ความคิดเห็นที่ 1 อีกประเด็นที่สำคัญที่อยากทราบ  คือ อยากทราบว่าผลตอบแทนขนาดนี้จำเป็นหรือควรต้องขายคืนหรือไม่อะครับ  แต่โดยส่วนตัวบอกตามตรงว่ายังไม่อยากขายคืนด้วยเหตุผลหลายประการ  ประการแรก  ยังไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้เงินในตอนนี้   คิดว่าจำเป็นต้องใช้เงินประมาณหลังเดือนกรกฎาคมปีหน้า คือ ปี 2551 เป็นต้นไป  ถ้าขายคืนตอนนี้กลัวจะสะสมเก็บหน่วยลงทุนใหม่ไม่ทัน  ประการที่สอง  คิดว่าระยะเวลาลงทุนยังไม่นาน  เพราะเคยได้ยินมาว่าควรลงทุนประมาณ 1-2 ปีเป็นอย่างน้อย  ไม่ทราบว่าจริงหรือป่าว (ของผมแค่ประมาณ 5 เดือนกว่าๆ)   ประการที่สาม  ยังไม่อยากขายเพราะจริงๆแล้วอยากซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มด้วยซ้ำอะครับ  เนื่องจากผมยังลงทุนในกองทุน ABG ได้ไม่เยอะอะครับประมาณหนึ่งแสนห้าหมื่นกว่าบาทเอง  ผลตอบแทนในรูปเปอร์เซ็นต์ถึงแม้อาจเยอะแต่คิดเป็นตัวเงินก็ไม่ได้รู้สึกว่าเยอะมากอะครับ (ได้ผลตอบแทนที่เป็นกำไรประมาณ 8458 บาท )  ผมเลยคิดว่าถ้าเราทยอยเก็บหน่วยลงทุนไปเรื่อยๆให้มูลค่ากองทุนเพิ่มสูงขึ้นกว่านี้น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดูแล้วเป็นรูปธรรมมากกว่านี้อะครับ    ประการสุดท้าย  คือ ยังแอบหวังว่าผลตอบแทนที่ได้น่าจะสูงกว่านี้ได้อีก ถ้าขายคืนก็เสียดาย (ไม่รู้ว่างกเกินไปหรือป่าว) อีกทั้งผมค่อนข้างมั่นใจในฝีมือบริหารกองทุนของบลจ.อเบอร์ดีนว่าน่าจะได้ผลตอบแทนมากกว่านี้ (ถ้าสถานการณ์บ้านเมืองไม่มีอะไรผิดปกติ)  ถึงแม้ผลตอบแทนช่วงต้นปีประมาณไตรมาสแรกของอเบอร์ดีนอาจแย่มาก (ทำเอาแอบเซ็งเล็กน้อย)  แต่ช่วงหลายอาทิตย์หลังมานี่  มูลค่าหน่วยลงทุน หรือ NAV เพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างเยอะทีเดียวครับ  ผมไม่แน่ใจว่าในอนาคตผลตอบแทนมีโอกาสสูงกว่านี้หรือป่าว  ปกติกองทุนหุ้นแบบ Active ที่ได้ผลตอบแทนสูงๆนี่ควรได้ประมาณไหนเท่าไหร่อะครับ (มีโอกาสถึง 20 % ต่อปีปะครับ) อย่างไรก็ดี  เมื่อผมลองคิดอีกด้านก็กลัวว่าถ้าไม่ขายตอนนี้เดี๋ยวผลตอบแทนอาจลดลงไม่สูงเท่านี้อีกแล้ว  เลยทำให้สับสนลังเลว่าจำเป็นต้องขายคืนหรือไม่อะครับ ขอโทษที่พิมพ์ยาวไปหน่อย  ขอขอบคุณสำหรับทุกคำตอบนะครับ จากคุณ : ErrorTerm (ErrorTerm) - [ 8 พ.ค. 50 00:37:36 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ปูเสื่อรอฟัง ครับ ผมเพิ่งเริ่มสะสมบัวแก้วได้ 2 เดือนเองกะตัวเงินกะจิ๊ดริด จขกท ดีนะที่ได้เข้าซื้อในวัน แดง108 จุด จากคุณ : ปลาเสืออ้วน - [ 8 พ.ค. 50 06:51:09 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ลากเก้าอี้หลุยส์เข้ามานั่งรอฟังด้วยอีกคนนะครับ ปกติหมีพูจะตั้งเป้าหมายผลตอบแทนสำหรับกองหุ้นแบบ Active Fund เอาไว้ที่ 12-15% ต่อปี แค่นี้หมีพูก็พอใจแล้วครับ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 8 พ.ค. 50 07:42:07 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ปกติผมลงทุนแบบ VA ลงทุนเดือนละครั้ง หุ้นลงก็ซื้อ (เยอะ) หุ้นขึ้นก็ซื้อ (น้อย) ตั้งเป้าไว้ 15% ครับ จากคุณ : เดี่ยวมือหนึ่ง - [ 8 พ.ค. 50 08:55:50 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สงสัยครับว่าถ้าซื้อทุกเดือนจะคิดผลตอบแทนเป็น % ยังไงครับ ที่บอกว่าเป้าหมายผลตอบแทนอยู่ที่ 15% หมายถึงของแต่ละเดือนที่ซื้อหรือของยอดเงินลงทุนทั้งหมดครับ จากคุณ : ยาหม้อ - [ 8 พ.ค. 50 09:18:19 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผมตั้งไว้แถวๆ 12%~15% เหมือนกันครับ แต่ปีนี้ดีหน่อยรวมๆได้มา 6% แล้ว (เอาเข้าจริงๆต้องเป็น 9% เพราะ Initial Fee เฉลี่ยแถวๆ 3%) ของผมคิดที่แต่ละเดือนกองทุนควรโตประมาณ 1%  ของเงินลงทุนเดือนที่แล้วครับ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 50 10:32:41 จากคุณ : Nexus - [ 8 พ.ค. 50 10:05:09 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คุณยาหม้อ (#5) ถามสั้นแต่คุยกันได้ยาวเลย ผลตอบแทน 15% ของผมคิดจากเงินทุกก้อนและตามเวลาการลงทุนทุกๆ เดือน เทียบเป็นต่อปีครับ การคาดหวังผลตอบแทน 15% ต่อปี จริงๆ แล้วเหมือนกับ benchmark ให้รู้เฉยๆ ว่าช่วงเดือนนี้สภาพตลาดหุ้นเป็นยังไง น่าจะซื้อมาก (หุ้นกำลังตก) หรือซื้อน้อย (หุ้นกำลังขึ้น) เท่าไหร่ดี ยกตัวอย่างดีกว่า สมมติว่าผมอยากลงทุนเดือนละ 10,000 บาท คาดหวังผลตอบแทนที่ 15% ต่อปี คิดเป็น 1.25% ต่อเดือน (เอาแบบ linear ดื้อๆ ยังงั้นแหละ ถ้าคิดผลตอบแทนรายเดือนแบบ compound rate ก็ได้ครับ แต่ก็จะออกมาไม่ต่างกันมากนัก) ** สมมติว่าไม่คิดค่าธรรมเนียมซื้อขายนะครับ ** 1. ซื้อครั้งแรก 10,000 บาท ที่ (unit) NAV 10.00 บาท เพราะฉะนั้นเป้าหมายเดือนแรกผมจะอยู่ที่ NAV = 10.1250 บาท หรือมูลค่าพอร์ต 10125 บาท 2. พอจบเดือนแรกจะซื้อเท่าไหร่ดี ก็อยู่ที่ NAV นี่ล่ะครับ 2.1 ถ้า NAV เท่ากับ 10.1250 บาท พอร์ตผมจะมีมูลค่า 10,125 บาท ผมก็ซื้อเพิ่มอีก 10000 บาท รวมมูลค่าพอร์ต (10,125+10,000) = 20,125 บาท (จำตัวเลขนี้ไว้เป็นเป้าหมายหลังการซื้อครั้งที่สองนะครับ) 2.2 ถ้า NAV เท่ากับ 10.5000 บาท (ช่วงหุ้นขึ้น) พอร์ตผมจะมีมูลค่า 10,500 บาท ผมก็ซื้อเพิ่มอีก 9,625 บาท รวมมูลค่าพอร์ต (10,500+9,625) =20,125 บาท 2.3 ถ้า NAV เท่ากับ 9.500 บาท (ช่วงหุ้นตก) พอร์ตผมจะมีมูลค่า 9,500 บาท ผมก็ซื้อเพิ่มอีก 10,625 บาท รวมมูลค่าพอร์ต (9,500+10,625) =20,125 บาท 3. พอจบเดือนที่สอง ผมก็ดูอีกทีว่ามูลค่าพอร์ตผมมีเท่าไหร่ และผมควรจะซื้อเพิ่ม (หรือขายออก) เพื่อให้มูลค่าพอร์ตของผมเท่ากับ 10,000 + [10,000+(125*1)] + [10,000+(125*2)] = 30,375 บาท ครับ 4. พอจบเดือนที่สาม ผมก็ต้องซื้อให้มูลค่าพอร์ตผมเป็น 10,000 + [10,000+(125*1)] + [10,000+(125*2)] + [10,000+(125*3)] = 40,750 บาท ฯลฯ อันนี้เป็นวิธีการลงทุนแบบ VA ตามที่ผมเข้าใจนะครับ ผิดพลาดตรงไหนช่วยแก้ไขให้ด้วย จะได้เอาไปปรับวิธีคิดครับ จากคุณ : เดี่ยวมือหนึ่ง - [ 8 พ.ค. 50 11:03:06 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ตามวิธีการลงทุนที่ผู้จัดการกองทุนระดับโลกใช้ในการปรับพอร์ตกันนั้น เขาก็มีแค่ทฤษฎีมาเป็นเค้าโครงในการบริหารพอร์ตนะครับ ไม่ได้ยึกหลักตายตัวขนาดที่ว่า ต้องเท่านั้น % ต้องระยะเวลาเท่านี้เป๊ะ หลักที่สำคัญที่สุดในการลงทุน (ในกองทุนทุกประเภท) คือ "การไม่ยึด" ซึ่งคำว่าไม่ยึดติดนี้ รวมในทุกๆมุมมองเลยครับ 1.ไม่ยึดติดกับ บลจ. - หากยึดติบกับ บลจ. ที่ผลการดำเนินงานไม่ดี การที่เราเอาแต่วิจารณ์ บลจ. นั้น แต่ไม่ปรับพอร์ต ก็ดูจะเป็นวิธีการที่ไม่ถูกซักเท่าไหร่ 2. ไม่ยึดติบกับกองทุน หรือประเภทของกองทุน - คนบางคน เข้าใจว่ากองทุนหุ้นในประเทศ ให้ความรู้สึกว่า เข้าถึงข้อมูลมากกว่ากองทุนประเภท FIF ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลองหาข้อมูลดู ในขณะที่กองทุน FIF บางกองทุน ผลการดำเนินงานย้อนหลังไป ดีกว่า กองทุนหุ้นในประเภททุกช่วง period หรือ คนบางคนเข้าใจว่า Money Market Fund ที่หนึ่งในให้ตอบแทนดีที่สุด ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด 3. ไม่ยึดติดกับเป้าหมายการลงทุนจนเกินไป - อันนี้ต้องเข้าใจด้วยนะครับว่า เป้าหมาย กับผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริง มีโอกาสสูงมากที่จะไม่เท่ากัน สมมติ ลงทุนในหุ้น ตั้งเป้ามายที่ 15% ณ ปัจจุบันได้อยู่ที่ 13% แต่หุ้นในตลาดมีแนวโน้มขาลงชัดเจน การถือหุ้นนั้น รอให้ได้ตามเป้าหมาย ก็อาจทำให้เสียโอกาสในการลงทุนไป ประเด้นนี้ อาจจะยากสำหรับนักลงทุนทั่วไปอยู่บ้าง เพราะไม่มีใครรู้ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงเท่าไหร่ แต่ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่นักลงทุนควรรู้ครับ ว่าแนวโน้มในตลาดเป็นยังไง หรือพูดง่ายๆว่า รู้จังหวะการลงทุน นั้นเอง 4. ไม่ยึดติบกับทฤษฎีการลงทุนใดอย่างเดียว - เพราะถ้าเราเชื่ออย่างสนิทแล้ว เราจะปิดกั้นการรับรู้ช้อมูลด้านอื่นๆ จนไม่สามารถมองเห้นมุมอื่นๆที่นักลงทุนท่านอื่นคิด ว่าเป็นอย่างไร ทำอย่างไร ดังเช่น Active Fund และ Passive Fund ก็มีวัฏจักร และข้อดีข้อเสียอยู่เหมือนกัน การที่ใครจะบอกว่า Active Fund ดีกว่า Passive Fund นั้น ก็เป็นเพียงแค่มุมหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายแต่อย่างใดครับ เมื่อไหร่ไม่ยึดติด ก็ไม่ใช่ว่า เราต้องแสวงหาไปเรื่อยๆจนเหนือยแทบสายตัวแทบขาดนะครับ มนุษย์เรา ถ้าสะกด คำว่า "พอ" เป็น ก็ไม่มีอะไรต้องขนขวายอีกต่อไป ใครเจอกองทุนที่ใช่สำหรับตัวเองแล้ว ก็ดีใจด้วยครับ เข้าตามตำราเป๊ะเลยครับ "กระบี่อยู่ที่ใจ จับอะไรก็เป็นกระบี่" ถ้าในใจเรา เจอคำว่า พอ จะลงทุนอะไร ก็สุขใจได้เหมือนกัน ตัวผมเนี่ย พอใจเมื่อผลตอบแทนเกิน 15%ต่อปี สำหรับกองทุนหุ้นครับ ------------------------ โชคดีในการลงทุนครับ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 50 14:47:19 จากคุณ : Mr.Messenger - [ 8 พ.ค. 50 14:45:19 ]