ความคิดเห็นที่ 1 ถือว่าได้กระจายความเสี่ยงม้ากมากครับ....เสี่ยงกระจายยยย.... จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 20 เม.ย. 50 07:32:26 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ช่วงแรกๆ ผมก็ทำเหมือนคุณKill Billล่ะครับ แต่เมื่อพิจารณาดูผลตอบแทน ปรากฏว่าไม่แตกต่างกันมากนัก ตอนนี้้ก็เลยปรับพอร์ตใหม่ เหลือลงทุนแค่บลจ.เดียว คือธนชาต กระจายความเสี่ยง โดยใช้วิธีกระจายเงินลงตราสารเงินส่วนหนึ่ง ตราสารหนี้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนลงFIF จากคุณ : kasimasi - [ 20 เม.ย. 50 07:49:00 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อยากรู้ (ด้วยคน)..ตกลงแบบคุณ kill bill (แยก บลจ.) หรือคุณ kasimasi (แยกประเภทกองทุน) แบบไหนดีกว่ากันคับ จากคุณ : tajaw - [ 20 เม.ย. 50 07:58:21 ]

ความคิดเห็นที่ 4 รอฟังด้วยคน อิอิ ผมก็แบบเสี่ยงกระจาย ayfcash  scbsff scbrf บัวแก้ว จากคุณ : ปลาเสืออ้วน - [ 20 เม.ย. 50 08:13:17 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สงสัยคุณหมีพูจะชอบดูนาเดียด้วย อิอิ แล้วจะไม่ช่วยไกด์ให้หน่อยเหรอ?? จากคุณ : areewan - [ 20 เม.ย. 50 08:15:31 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ตอบไม่ได้ครับว่าวิธีของใครดีกว่ากัน แต่ที่ตอบได้แน่ ๆ ก็คือ ถ้าเราเลือกกองทุนประเภทดีชั้นหนึ่งจริง ๆ ของแต่ละประเภทตราสาร แม้ว่าแต่ละกองจะอยู่ต่าง บลจ. ก็ยังควรเข้าไปลงทุนครับ ยกตัวอย่างเช่น - ถ้าเป็นกองตลาดเงิน ก็ต้องเป็นกอง XXX ที่ บลจ.YYY - ถ้าเป็นกองตราสารหนี้ ก็ต้องเป็นกอง ZZZ ที่ บลจ.LLL - ถ้าเป็นกองทุนหุ้นในประเทศ ก็ต้องเป็นกอง AAA ที่ บลจ.BBB - ถ้าเป็นกองทุนหุ้นต่างประเทศ ก็ต้องเป็นกอง UUU ที่ บลจ.PPP - ถ้าเป็นกองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ ก็ต้องเป็นกอง RRR ที่ บลจ.KKK ถ้าเป็นดังตัวอย่างข้างต้นนี้ เท่ากับว่าคุณมี 5 กองทุนตราสารที่แตกต่างกัน ใน 5 บลจ. โดยแต่ละกองก็เป็นกองที่ the Best ทั้งนั้น ส่วนกองทุนไหนจะเป็น the Best ในแต่ละประเภทตราสาร เรื่องนี้ไม่ขอตอบ เพราะ the Best ในวันนี้ อาจจะกลายเป็น the Bad ในวันหน้าก็ได้ กองทุนที่เป็น the Best ในความหมายของหมีพูคือ เป็นกองทุนที่มีประวัติการบริหารจัดการกองทุนที่ดี ตรวจสอบได้ เป็นกองทุนที่เข้าใจได้ง่าย ลงทุนในตราสารที่ดีและมีคุณภาพสูง กองทุนมีผลการดำเนินงานที่ดีมากกว่ากองทุนอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน และต้องดีอย่างสม่ำเสมอด้วยครับ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 20 เม.ย. 50 08:25:57 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ในปัจจุบันนี้ หายากมากครับที่ บลจ.เพียงแห่งเดียว จะมีกองทุนที่เป็น the Best ได้ทุกประเภท - บางแห่งเป็น the Best ทางด้านกองทุนหุ้น - บางแห่งเป็น the Best ทางด้านกองตลาดเงิน - บางแห่งเป็น the Best ทางด้านกองตราสารนี้ (แต่บางแห่งก็เป็น the Best ทั้งกองตลาดเงินและกองตราสารหนี้นะครับ) - บางแห่งก็เป็น the Best ทางด้านกอง FIF ในประเภทต่าง ๆ ถ้าเราไม่ยึดติดกับแบรนด์ของ บลจ.เพียงที่ใดที่หนึ่งแบบหัวปักหัวปำ หรือเพียงเพราะชื่อแบรนด์นั้นคุ้นหูคุ้นตา ใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงานที่สุด ถ้าเราไม่ยึดติดกับการซื้อขายที่สะดวกสบายสูงสุด (แต่ผลงานกลับห่วยแตกสุดๆ) เราก็จะไม่พลาดที่จะได้กิน TOP CREAM ที่อร่อยสุดยอดครับ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 20 เม.ย. 50 08:39:49 ]

ความคิดเห็นที่ 8 โอ้วๆๆๆ ถูกต้องครับพี่หมีพู ผมขอเพิ่ม Criteria ให้อีกนะครับ วิธีการกระจายความเสี่ยงนั้น จริงๆแล้วสาเหตุเกิดจาก 1. นักลงทุนไม่แน่ใจว่าผลตอบแทนคาดหวังของตัวเอง จะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือเปล่า หากลงทุนในตราสารหรือกองทุนใดกองทุนหนึ่งเพียงอย่างเดียว?? 2. ต้องการแสวงหาผลตอบแทนสูงสุดตามภาวะเศรษฐกิจ และรอบระยะเวลาที่ต่างกัน โดยไม่เสีบโอกาสการลงทุนในตราสารประเภทอื่น เพราะฉะนั้น ตามกรอบที่วางไว้ข้างต้น 2 ข้อ การกระจายความเสี่ยง จึงแบ่งออกเป็น 2 วิธีด้วยกันครับ 1. กระจายความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่างประเภท (Asset Allocation) 2. กระจายความเสี่ยงตามผู้บริหารสินทรัพย์ หรือภายในประเภทตราสารเดียวกัน (Diversified in the Sam Asset Class) ถามว่าสิ่งไหนจำเป็นมากกว่ากัน? - ตอบว่า จำเป็นไม่แพ้กัน ตามความเห็นของพี่หมีพูครับ คนหนึ่งคนควรมี Asset Class ไว้ในครอบครองมากกว่า 3 ชนิด เช่น ตราสารหนี้ หุ้น ทองคำ หรือ อสังหาริมทรัพย์ ก็ว่ากันไป แต่ความเสี่ยงเฉพาะที่นักลงทุนแต่ละคนรับได้นั้น แตกต่างกันไปครับ การจัดพอร์ตจึงเป็นทั้งศาตร์และศิลป์ ที่ต้องผสมกัน ของผู้จัดพอร์และนักลงทุนแต่ละราย เพื่อให้เหมาะสม และเป็นกรอบในการลงทุน ให้นักลงทุนมีระเบียบวินัยในการลงทุน ไม่ลงทุนมั่วๆตามกระแสไปอย่างเดียว ------------------------ โชคดีในการลงทุนครับ จากคุณ : Mr.Messenger - [ 20 เม.ย. 50 09:34:50 ]

ความคิดเห็นที่ 9 Port ผมตอนนี้เท่าที่ดูก็มี ตราสารหนี้ ตลาดเงิน แล้วก็ FIF ครับ ส่วนกองทุนหุ้นในประเทษไม่ค่อยอยากเข้าไปยุ่งสักเท่าไร อีกอย่างคงรับความเสี่ยงมากขนาดนั้นไม่ได้ ขอบคุณที่เข้ามาแนะนำอย่างยกใหญ่แล้วจะลองไปตัดสินใจดูครับ จากคุณ : Kill Bill - [ 20 เม.ย. 50 12:01:59 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ผมว่ากระจายยยมาก ๆ  ๆครับ ลงทุนในกองทุนรวมเป็นการลดความเสี่ยงอยู่แล้ว แล้วกระจายหลาย ๆ กองด้วย ก็ต้องดูว่าแต่ละกองนโยบายการลงทุนเหมือนกันหรือเปล่า ถ้านโยบายการลงเหมือนกัน คงไม่แตกต่างกันมากครับ จากคุณ : party (NINE_TEE) - [ 20 เม.ย. 50 12:22:02 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ระวังจะกลายเป็น Diworsification นะครับ คือยิ่งกระจาย ยิ่งไม่ได้ผลตอบแทนอ่ะ....ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้และผลตอบแทนที่ต้องการครับ อิอิ จากคุณ : clientuser - [ 20 เม.ย. 50 12:27:36 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ช่ายต้องขึ้นอยู่กับว่าคนๆนั้นรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหนด้วยแหละ จากคุณ : Kill Bill - [ 20 เม.ย. 50 13:06:58 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ของกระผม แรกเริ่มเดิมทีกระจายไปในหลายๆบลจ. ทั้งบัวหลวง-อยุธยา- และธนชาต NAVแต่ละวัน ผันผวนต่างกัน แต่ผลตอบแทนที่ได้จริงๆ กลับแตกต่างกันไม่มากนัก สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากเพราะยอดเงินลงทุนไม่มากนัก ก็เลยใช้EXCELคำนวณว่า ที่ไหนผลตอบแทนอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องการ แล้วจึงกระจายลงตามประเภทของกองทุนที่เลือกไว้ ตัดสินใจลงที่ธนชาต เพราะมีสาขาอยู่ใกล้บ้าน ไปมาสะดวก และที่สำคัญคือคนใช้บริการไม่มาก แทบไม่ต้องรอคิวเลย จากคุณ : kasimasi - [ 20 เม.ย. 50 14:57:43 ]