ความคิดเห็นที่ 1 อีกอย่างนึง ที่โดนเอาเปรียบ คนๆนั้น ที่เคยมีสิทธิ์เบิกค่ารักษาพยาบาลจากราชการ และประกันสังคม ถูกตัดสิทธิจากการเบิกของราชการ ให้ไปใช้สิทธิ์จากประกันสังคมอย่างเดียว เป็นธรรมหรือเปล่าแบบนี้ ยาบางอย่างไม่สามารถเบิกได้จากสิทธิประกันสังคม แต่เบิกได้จากสิทธิของราชการ แบบนี้ ผมจะไปเข้าระบบประกันสังคมทำไม จากคุณ : Mr.X-ray - [ 27 เม.ย. 50 07:47:05 ]

ความคิดเห็นที่ 2 สวัสดิการจากประกันสังคมนั้นกราจอกมาก ผู้บริหารกองทุนรับเงินเดือนสูงๆไปแล้วโปรดพิจารณาการทำงานของทั่นด้วย คุณลองทำโพลล์ถามมนุษย์เงินเดือนดู ด้วยสวัสดิการขนาดนี้ที่จำนวนเงินเท่านี้ จะสมัครใจจ่ายหรือไม่ เชื่อว่าส่วนมากต่อบว่าไม่ จากคุณ : vigor - [ 27 เม.ย. 50 09:02:29 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอให้นายกฯ รมว.คลัง เรียกประชุมกับกรรมการบริหารประกันสังคม ด่วนที่สุด แล้วรีบออกมาตรการกระตุ้น ศก. ด้วยเงินของประกันสังคม โดยมีหลักการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกันตน ไม่ใช่ "เอาเงินกรรมกรไปช่วยเกษตรกร" ต้องรีบทำโดยด่วน มิเช่นนั้น จะมีคนล้มละลายจำนวนมากแน่นอนครับ จากคุณ : ryuken - [ 27 เม.ย. 50 09:26:27 A:125.24.9.130 X: TicketID:143864 ]

ความคิดเห็นที่ 4 บ่นไปได้ ไอ้พวกนี้ กองทุนเขาเอาเงินไปลงทุน ซื้อหุ้น shin จนเจ้าของมันรวย เขาช่วยลงทุนแทนให้แล้วยังเสือ.บ่น จากคุณ : ธี..เอง - [ 27 เม.ย. 50 10:05:34 A:58.64.116.182 X: TicketID:142290 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นด้วยครับ เงินชราภาพก็เหมือนกันครับได้ตอนอายุ 55 ปี สมมุติอายุ 40 ปี คุณไปทำธุรกิจส่วนตัว แล้วไม่ได้ส่ง ประกันสังคมแล้ว คุณต้องรออีก 15 ปี ถึงจะได้เงินชราภาพของคุณ พูดง่ายๆ คือเอาเงินให้คนอื่นไปหมุนใช้ฟรีนั่นแหละ ออกกฎหมายใหม่ ให้แต่ละบริษัทฯ ทำกันเองดีกว่า ซวยที่เป็นผู้ใช้แรงงาน....ไทย....จริงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : nic - [ 27 เม.ย. 50 10:19:55 A:203.113.56.14 X: TicketID:138203 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผมว่าใจเย็นๆกันก่อนครับมามองด้วยข้อเท็จจริงก่อน อันดับแรกผมว่าเราต้องทำความเข้าใจคำว่า "ประกัน" ก่อนดีกว่านะครับ ถามว่าประกันคืออะไร ประกันคือการลดความเสี่ยงต่างๆ จากเหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิดจนทำให้เราต้องใช้เงินออมที่เรามีอยู่ หรือการขาดหายรายได้จากการว่างงานทั้งจากอุบัติเหตุหรือการเจ็บไข้ได้ป่วย จริงๆแล้วประกันสังคมนี่ถ้ามองให้ดีจะพบว่าเป็นการเน้นช่วยเหลือชนชั้นแรงงานเสียด้วยซ้ำ เพราะว่าถ้าศึกษาให้ดีสิทธิประโยชน์ที่ประกันสังคมให้นั้นมีสูงมาก ทั้งค่าการรักษาการเจ็บป่วย การคลอดบุตร หรือแม้กระทั่งการว่างงาน (ซึ่งมีข้อมูลตาม link นี้นะครับ http://www.sso.go.th/benefit/HarmOrSick.asp) เอาละครับบางคนอาจจะเถียงว่าเงินที่ได้นั้นน้อยเหลือเกินไม่คุ้มกับที่เสียไปและเป็นการเอาเปรียบชนชั้นแรงงาน(หนึ่งหมื่นห้าพันนี่ชนชั้นแรงงานเหรอครับแล้วพวกที่ได้ค่าแรง 200 กว่าบาทต่อวันนี่เรียกว่าอะไรดีละ??)  งั้นผมขอให้ความคิดเห็นดังนี้ละกันครับ ประเด็นที่ 1 เงินที่เราจ่ายไปจริงนั้นเท่าไหร่กันแน่ เงินที่เราจ่ายไปนั้นประมาณ 3% ของเงินเดือน และบริษัทออกอีก 3% ซึ่งถ้ามองโลกในแง่ดีนั้นอาจทำให้เราคิดได้ว่าจริงๆแล้วถ้ากองทุนไม่เก็บบริษัทจะให้เราได้เท่าที่เขาจ่ายให้ประกันสังคมซึ่งเท่ากับเราเสียเงินถึง 6% แต่ในความเป็นจริงนั้นผมว่าถ้าบริษัทที่ทำอย่างนั้นจะต้องเป็นบริษัทที่มีจิตใจที่ดีงามอย่างยิ่ง ถ้ารัฐไม่บังคับบริษัทให้จ่ายผมว่าเงินที่จะคืนให้พวกเราได้ไม่ถึง 3% หรอกครับ เพราะตามความเป็นจริงบริษัทก็ได้ผลประโยชน์จากการจ่ายสมทบด้วย(อาจอยู่ในรูปค่าใช้จ่ายของบริษัทที่สามารถนำมาลดภาษีซึ่งถ้าจำไม่ผิดน่าจะร้อยละ 30) เท่ากับว่าจริงๆเขาน่าจะจ่ายคืนให้เราแค่ 2.1% เท่านั้นเอง (ทั้งนี้อาจมีผลประโยชน์ของบริษัทที่ทำให้เราได้รับเงินได้น้อยกว่านี้) ทำให้จึงอาจสรุปได้ว่าจริงๆแล้วจ่ายไปแค่ 5% เท่านั้นเอง นอกจากนี้ขอบอกสัจจะธรรมไว้อย่างนะครับว่าจุดมุ่งหมายของผู้บริหารทุกบริษัทขอเน้นนะครับว่าทุกบริษัท คือ "ทำผลกำไรให้ผู้ถือหุ้นให้มากที่สุด" ดังนั้นคุณคิดหรือครับว่าเขาจะคืนให้คุณถึง 5% ผมว่าอย่างเก่งก็แค่ 4% (ความคิดผมนะครับ) ที่เขาต้องจ่ายให้ถึง 3% เนื่องจากกฎหมายบังคับไว้ไม่งั้นผมว่าอย่าหวังเลยครับ ฉะนั้นทำใจเย็นๆแล้วมาดูข้อต่อไปดีกว่าครับ ประเด็นที่ 2 เอาเปรียบผู้ใช้แรงงานจริงหรือ ถามว่าผู้ใช้แรงงานถูกเอาเปรียบจริงหรือไม่ ถ้งั้นมาลองดูคิดๆกันดูให้ดีนะครับ ถ้าถามว่าทุกคนใช้ประกันสังคมหรือไม่ คำตอบก็คือไม่ เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าการรับการรักษาจากประกันสังคมนั้นวุ่นวาย ชักช้า ยาก็ไม่ดีสู้ไปจ่ายเองไม่ได้ รวมถึงเงินที่ให้จากการว่างงานบางทีก็ไม่พอจะใช้ จนทำให้บุคคลที่มีความสามารถที่จะเลือกการให้บริการที่ดีกว่าเช่น การจ่ายเงินรับการรักษาพยาบาล ณ โรงพยาบาลที่ตนไม่ได้ทำประกันสังคมไว้ ซึ่งผมว่ามีหลายคนที่ต้องจ่ายเงินประกันสังคมแหละครับที่ทำอย่างนี้ เงินตรงส่วนนี้แหละทำให้ผู้ใช้แรงงานที่ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาเองจริงๆ (ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 15,000 หรือมีเงินเดือนมากกว่าแต่ใช้จ่ายไม่พอ) สามารถเข้ารับการรักษาได้และไม่ก่อสร้างหนี้เนื่องจากการกู้ยืมเงินเพื่อการรักษาหรือการเมื่ออยู่ในภาวะว่างงาน ตรงจุดนี้น่าจะทำให้เราพอเห็นได้ว่าประกันสังคมนั้นมีขึ้นเพื่อชนชั้นแรงงานอย่างแท้จริง เห็นไหมครับเริ่มเห็นข้อดีของประกันสังคมแล้ว จริงๆผมมีประเด็นที่จะพูดอีก 1-2 ข้อแต่ตอนนี้ขอไปทำงานก่อนดีกว่าครับใช้เวลาที่ทำงานมาประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวได้เป็นผู้ใช้เงินประกันสังคมเนื่องจากการว่างงานอีกคนแน่ๆ เอาไว้ตอนเที่ยงมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันใหม่ ผมมีประเด็นที่จะแสดงให้เห็นอีกดังนี้ ประเด็นที่ 3 กองทุนต่างชาติเหมือนเราหรือไม่ 401K คืออะไร ประเด็นที่ 4 ทำไมประกันสังคมจึงไม่ปล่อยสินเชื่อบุคคล ปล. บางคนอาจคิดว่าผมน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่กองทุนประกันสังคมเลยมารีบแก้ตัว จริงๆแล้วไม่ใช่ครับ ผมเป็นแค่พนักงานบริษัทที่จ่ายเงินประกันสังคมและไม่ต้องใช้บริการเนื่องจากบริษัททำประกันสุขภาพให้แล้ว เพียงแต่แฟนผมเกิดไม่สบายจนต้องออกจากงานและต้องรับการช่วยเหลือจากกองทุนประกันสังคมนี้ ทำให้ผมได้เห็นถึงความสำคัญของประกันสังคมขึ้นมาอย่างชัดเจน และเห็นความสำคัญของการทำประกันจนปัจจุบันตนเองทำประกันชีวิตไว้แล้ว อย่างว่าละครับคนเราไม่เกิดเหตุกับตัวไม่มีทางรู้หรอกครับ จากคุณ : gv - [ 27 เม.ย. 50 10:45:49 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แสดงว่านายจ้างเสียฟรีทุกกรณี สิ้นปีต้องแถมเบี้ยประกันความเสี่ยงอีกก้อน จากคุณ : weeras (weeras) - [ 27 เม.ย. 50 11:29:33 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมไม่ได้พูดถึง "การประกันสุขภาพ" ยามเจ็บป่วย ตาย และ คลอดบุตร ที่ผู้ประกันตนและนายจ้างต้องจ่ายสมทบ ฝ่ายละ 1.5% ตรงนั้นผมเห็นว่าเหมาะสมแล้วครับ เพื่อรับภาระแทนภาครัฐในการประกันสุขภาพถ้วนหน้า รักษาให้ทุกโรค ไม่เหมือนกันประกันสุขภาพของเอกชนบางแห่งด้วยซ้ำ ข้อยกเว้นเพียบ แต่ผมหมายถึง ส่วนของการสงเคราะห์ชราภาพและบุตร ซึ่งเก็บฝ่ายละ 3% จากกลไกของส่วนต่าง อดบ. จะเห็นแล้วว่า.... คนเงินเดือน 1.5 หมื่นที่ "พอเพียง" รายได้พอดีกับ คชจ.นั้น เมื่อมาเจอแบบนี้แล้ว จะพบว่า เงิน 6% ที่ควรจะตกถึงมือนั้น.... ถูกดันเข้าระบบประกันสังคม ที่ได้ผลตอบแทนเพียง 4.5% แต่เขาจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ดังนั้นจึงต้องไปกู้จาก สินเชื่อบุคคล ด้วยเงินที่เท่ากัน เขาเป็นพวกไม่พอเพียงหรือ .... ไม่ใช่เลย เขาจำเป็นต้องใช้เงินส่วนนั้น แต่ถูกประกันสังคมบังคับออมต่างหาก ด้วยส่วนต่าง ดบ. 25% ที่กู้ กับ 4.5% ที่ออมกับ กปส. ทำให้หนี้สินสุทธิพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ 10 ปี คนพอเพียงกลุ่มนี้จะมีหนี้ 3 แสนต่อคน และ 20 ปี คนพอเพียงกลุ่มหนี้จะมีหนี้สุทธิ 4 ล้านต่อคนครับ ความมั่งคั่งจะไปตกกับพวกนายทุน non-bank ทั้งหลาย หุ้น อิออน สูงกว่าพาร์ 47 เท่าไปแล้วย แม้จะมีเงินเก็บในประกันสังคม แต่หนี้บุคคลจะมากกว่านั้นมาก.... จนดิ้นไม่หลุดและจมกองหนี้สิน ปกติแล้ว การออมเงินจะได้ ดอกเบี้ย แต่นี้ยิ่งออมยิ่งเสียดอกเบี้ยออกไป หนี้สิน 4 ล้านบาทต่อคน ทั้งๆ ที่รายได้ 1.5 หมื่นต่อเดือน คุณคิดว่าคนกลุ่มนี้จะล้มละลายไหมครับ จากคุณ : ryuken - [ 27 เม.ย. 50 12:20:36 A:125.24.9.130 X: TicketID:143864 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ถามง่ายๆ เลยนะครับ คนเงินเดือน 8 พันบาท ต้องเลี้ยงเมีย 1 ลูกอีก 2 คน จะใช้ชีวิตอย่างไรใน กทม. OK เขาอาจจะเก่งมากที่บริหาร คชจ.เก่งมาก จนทำให้ รายได้ชนกับคชจ.พอดี แต่ขอโทษที ประกันสังคมหักไปอีก 5% 400 บาท ที่โดนหักไป... คือ ส่วนที่ไม่พอใช่ไหมครับ เป็นคุณจะทำอย่างไร ถึงจะไม่ให้ลูกเมียต้องอด ถ้าไม่ไป "กู้" ญาติๆ ก็ลำบากกันทั้งนั้น สรุปก็เลยไป พึ่งสินเชื่อด่วน... ดอกแพงหูฉี่ นี่ไม่ใช่เพราะ ประกันสังคมคือต้นเหตุหรือครับ โลกแห่งความเป็นจริง ก็คือ ผู้ใช้แรงงานระดับล่างๆลำบากมากขึ้น รายได้ไม่ค่อยพอรายจ่าย เพราะเงินที่ประกันสังคมหักออกไปนั่นแหละ และ ประกันสังคม นั่นแหละที่เป็นผู้ผลักดัน ให้คนกลุ่มรากแก้วนี้ตกอยู่ในวังวนของสินเชื่อบุคคล ผมถึงได้บอกว่า "ถึงเวลาไถ่บาป" แล้ว ต้องปลดล็อกให้พวกเขาสามารถกู้เงินของพวกเขาเองได้ เพื่อตัวผู้ใช้แรงงานระดับรากแก้วเอง และเพื่อศก.ของประเทศชาติด้วยครับ จากคุณ : ryuken - [ 27 เม.ย. 50 12:30:19 A:125.24.9.130 X: TicketID:143864 ]

ความคิดเห็นที่ 10 สงสัยผมอาจจะเข้าใจผิดนึกว่าพูดถึงประกันสังคมที่ผมจ่ายอยู่ (หรือว่าตัวเดียวกันรึเปล่าก็ไม่รู้นะครับ) เอาไว้ผมไปดูรายละเอียดอีกทีนึง ตอนนี้ต้องขอโทษด้วยละกันที่เข้าใจผิด แต่เดี๋ยวต้องไปประชุมแล้วครับเอาไว้มาคุยกันใหม่ แต่อย่างนึงนะ ผมเอะใจนิดเดียวตรงที่คุณถามว่าคนเงินเดือน 8 พันบาท เมีย 1 ลูก 2 จะอยู่อย่างไรใน กทม. ผมคงตอบคุณไม่ได้เพราะผมว่าถ้าเงินเท่านั้นคงต้องอยู่อย่างลำบากแน่ๆ แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากถามว่าแล้วทำไมก่อนที่จะมีลูกไม่คิดก่อนละครับว่าเราสามารถเลี้ยงดูได้หรือไม่ ผมว่าตรงนี้ต่างหากที่สำคัญมากกว่าปัญหาที่เกิดจากประกันสังคมครับ จากคุณ : gv - [ 27 เม.ย. 50 12:52:26 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เพราะอย่างผมเห็นแฟนไม่สบายอย่างนี้ผมยังไม่อยากแต่งงานเลยครับ ไม่ใช่กลัวว่าจะเป็นภาระนะครับแต่ผมกลัวว่าถ้าอยู่ด้วยกันแล้วค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นมันจะไม่สามารถทำให้อยู่รอดไปกันได้ ในขณะที่ปัจจุบันก็อาศัยอยู่ในครอบครัวพอพึ่งพาครอบครัวของตัวเองไปก่อนได้ ผมว่า เรื่องการวางแผน ทั้งแผนเงิน แผนงาน และแผนชีวิต นี่แหละครับที่สำคัญต่อตัวเราเองและสังคม จากคุณ : gv - [ 27 เม.ย. 50 12:56:50 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เห็นด้วยกับ จขกท  ถ้าทำได้ก็เหมือนกับบริษัท ใหญ่ ๆ ที่มีสหกรณ์ออมทรัพย์ แล้วให้พนักงานกู้ เสียดอกราคาถูก เวลาสิ้นเดือน เห็นคนไปเข้าแถวจ่ายเงิน ที่อิออน รู้สึกว่าทำไมต้องกู้เงินด้วย ไม่เข้าใจ แต่อย่างว่าเราก้โชคดีที่เกิดมา เคยแต่กู้เงินซื้อบ้า น กับซื้อรถ เท่านั้น นอกนั้นไม่ต้อง จากคุณ : Kpetcharat - [ 27 เม.ย. 50 16:00:28 ]

ความคิดเห็นที่ 13 มองดูแล้ว ผมคิดว่าเป็นเรื่องการวางแผนการใช้จ่ายมากกว่านะครับ ลองดูสมมติฐานก่อน เริ่มจากคุณตั้งขึ้นมาว่า 1. เงินเดือน(ก่อนหักประกันสังคม) = ค่าใช้จ่าย 2. เมื่อต้องหักประกันสังคมทำให้ต้องกู้เงินส่วนที่ขาดไปมาใช้ - ซึ่งตรงนี้แหละที่เป็นสิ่งที่ผิด!!!!!!! จริงๆมันผิดตั้งแต่ข้อแรกแล้ว ค่าใช้จ่ายควรจะน้อยกว่าเงินเดือน ถ้าไม่สามารถทำได้ก็ควรหางานใหม่ หรือลดค่าใช้จ่ายลง มันก็เท่านั้นเอง เดี๋ยวก็คงจะมีข้อโต้แย้งออกมาอีกว่า คนไม่เคยจนไม่รู้หรอกว่าคนจนนั้นชักหน้าไม่ถึงหลังขนาดไหน ....ครับ ผมไม่เคยขัดสนขนาดนั้น แต่ผมเคยเห็นคนที่เงินเดือนน้อยกว่านั้น แต่สามารถเก็บเงินได้ และผมเคยเห็นคนเงินเดือนมากกว่านั้นแต่เป็นหนี้เป็นสินล้นพ้นตัว ดังนั้นผมสรุปว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่สินเชื่อส่วนบุคคลหรือประกันสังคม ปัญหามันอยู่ที่วินัยในการใช้จ่ายส่วนบุคคลมากกว่า จากคุณ : Nexus - [ 27 เม.ย. 50 16:05:31 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เสียดายเงินหลายร้อยที่โดนประกันสังคมหักไปมาก เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย อยากรู้ว่า พวกผู้บริหารที่คิดนโยบายนี้ เคยใช้สิทธิ์ประกันสังคมเวลาไปโรงพยาบาลบ้างไหมคะ หรือว่า คิดโดยเีลียนแบบจากต่างประเทศอย่างเดียว โดยที่ไม่ดูความพร้อมของประเทศเรา จากคุณ : Left side heart - [ 27 เม.ย. 50 17:06:10 ]

ความคิดเห็นที่ 15 มีอีกประเด็นหนึ่งที่ น่าจะพิจารณาร่วมด้วยคือ สิทธิในการรับการรักษาพยาบาล ว่าทำไมผู้ประกันตนถึงได้รับบริการจากสถานพยาบาลไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้บางคนเลือกที่จะไม่ใช้สิทธิ ยอมที่จะจ่ายเงินสดหรือใช้สวัสดิการบริษัทแทน ข้อเท็จจริง ก็คือ เงินที่หักจากผู้ประกันตนและนายจ้าง 6% ที่เป็นการหักภาคบังคับ ถูกจัดสรรไปให้สถานบริการพยาบาลเพียงแค่ รายละ 1200 บาท โดยที่ ไม่ว่าผู้ประกันตนจะถูกหักเต็มเพดาน เดือนละ 900 ปีละ 10800 บาท หรือ หักขั้นต่ำสุดประมาณ 300 บาท ปีละ 3600 บาท แต่ประกันสังคมก็จะเหมาจ่ายให้สถานพยาบาลเท่ากันที่ รายละ 1200 บาท จะเห็นได้ว่า ประกันสังคม มีรายรับต่อราย 3600-10800บาท มีรายจ่ายต่อราย1200บาท ให้ใครบริหารก็มีกำไรแน่นอน จึงเป็นที่มาของการที่ประกันสังคมมีเงินเพิ่มจากปี41 หนึ่งแสนล้านบาทเป็นสี่แสนล้านบาทในปัจจุบัน ยังมีผู้ประกันตนหลายคนที่มีความเข้าใจผิดว่าเงินที่ถูกหักทุกเดือน ทางสถานพยาบาลเป็นผู้รับไปทั้งหมด ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยทางประกันสังคมก็ไม่พยายามประชาสัมพันธ์ในจุดนี้ ประกันสังคมจะมีข้ออ้างถึงภาวะที่จะเป็นต้องกันเงินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อที่ รอจ่ายให้ผู้ประกันตนที่จะเกษียณ หรือ ชราภาพ แต่จำนวนเงินเหล่านั้นมีค่าเพียงน้อยนิด เทียบไม่ได้กับค่าตอบแทนของผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ประกันสังคม ในส่วนนี้ขอเสนอความเห็นว่า ประกันสังคม น่าจะทำหน้าที่เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร สิ่งที่ได้รับจากผู้ประกันตนก็ควรที่จะ หาทางตอบแทนคืนให้กับผู้ประกันตนให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่ว่าจะเป็นในรูปการเพิ่มเงินให้สถานพยาบาลให้บริการพยาบาลที่ดีขึ้น หรือ ในรูปเงินช่วยเหลือกู้ยืม แบบที่ จขกท เสนอ หรือ ในรูปแบบใดๆก็ตามที่จะเป็นประโยชน์กย้อนกลับมาผู้ประกันตนซึ่งเชื่อได้ว่า ผู้บริหารประกันสังคมที่รับเงินเดือนสูงขนาดนี้ต้องสามารถระดมสมอง คิดออกมาได้ (ถ้าอยากจะคิด) อาจจะมีเจ้าหน้าที่ประกันสังคมออกมา แย้งว่าเงินที่จ่ายรายหัวรายละ1200 บาท แล้วยังมีเงินเพิ่มให้อีก 4-500 บาท แต่...มาพร้อมเงื่อนไขที่มากมาย ต้องทำรายงาน ต้องส่งภายในกำหนด ต้อง..ต้อง..ต้อง.. สุดท้าย ก็เบิกไม่ได้หรือได้เพียงบางส่วน หรือกรณีที่ เพิ่มความคุ้มครองจากโรคบางอย่างเพิ่มเติมภายหลัง โดยไม่เพิ่มค่าตอบแทน ซึ่งผิดหลักการของการประกันทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นประกันวินาศภัย หรือ ประกันชีวิต  ที่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขภายหลังไม่ได้ ยกเว้นจะมีการเพิ่มเบี้ยเพิ่มค่าตอบแทนให้ หวังว่า ประกันสังคม จะหาทางแก้ไข ให้ด้วยครับ ขอบคุณมาก มาก จากคุณ : author unknown - [ 27 เม.ย. 50 17:10:17 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ข้อเท็จจริงก็คือ เงินที่อยู่ในส่วนรักษาพยาบาล คลอดบุตร ตาย นั้น เก็บจากฝ่ายลูกจ้างและนายจ้าง ฝ่ายละ 1.5% รวมเป็น 3% ของเงินเดือน ดังนั้น คนเงินเดือน 2 พันบาท จ่ายตรงนี้จริงๆ แค่เดือนละ 30 บาทต่อเดือน รวมกับนายจ้างด้วยเงินเท่ากัน แต่คนเงินเดือนสูงกว่านั้นจ่ายด้วยเงินที่มากกว่า แต่ได้รับบริการเหมือนกัน....... คนกลุ่มนี้เลยไม่ค่อยพอใจนักครับ เงินที่จ่ายให้ รพ.นั้น ขึ้นทุกปี ตอนนี้คงไปราว 1.8 พันบาทแล้วมั้งครับ ส่วนเงินอีก 3% แต่ละฝ่ายรวมเป็น 6% นั้นจะเก็บเป็นสงเคราะห์ชราภาพและบุตร นี่เป็นเงินก้อนมหาศาล 3.4 แสนล้าน ซึ่งควรจะนำมาให้ผู้ประกันตนกู้ในส่วนเงินออมของตนเอง รับภาระผ่อนกันเอง จ่าย ดบ.10% ให้กองทุนเพื่อให้กองทุนมีผลตอบแทนดีขึ้น ทุกฝ่ายน่าจะยินดี ทั้งผู้ประกันตนและกองทุนประกันสังคม ส่วนที่ยิ้มไม่ออกน่าจะเป็น KTC และ อิออน พวกนี้ละครับ และอีกฝ่ายละ .5% เก็บเพื่อประกันว่างงานครับ ที่ผม จากคุณ : ryuken - [ 27 เม.ย. 50 21:05:35 A:125.24.24.12 X: TicketID:143864 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เงินกรณีชราภาพ คุณออม 3 % แต่ได้คืน 6 % (คืนในส่วนของนายจ้าง บวกดอกผลด้วย) แล้วทุกวันนี้ เงินที่มองดูว่ามีเยอะ จริง ๆ เหมือนที่หลายคนบอก ต้องเก็บไว้จ่ายบำนาญชราภาพ ซึ่งจะเริ่มจ่าย ปี 2557 นี้แล้ว ทุกวันนี้ ถ้าแยกกองทุนเป็น 2 ส่วนคือ 4 กรณี (เจ็บป่วย คลอดบุตร ตาย ทุพพลภาพ) กับ 2 กรณี (สงเคราะห์บุตร และชราภาพ) จะเห็นว่าเงิน 4 กรณี ติดลบ (ในจังหวัดที่ทำงานอยู่ ผู้ประกันตนประมาณ 40,000 บาท)            ส่วนว่างงานตอนนี้ จากแรกเริ่มที่ได้สิทธิกันมา แต่ละเดือนว่างงานไม่ถึง 50 ราย แต่ตอนนี้ เมษายน (ครึ่งเดือน) พุ่งขึ้นเป็น 100 รายแล้ว            ที่สำคัญทุกวันนี้ ผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพ จังหวัดที่ผู้ประกันตน 40,000 คน มีผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพ  40 ราย ซึ่งต้องจ่ายค่าชดเชย ( 50 % ของค่าจ้าง) ไปตลอดชีวิต พร้อมค่ารักษาพยาบาลอีก เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงอยู่เหมือนกัน             ผู้ประกันตนส่วนใหญ่ในต่างจังหวัด ค่าจ้างอยู่ในเกณฑ์ประมาณ 4000 - 5000 บาท (ค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 156 บาท)             คิดว่าเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกันนะที่มีการเก็บเป็นเงินออมไว้ ถ้าไม่มีประกันสังคม เก็บเดือนละ 3 % คืน 6% พร้อมดอกผล  ยากนะสำหรับคนระดับรากหญ้าที่จะเก็บได้ (ถ้าให้เก็บเอง) ทุกวันนี้ สงเคราะห์บุตรเดือนละ 350 บาท พอสิ้นเดือนกดใช้กันหมด จนบางครั้งคิดว่าไม่ได้รับเงิน (แต่จริง ๆ แล้ว กดไปใช้หมดแล้ว)             แล้วตอนนี้ ค่าคลอดก็ได้รับกันรายละ 12,000 บาท  นี่แหละเป็นสวัสดิการหนึ่งที่รัฐให้กับผู้ใช้แรงงาน โดยการมีส่วนร่วมของ 3 ฝ่าย             คิดไว้ว่า เป็นการเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข             อีกนิดหนึ่งสำหรับ Mr.X-Ray  ถ้ากลับไปดูกฎหมายเกี่ยวกับการเบิกค่ารักษาพยาบาลของรัฐ เขาระบุว่าจะเบิกได้ต้องไม่มีสิทธิจากที่อื่น ดังน้น พอมีของประกันสังคม สิทธิข้าราชการเลยต้องยกเลิกไป และมีคนร้องเรียนไป ทางกรมบัญชีกลางแจ้งว่าค่าใช้จ่ายส่วนที่เกินจากการเบิกของประกันสังคม สามารถใช้สิทธิจากราชการได้ และตอนนี้ มีการร้องศาลปกครองอยู่ รอหน่อยว่าผลจะออกมาอย่างไร จากคุณ : พู่เจริญ - [ 28 เม.ย. 50 04:21:46 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คุณ author unknown  เข้าใจผิดแล้วค่ะ ประกันสังคม ไม่ได้จ่ายเฉพาะค่ารักษาพยาบาล  คร่าว ๆ นะคะ        1. ค่ารักษาพยาบาล (เหมาจ่ายให้ รพ. จ่ายผู้ประกันตนกรณีฉุกเฉิน อุบัติเหตุ)        2. ค่าทดแทนกรณ๊หยุดงาน ร้อยละ 50 ของค่าจ้าง (หลังจากรับจากนายจ้าง 30 วัน)  ปีละไม่เกิน 180 วัน        3. ค่าคลอดเหมาจ่าย 12,000 บาท (ถ้าเป็นหญิง ได้ค่าทดแทนอีก ร้อยละ 50 ของเงินเดือน อีก เดือนครึ่ง)        4. ทุพพลภาพ ร้อยละ 50 ของค่าจ้างตลอดชีวิต พร้อมค่ารักษาพยาบาลอีกเท่าที่จ่ายจริงไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท)        5. ค่าทำศพ รายละ 30,000 บาท เงินสงเคราะห์กรณีตาย จ่ายประกันสังคมมา 3 ปี ได้ ร้อยละ 50 เดือนครึ่ง ถ้าเกิน 10 ปี ได้เงินสงเคราะห์ 5 เดือน        6. เงินสงเคราะห์บุตรเดือนละ 350 บาท ตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปี        7. ชราภาพ ถ้าส่งไม่ครบ 180 เดือนได้คืนเป็นบำเหน็จ พร้อมดอกผล ถ้าเกิน 180 เดือน ได้เป็นบำนาญ       8. ว่างงาน ถ้าลาออกได้ ร้อยละ 30 เป็นเวลา 90 วัน ถ้าถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด ร้อยละ 50 เป็นเวลา 180วัน        บางกรณี เป็นโรคพิเศษ อี่น ๆ เช่น ฟอกเลือด ยาอิริโธรปัวอิติน  เดือนหนึ่งเกิน 10,000 บาท (ฟอกเลือด 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็ตกเดือนละ 12,000 บาทแล้ว) นอกจากนั้นมีอะไรที่เพิ่มให้อีก คือทันตกรรม บางรายมีปลูกถ่ายไขกระดูก หลายอย่างเหมือนกันนะคะที่ต้องจ่ายนอกเหนือจากที่คุณบอก (จ่ายให้รพ.ที่เลือก)           เจ้าหน้าที่ก็รับเงินเดือนแบบราชการปกติ ทำมา เกือบ 20 ปี เงินเดือน 20,000 บาท ทำงานตั้งแต่เช้า ประมาณ 8.00 น. เลิกกลับบ้านประมาณ 17.00 น. ให้บริการตอนเที่ยงด้วย  ถ้ามีคนมาติดต่อเวลาไหนก็ต้องรีบทำให้ เพราะ ผู้ประกันตนบอกว่าจะรีบกลับไปทำงาน เป็นไงคะ ได้ข้อมูลเพิ่มเติม คงเข้าใจได้มากขึ้น ถ้ามีอะไรสอบถามเพิ่มเติม หลังไมค์ได้ค่ะ จากคุณ : พู่เจริญ - [ 28 เม.ย. 50 04:38:59 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ประกันสังคมหากจำไม่ผิดปี 45 มั้งเปลี่ยนจาก สถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่10 คนขึ้นไปเหลือแค่ที่มีลูกจ้าง1 คนขึ้นไปต้องเข้า  ซึ่งจุดนี้ แหละนโยบายตอนแรกที่เก็บ 3% แล้วก้อมาเพิ่มเป็น4 และ5 ในที่สุด จากคุณ : ปลาอ้วนกวนน้ำ (ปลาอ้วนกวนน้ำ) - [ 28 เม.ย. 50 08:05:07 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณ คุณพู่เจริญที่มาให้ความกระจ่างครับ 4 กรณี เจ็บป่วย คลอดบุตร ตาย และ ทุพพลภาพ นั้น ผมเห็นด้วยครับ เพราะเป็นการจ่ายตามรายได้ ใครมีรายได้น้อยจ่ายน้อย มากจ่ายมาก แต่ได้รับบริการเหมือนๆ กัน เป็นแนวคิดแบบ saftey net ของประกันสังคม แต่สำหรับ 2 กรณีนั้น เป็นการบังคับออม... ซึ่งหากใครมีเงินเหลือออมก็ดีไป แต่สำหรับคนไม่มีเหลือออมละครับ ประกันสังคมกำลังผลักดดันให้เขาไปกู้ดบ.แพงมิใช่หรือ และในที่สุดก็ติดหนี้สินระดับหลักหลายแสน.... เอาความมั่งคั่งไปให้นายแบงก์ นอนแบงก์ และ นอกระบบทั้งหลาย แบบนี้มันจะดีหรือครับ สำหรับผู้มีเงินเหลือ ผมเห็นด้วยอยู่แล้วที่จะให้ออมในระบบต่อไป และ คนพวกนี้ก็คงไม่มากู้ดบ. 10% จากประกันสังคมหรอก เพราะฝากแบงก์ยังไม่ได้ 4% ด้วยซ้ำ แต่สำหรับผู้ที่ชักหน้าไม่ถึงหลังจริงๆ หากเราเปิดช่องให้กู้ได้ 10% ต่อปีและผ่อน 10 ปีได้ แบบนี้พวกเขาจะได้รอดจากการตกเป็นเหยื่อดอกแขก รอดจากการติดแบลกลิสต์ รอดจากการอดมื้อกินมื้อไงครับ ผมไม่เถียงเลย ว่าการบังคับออมเป็นเพื่อความมั่นคงยามชราของผู้ใช้แรงงานเหล่านี้ แต่ถ้าพวกเขาประหยัดอย่างไรก็ไม่สามารถออมได้ แต่ประกันสังคมก็ยังไปบังคับออมอีก แบบนี้ทำบุญหรือทำบาปกันแน่ ประกันสังคมกำลังบีบให้พวกเขาจมน้ำตายอยู่ในกองหนี้สินนะครับ สำหรับผู้ที่มีการบริหารเงินดีพอควร เมื่อกู้เงินจากประกันสังคมแล้วก็น่าจะผ่อนชำระได้ดี... เพราะ ดบ.ถูกกว่า และ ผ่อนชำระต่ำกว่า ดังนั้นสรุปแล้วเงินออมของพวกเขาก็ยังอยู่ครบดี ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด แต่ในยามที่ น้ำมันและข้าวของแพงเช่นนี้ คชจ.สูงกว่ารายได้ เราทำไมไม่นำเงินตรงนี้ซึ่งเป็นของผู้ประกันตนอยู่แล้ว มาช่วยพวกเขาละครับ จากคุณ : ryuken - [ 28 เม.ย. 50 10:49:49 A:125.24.24.12 X: TicketID:143864 ]

ความคิดเห็นที่ 21 หวัดดี ครับคุณพู่เจริญ คิดว่าคุณน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ประกันสังคม คนหนึ่ง ขอขอบคุณมากสำหรับความคิดเห็นแต่ยังมีส่วนความคิดเห็นที่แตกต่างหลายประเด็น ครับ เดี๋ยวจะมาลงรายละเอียดกัน โดยเฉพาะสิทธิพิเศษที่นอกเหนือค่ารัษาพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นเงินชดเชย เงินทดแทน หรือ เงินพิเศษค่ารักษาพยาบาลเช่นค่าฟอกไตหรือปลูกถ่ายกระดูก คร่าวๆก็คือโรคเหล่านี้ กว่าจะเบิกจ่ายได้มีขั้นตอนและข้อจำกัด มาก เช่นการฟอกไต เบิกได้ครั้งละไม่เกิน1500 และ ไม่เกิน 3000 บาทต่อสัปดาห์ หมายความว่า คนไข้ใช้สิทธิได้ไม่เกินสองครั้ง   นี้เป็นตัวอย่างของการมีข้อแม้ ข้อจำกัดในทางปฏิบัติ ผลสุดท้ายก็คือเบิกไม่ได้ ผมเองเห็นใจพนักงานระดับผู้ปฏิบัติงาน แต่ไม่เห็นใจผู้บริหารระดับสูงและนโยบาย ของประกันสังคม ขอฝากถามคุณพู่เจริญอีกหนึ่งข้อ ว่า ค่าตอบแทนผู้ประเมินสถานพยาบาล ที่ต้องประเมินทุกปี ทุกสถานบริการ ผู้ประเมินได้รับเท่าไรต่อครั้งครับ ขอโทษ จขกท ด้วยครับ ที่เหมือนกระทู้แตกประเด็น แต่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ประกันตนเหมือนกัน จากคุณ : . (author unknown) - [ 28 เม.ย. 50 13:18:29 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอโทษนะครับ อาจจะเป็นความเห็นที่เห็นแก่ตัวหน่อย แต่ผมในฐานะผู้ส่งเงินเข้าประกันสังคมคนหนึ่งและผมขอคิดถึงผลประโยชน์ของตนเหมือนกัน ผมอยากทราบว่าในกรณีที่ประกันสังคมปล่อยให้กู้จริงๆตามที่เสนอกันแล้วจะให้ดอกเบี้ย 10% ได้จริงหรือไม่ครับและช่วยได้จริงหรือ เพราะในกรณีที่เกิดผู้ใช้แรงงานที่บอกว่าเงินถูกดึงไปทำให้ไม่พอใช้สามารถกู้ได้จริงแล้ว เกิดไม่สามารถที่จะจ่ายคืนให้ได้ (ซึ่งตามที่สมมติข้างต้นผู้กู้เสมือนจะไม่สามารถมีเงินใช้ในชีวิตประจำวันได้จากการที่ประกันเรียกเก็บเงินส่วนนี้ไปทำให้ต้องมีการกู้เกิดขึ้น) และมีภาระผูกพันร้อยละ 10 ต่อปีซึ่งน้อยกว่าดอกเบี้ยการกู้ทั่วไปและช่วยผ่อนเบาภาระหนี้ได้ (แต่ยังไงก็ยังเป็นหนี้อยู่ดีนี่น่า) ไปตลอดทุกปี แสดงว่าเมื่อถึงวันสุดท้ายในชีวิตของเขาเขาก็ยังเป็นหนี้ประกันสังคมอยู่ใช่หรือไม่ แล้วหนี้เสียพวกนี้จะเอาที่ไหนมาจ่ายนอกจากเงินในกองทุนประกันสังคม ถ้าเกิดอย่างนั้นขึ้นจริง ผมขอถอนตัวจากประกันสังคมได้หรือไม่ครับ ดูจากความคิดข้างต้นเห็นๆว่ายังไงประกันสังคมก็มีแต่เจ๊งไม่เห็นว่าผมจะได้ประโยชน์อะไรเลยนี่น่า ถ้าอย่างนั้นให้รัฐเก็บเป็นภาษีไปเลยไม่ดีกว่าหรือครับ แล้วเอาเงินไปบริหารเป็นเงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยยังไงผมก็ต้องสูญเงินเหมือนกันนี่น่า จากคุณ : gv - [ 30 เม.ย. 50 08:55:43 ]

ความคิดเห็นที่ 23 จริงๆ ผมลองคิดดูแล้วผมว่าถ้าเป็นกรณีอย่างที่คุณว่ามันก็เป็นภาระของผู้ใช้แรงงานที่ไม่สามารถมีเงินจ่ายได้จริงๆ อย่างนี้ผมว่ายกเลิกการจ่ายเงินประกันสังคมส่วนนี้ก็ดีครับ ผมจะได้เอาเงินส่วนนี้ของผมไปทำประกันสุขภาพให้เงินเข้าประโยชน์โดยตรงกับผมมากกว่า แต่ขอเพิ่มอะไรอีกนิดหน่อยครับ ผมว่าเงินประกันสังคมก็เหมือนบำเน็จบำนาญข้าราชการ ซึ่งเงินบำนาญคนรู้จักของผมที่ค่อนข้างมีอายุหน่อยเขาบอกว่าเงินค่าทำศพและเงินที่ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน ซึ่งทำให้เราคิดได้ว่าข้าราชการ(หมายถึงพวกครูนะครับเพราะว่าพวกข้าราชการอื่นที่โกงกินไม่นับ) เขาก็มีการหักเงินเหมือนเราเลยแล้วทำให้ฐานเงินเดือนท้ายสุดก็ได้น้อยกว่าเราด้วย แต่น่าแปลกใจทำไมเขายังอยู่กันได้นะครับ จากคุณ : gv - [ 30 เม.ย. 50 11:09:44 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอตอบคุณ gv ครับ... คุณเข้าใจผิดแล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้าใช้วิธีนี้ กองทุนประกันสังคมไม่มีเสีย มีแต่ได้... เพราะผู้ประกันตนที่กู้ดบ.สูง 10% ไม่ใช่พวกที่มีเงินออมแน่ๆ แต่เป็นพวกชักหน้าไม่ถึงหลัง หรืออยู่อย่างพอดีปริ่มน้ำ อย่างไรก็ดี พวกเขามีเงินออมอยู่กับประกันสังคม และ สามารถกู้เงินออกมาได้ไม่เกินนี้ ดังนั้น หากใครเบี้ยวก็ถูกยึดเงิน และ ออกจากระบบประกันสังคม กลายเป็นพวกนอกระบบ เหมือน แม่ค้าหาบเร่ หรือ เกษตรกรนะครับ ดังนั้น กองทุนประกันสังคม จึงไม่กลัวการเบี้ยวหนี้เลย ความเสี่ยงของ NPL เป็น ศูนย์ ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดของ "ธนคารลูกจ้าง" ที่ผมอ่านๆ ดูแล้ว แม้จะใช้เงิน สปส.เหมือนกัน ปล่อยกู้ผู้ประกันตนเหมือนกัน แต่เงิน 4 หมื่นล้าน นั้นไม่รู้ใครจะมากู้บ้าง และ มีหลักประกันอะไรว่าจะไม่เป็น NPL หากเป็น NPL ใครรับผิดชอบ รัฐบาล หรือว่า ประกันสังคม รับไป ????? แนวคิดแบบผมไม่มีความเสี่ยง และ มุ่งหวังการปล่อยสินเชื่อถึง 1 แสนล้าน รวมอีก 2 กองบำนาญ คือ provident fund และ กบข. ผมคิดว่าน่าจะปล่อยได้ถึง 3 แสนล้าน ซึ่งมากมายมหาศาล พอจะกระตุ้น ศก.ได้แน่ ความเสี่ยงของ NPL เป็น ศูนย์ครับ ใครเบี้ยว 3 เดือนส่งชื่อเข้าเครดิตบูโร และ ยึดเงินค้ำประกันทันที แต่ผมเชื่อว่าจะเบี้ยวน้อยมาก เพราะ ดบ.ต่ำกว่าบัตรเครดิต และ สินเชื่อบุคคล ผ่อนต่อเดือนก็น้อยกว่า หนี้บัตรเครดิตมีหนี้เสียราว 3% และ สินเชื่อบุคคลราว 7% ครับ ผมคิดว่ายังไงก็ควรระบบประกันสังคมต่อไป... เพื่อเป็นหลักประกัน คน 2 ใน 3 จะสามารถออมได้ แต่อีก 1 ใน 3 นั้นเราไปบังคับออมทั้งๆที่พวกเขาออมไม่ได้ แย่จังนะครับ จากคุณ : ryuken - [ 30 เม.ย. 50 21:59:14 A:125.24.0.140 X: TicketID:143864 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ผมก็เห็นใจคนที่ถูกบังคับนะครับ ผมว่าถ้ามันเป็นกันถึงขนาดนั้นจริงๆ ก็น่าจะกู้แบบให้จ่ายดอกเบี้ยเป็นแบบ 4.5% ไปเลยน่าจะดีกว่านะครับ โดยจำกัดวงเงินตามเงินที่ผู้ประกันสังคมคนนั้นจ่าย ถ้าคิดว่าคิดว่าไม่มีอะไรเสียเนื่องจากเป็นเงินผู้ประกันสังคมเอง ( NPL ก็เป็น 0 ) (แต่ไม่ใช่หรอกครับเพราะว่าจริงๆเขาสามารถนำเงินตรงนี้ไปทำการหมุนเพื่อทำผลกำไรได้ดีกว่าที่เขาจะคืนให้ ซึ่งอาจนำเงินส่วนเกินไปโปะค่ารักษาพยาบาลที่อาจติดลบมากได้ในอนาคตเมื่อมีคนเพิ่มขึ้น ดังนั้นสุทธิแล้วติดลบแน่นอนครับ) แต่ผมเห็นใจจริงๆกับคนที่ไม่สามารถจ่ายเงิน ณ จุดนี้ได้ และไม่มีโอกาสที่จะเพิ่มรายได้ให้ตนเองได้แล้ว ซึ่งผมว่ามีเยอะมากครับคนกลุ่มนี้ แต่ชีวิตมันคงต้องสู้ต่อไปนะครับ จากคุณ : gv - [ วันแรงงาน 08:35:19 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เราถึงต้องหาวิธีช่วยพวกเขานะสิครับ เพราะระบบประกันสังคมตอนนี้มันไม่ยุติธรรมเลย เพราะเขาถูกบังคับออมกับประกันสังคม แต่ได้ ดบ.4% ขณะที่เงินส่วนที่ถูกบังคับออม ทำให้ไม่พอใช้ จึงต้องไปกู้สินเชื่อบุคคลดบ. 25% นานๆ ไปคงติดหนี้เป็นแสนครับ ยิ่งทิ้งไปนานยิ่งเยียวยายาก ดบ.10% ไม่สูงหรอกครับ ผ่อนได้ 10 ปี ภาระต่อเดือนเหลืแค่ 1.3% ของวงเงินกู้ กู้ 5 หมื่นจ่ายแค่ 650 บาท พวกเขายิ้มแน่ๆ ครับ เมื่อเทียบกับบัตรเครดิตต้องจ่ายขั้นต่ำ 10% หรือทุกเดือนต้องจ่าย 5 พันบาท ภาระมันต่างกันเยอะครับ จะได้มีเงินเหลือพอกินข้าวอิ่มบ้าง ถ้าให้ ดบ.ต่ำเกินไป จะไม่ยุติธรรมกับผู้ประกันคนอื่นที่รักษาวินัยการเงินนะสิครับ และจะมีการกู้ออกมามากเกินไป เช่น เอาไปใช้ผ่อนบ้าน ผ่อนรถเป็นต้น ซึ่งเราไม่ต้องการแบบนั้น เราต้องการผ่อนภาระในส่วนหนี้บัตรฯ และ สินเชือบุคคลและหนี้นอกระบบ มากกว่า วันนี้วันแรงงาน แต่ก่อนผมศรัทธากับระบบประกันสังคมมาก เชื่อว่าเป็นระบบที่ดีสร้างความมั่นคงให้กับแรงงานไทย แต่ตอนนี้ หลังจากคำนวณดูแล้ว หากปล่อยให้บังคับออมกับกลุ่มคนที่ไม่มีปัญญาออมไปเรื่อยๆ แบบนี้ กำลังซื้อจะหดหาย เพราะภาระหนี้แต่ละคนหนักขึ้นเรื่อยๆ หนี้สินสุทธิจะวิ่งเป็นหลักหลายแสนได้เลย ความมั่งคั่งไปอยู่ที่ นอนแบงก์หมด ทั้งๆ ที่พวกเขาก็มีหลักทรัพย์ คือ เงินออมกับประกันสังคม แต่ทำไมต้องไปกู้ดบ.แพงๆ ขนาดนั้น ??? รัฐและประกันสังคม ไม่เคยมาดูแลจุดนี้เลย จากคุณ : ryuken - [ วันแรงงาน 09:15:01 A:125.24.0.140 X: TicketID:143864 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ผมยังยืนยันคำเดิมว่ามันขึ้นอยู่กับรายจ่าย ต่อให้ใช้ Model ที่คุณว่ามา ตราบเท่าที่รายได้น้อยกว่ารายจ่าย ยังไงๆในระยะยาวก็ป็นหนี้อยู่ดี ปัญหาจริงๆไม่ได้รับการแก้ไขเลย จากคุณ : Nexus - [ 2 พ.ค. 50 06:55:43 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ได้ข่าวมาว่า มีการเอาเงินประกันสังคมที่เราจ่ายกันทุกเดือน ไปสั่งตัดเสื้อเหลือง เพื่อเอาไว้แจก กับคนที่ไปร่วมงานเทิดพระเกรียติฯ ด้วยนะครับ ได้ฟังแล้ว ไม่อยากจะส่งต่อ ขอยกเลิกได้ไหมครับ จากคุณ : คุณเอจ - [ 3 พ.ค. 50 17:31:39 A:222.123.70.249 X: TicketID:138589 ]