‘ยูโอบี’ขอเอี่ยวหุ้นจีนขายกอง3ปีคุมเงินต้น

โพสต์ทูเดย์ — บลจ.ยูโอบี เอาด้วยออกกองทุนคุ้มครองเงินต้น ลุ้นผลตอบแทนจากตลาดหุ้นจีนในอีก 3 ปีข้างหน้า ตามหลังทิสโก้-แมนูไลฟ์

รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) แจ้งว่า ระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม-4 มิถุนายน บริษัทจะเปิดขายกองทุนเปิด คุ้มครองเงินต้น ยูโอบี ซีเล็ค ไชน่า ลิ้งค์ ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ ประเภท คุ้มครองเงินต้น อายุโครงการประมาณ 3 ปี มูลค่ากองทุน 2 พันล้านบาท

กองทุนจะลงทุนในตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝงซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่มีความมั่นคงสูง ที่มีการกระจายผลตอบแทนอ้างอิงกับค่าเฉลี่ยดัชนี Hang Seng China Enterprise Index (HSCEI) ซึ่งเป็นดัชนีของกลุ่มหลักทรัพย์ของประเทศจีนที่จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง เพื่อหวังผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น กองทุนดังกล่าวเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการได้รับผลตอบแทน ที่ดี ขณะเดียวกันความเสี่ยงจากการลงทุน ก็ต่ำ เพราะคุ้มครองเงินต้น และไม่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากได้รับผลตอบแทนในสกุลเงินบาท

ทั้งนี้ ผลตอบแทนของกองทุนต่อ 3 ปี ย้อนหลัง 10 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 17.85% สูงสุดอยู่ที่ 58.95% ย้อนหลัง 5 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 35.65% สูงสุดอยู่ที่ 58.95%

ทั้งนี้ บลจ.ทิสโก้ เปิดขายกองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า ลิ้งค์ คุ้มครองเงินต้น 2 ระหว่างวันที่ 8-18 พฤษภาคม ซึ่งนโยบายลงทุน เช่นเดียวกับกองทุนของ บลจ.ยูโอบี แต่ อายุลงทุนสั้นกว่าเพียง 1 ปี 9 เดือน ขณะที่ บลจ.แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) เปิดขายกองทุนเปิดแมนูไลฟ์ สเตร็งค์ ไชน่า แวลู เอฟไอเอฟ ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อไปลงทุนตลาดหุ้นจีนผ่านกองทุนในต่างประเทศอีกทอดหนึ่ง กำหนดลงทุนขั้นต่ำ 5 หมื่นบาท

http://www.posttoday.com/newsdet.php?sec=invest&id=165907

อยุธยาตราสารหนี้กลางสุดยอด

โพสต์ทูเดย์ — บลจ.อยุธยา เตรียมส่ง “กองทุนอยุธยาตราสารหนี้ระยะกลาง” จัดเรตติ้ง หวังเป็นจุดขายดึงนักลงทุน หลังเงินทะลัก 4 เดือน ร่วม 7 พันล้านบาท เชื่อจ่ายผลตอบแทนดี 10% ต่อปี

นายประภาส ตันติพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา (AYF) กล่าวว่า ช่วง 4 เดือนที่ผ่านมามีเม็ดเงินไหล เข้ามาลงทุนในกองทุนอยุธยาตราสารหนี้ระยะกลาง (AYFMTFI) อย่างต่อเนื่อง จากช่วงต้นปีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิอยู่ที่ 2 พันล้านบาท จนถึงขณะนี้เพิ่มขึ้นมาเป็น 9.98 พันล้านบาทแล้ว บริษัทจึงมีแนวคิดที่จะใช้กองทุนดังกล่าวเป็นจุดขายในการดึงนักลงทุนใหม่ๆ เข้ามาลงทุน

นายประภาส กล่าวว่า เหตุผลที่เงินไหลเข้ามาลงทุน น่าจะเป็นเพราะผล ตอบแทนของกองทุนที่ทำได้สูงเมื่อเทียบกองทุนเปิดเหมือนกัน โดยกองทุนนี้มีผลตอบแทน 10% ต่อปี และตราสารที่ลงทุนอยู่นั้นส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรรัฐบาลอายุเฉลี่ย 2 ปี และหากเป็นหุ้นกู้เอกชนก็ต้องมีอันดับเครดิต A- ขึ้นไป

นอกจากนี้ จะนำกองทุนดังกล่าวไป จัดอันดับความน่าเชื่อถือ (เรตติ้ง) เพื่อ เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจลงทุนให้แก่ นักลงทุนได้ และสร้างความมั่นใจให้แก่ นักลงทุน จากปัจจุบันมีกองทุนที่จัดเรตติ้งแล้ว 1 กอง และภาพการแข่งขันในธุรกิจ บลจ.ต่างมีกลยุทธ์ในการขยายฐานผู้ลงทุนของตัวเองซึ่งแตกต่างกันไป

ทั้งนี้ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของ บลจ.ไทยพาณิชย์ เติบโตอย่างโดดเด่นจากกองทุนตลาดเงิน (มันนีมาร์เก็ต) และ บลจ.กสิกรไทย ปรับโฉมใหม่และใช้กองทุนผสมภายใต้ชื่อ เค ไลฟ์สไตล์ ซึ่งให้นักลงทุนเลือกลงทุนได้ตามอายุและความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ มาเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เริ่มลงทุน

“เรามองว่ากองทุนนี้จะโตได้อีกมาก จากสัญญาณของเงินฝากที่โยกเข้ามาลงทุนเพื่อแสวงหาผลตอบที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากของแบงก์ ดังนั้นโอกาสที่จะเห็นขนาดกองทุนเป็น 2 หมื่นล้านบาท ใน 1-2 เดือนนี้มีแน่” นายประภาส กล่าว

สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ คาดว่าจะลงได้อีก 1% เหลือ 3% จากปัจจุบันอยู่ที่ 4% โดยเหตุผลที่มองแบบนี้ เพราะปกติแล้วไตรมาส 2-3 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัว จึงมีความเป็นไปได้ที่ดอกเบี้ยจะลดลงอีก

นายประภาส กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นในปีนี้มองว่ายังคงผันผวน ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนลดลง ดังนั้นต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้จัดพอร์ตหุ้นใหม่โดยเลือกเฉพาะหุ้นที่แข็งแกร่งประเภท Defensive สามารถอยู่ได้ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว

“หลังปรับพอร์ตผลงานของกองทุนหุ้นอาจไม่ค่อยดีนัก แต่เราเชื่อว่าเมื่อหุ้นปรับลงหรือเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นและกระทบการลงทุน เมื่อนั้นผลตอบแทนของเราจะขึ้นอย่างโดดเด่น” นายประภาส กล่าว

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนออกกองทุนเปิดหุ้นระยะยาวอยุธยาปันผล 70/30 โดย 70% จะลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลดี ขณะที่ 30% ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี ซึ่งจะเปิดขายในวันที่ 6-20 มิถุนายน ลงทุนขั้นต่ำ 2 พันบาท

http://www.posttoday.com/newsdet.php?sec=invest&id=165911

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2550