ อีกหลายๆ คนเสีย ..... แต่เมื่อมองผ่าน "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" แล้ว.. ความร่ำรวย จะมาจาก  "ความมีเหตุผล" และ "ความพอประมาณ" ที่สอดคล้องสัมพันธ์กับ  "การมีภูมิคุ้มกัน".. ดังนั้น "ความร่ำรวย" ตามแนวทาง "เศรษฐกิจพอเพียง"... จึงเกิดขึ้นอย่างประนีประนอม ไม่แข็งกร้าวหรือจ้องจะเอาแต่ "ชนะ" .......... และ DSM  เป็นระบบแบบนั้นเลยครับ.. เราขายทุกๆ 10%  ตามจังหวะ อย่างพอประมาณ... มีเหตุผล... เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...  คือ เราไม่เดาตลาด.. และส่วนที่เรายังไม่ขาย ก็เป็นเสมือน "ภูมิคุ้มกัน" เบนจามิน เกรแฮม  บอกว่า... การซื้อหุ้น ควรเลือกหุ้นที่มี "margin of safety"  คือหุ้นที่มีมูลค่าสูงกว่าราคามากๆ.. แต่ของ DSM  "margin of safety"..  เกิดจากการสร้างของตัวเราเอง โดย "จำนวนหุ้น" ที่มีอยู่ในมือนี่แหละ  จะเป็น  "margin of safety" และสอดคล้องกับที่ เฮีย คค.  เสนอไว้   เป็น "คลายเครียดเรโช"... จำนวนหุ้นที่ดึงเอาเงินทุนออกมาหมดแล้ว... นั่นไม่ใช่ "margin of safety" ที่ดีที่สุดหรือ??.. เพียงแต่  เฮีย  คค.  รอจนราคาหุ้นสูงกว่าราคาที่ซื้อหลายเท่า แล้วจึงขาย .. หุ้นที่เหลือจึงถือเป็น หุ้นที่ผ่านการทำ คค.เรโช แล้ว.. ส่วน DSM เรามีวิธีการ "สะสม" ส่วนของ  "margin of safety"  ไปเรื่อย  จนวันหนึ่ง... เราจะพบว่า   หุ้นทั้งหมด เป็นหุ้นที่มี "margin of safety" = 100%...  (ยิ้ม) และนั่นก็คือ "วัว" ที่ อาจารย์เกษียร เตชะพีระ ว่าไว้ตาม  คห. ข้างต้นที่ยกมาไง.... ไม่เชื่อลองเปลี่ยนคำว่า "วัว" เป็น  "หุ้น"  ดูสิ... แล้วจะเห็นว่า...  มันคือ  DSM  ชัดๆ....  เอิ๊กๆ   ......... เมื่อคุณมีวัว (หุ้น) 2 ตัว คุณต้องเลี้ยงวัว (หุ้น) 2 ตัวให้ดี คุณจะได้ดื่มนมวัว (กสง) ของคุณเอง เมื่อวัว (หุ้น) โตเต็มที่ ก็จะผสมพันธุ์กันได้ลูกวัว (ขยายพอร์ท) ซึ่งถ้าคุณเลี้ยงวัว (หุ้น) ดีอ้วนท้วน ไม่มีโรค  (ไม่เลิกกิจการออกจากตลาด) วัว (หุ้น) ก็จะให้ลูกมาก (ขยายพอร์ทได้มาก) อาจไม่มากเท่ากระทิงของทุนนิยม (เก็งกำไร) แต่เจ้าของวัว (หุ้น) ก็มีความสุขที่ไม่ต้องลงทุนเลี้ยงกระทิงดุ (หุ้นปั่น) ซึ่งมีความเสี่ยง เพื่อรอคอยผล คือความสุขเมื่อขายฝูงวัว (หุ้น) ไปแล้ว (DSM บนแนวทาง) หลักเศรษฐกิจพอเพียงจะให้ความสุขตั้งแต่เลี้ยงวัว (หุ้น) ธรรมดาๆ ให้ดี และมีความสุขตั้งแต่ยังไม่ต้องขายฝูงวัว (ถือครองหุ้น) เป็นความสุขที่ได้เลี้ยงวัว (หุ้น) ด้วยความรัก ไม่ต้องกังวลในการหมุนเงินมาใช้หนี้ค่าตัววัวกระทิง (หมุนเงินมาเก็งกำไร) ที่ไปซื้อมาจากต่างประเทศ (อาศัยการไหลของเงินทุนจากต่างประเทศ) เจ้าของวัว (หุ้น) ก็ไม่เสี่ยงต่อการขาดทุน ........... ดังนั้น หลักเศรษฐกิจพอเพียง จึงมีความแข็งแกร่ง ไม่สุดโต่ง ทั้งยังเป็นรากฐานที่มั่นคงของการพัฒนาแบบยั่งยืน ซึ่งชาวโลกทั้งหลายกำลังมองหาอยู่ในปัจจุบันนี้ ................ พอเห็นภาพตามที่ผมพยายามเล่าบ้างไหมครับ .....อิอิ... จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 9 เม.ย. 50 22:53:52 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ผมว่า...  ผมได้แก้โจทย์ที่ผมได้ตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว... ดังนั้น... ต่อไปมันก็อยู่ที่ว่า...  เพื่อนๆ  พี่ๆ  จะเห็นว่าอย่างไรบ้าง.. สำหรับคำตอบของผมในกระทู้นี้ทั้งหมด...  อิอิ... ส่วนผม...  เคลียร์คัทตัดบทจบโดยสมบูรณ์แล้วฮับ... เอิ๊กๆๆ   ............. สำหรับใครที่จำไม่ได้ว่า ผมตั้งโจทย์ไว้ว่าอย่างไร... ผมก็ไปก๊อบมาจาก คห.ในหัวกระทู้มาแล้วด้วย... คือ... ..................... การทำ DSM ...  เน้นความมั่งคั่ง หรือเน้นความร่ำรวย.. แล้วถ้าจะเอาปรัชญาพอเพียง..  ตามแนวพระราชดำริ..  มาใช้..จะเข้ากันได้หรือไม่.. ..................... คำตอบก็คือ... DSM ...  เน้นทั้งความมั่งคั่ง และความร่ำรวย เน้นทั้งสองอย่างเลยครับ และยังสอดคล้องกับแนว "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"  อย่างยิ่งอีกด้วย...   (ยิ้ม)  <- - -  เลียนแบบเจ้าสำนัก... เอิ๊กๆๆ ................ จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 9 เม.ย. 50 23:02:10 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เย้ ได้ข้อสรุปแล้ว แต่ยังงงๆนิดหน่อย (ไว้คงต้องกลับไปอ่านละเอียดๆอีกที) สำหรับผม แนวคิดทุกแนวคิด เป็นเหมือนเครื่องมือนะครับ หยิบอันไหนก็ได้ขอให้ร่วมกันแล้วทำกำไรให้ผม ให้ผมบริหาร port ได้คล่องตัว ผมถือว่า "ถูกทุกข้อ" ครับ ผมคิดว่าผมเข้าใจ "ศก.พอเพียง" ใกล้กับแบบที่คุณห่านเขียนมา คือ ไม่ได้จำกัดการโต เรียกว่าโตไปอย่างสมดุลย์ และก็เห็นว่าหลายคน ก็เข้าใจในแบบที่ต่างกันไป ทำให้สรุปยากจริงๆ ว่าเขาถูกหรือผิด เพราะ ก็นึกอีกว่า แต่ละคนคงสมดุลย์ไม่เหมือนกัน เพราะแต่ละคนมาจากปัจจัยที่ต่างกัน ทำให้ตีความไปต่างกันมากมาย แต่ระดับตีความจาก "อสังหา" ให้ "เป็นหุ้น" ได้เหมือนเจ้าสำนักนี่ ข้าน้อยนับถือยิ่งนัก โหย...คิดได้ (เลยแอบเห็นพี่ห่านฯ ทำได้ด้วยเหมือนกัน) วันหลังคงต้องพยามเลียนแบบหน่อย เช่น เมื่อเราซื้อ CD หลังปกจะมี ชื่อ: ศิลปิน วัตถุประสงค์: ฟัง เป็น ชื่อ: DSM วัตถุประสงค์: สร้างความมั่งคั่ง และ ความร่ำรวย รู้แต่ว่าเมื่อทุกอย่างผสมกันได้ที่ จนตกผลึกแล้ว มันจะออกมาเองครับ สรุป ทำให้เต็มที่ เต็มความสามารถ อย่างดีที่สุด แล้วดูว่าสุดท้าย ลมแห่งความสามารถจะหอบเราไปตกที่ไหน สำหรับผมฟังคล้ายกับคำว่า "พอเพียง" ครับ ขอบคุณพี่ห่านที่นำเรื่องกระตุกคิดมาให้ได้คิดกันครับ แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 50 02:05:47 จากคุณ : กึ่งสำเร็จรูป - [ 10 เม.ย. 50 02:00:09 ]

ความคิดเห็นที่ 34 กลับมาอ่านละเอียด เห็นด้วยครับพี่ห่าน เจ้าตำหรับ "DSM สาขา พอเพียง" ของผมถ้ามีวัว 2 ตัว จะเลี้ยงให้ตัวหนึ่งเป็น normal cow อีกตัวเป็น purple cow ถ้าถ้ามีตัวเดียวละ เอาครึ่งด้านหัวเป็น normal cow ครึ่งด้านท้ายเป็น purple cow เพิ่มแรงดึงดูดในส่วนสำคัญ ครับ จากคุณ : กึ่งสำเร็จรูป - [ 10 เม.ย. 50 05:33:13 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณพี่กึ่งฯ  ที่เข้ามาร่วมแจมครับ....   จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 10 เม.ย. 50 11:16:47 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เข้ามาติดตามอ่าน ....ฮิฮิฮิ จากคุณ : akae - [ 11 เม.ย. 50 21:10:49 ]