PANTIP.COM : I5425397 คำเตือน!! หากต้องการลงทุนใน Fixed Income Fund []

คำเตือน!! หากต้องการลงทุนใน Fixed Income Fund

เจอกับ Mr.Q และ Mr.A กันอีกทีล่ะกันครับ

Q : Fixed Income Fund ช่วงนี้แรงจริงๆ
A : ครับ แรงทุกกอง เกิดจากการ Mark to Market เพียวๆ เนื่องจาก Yield Curve ในตลาดตราสารหนี้ลดลงแรงมากๆในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

Q : เกี่ยวอะไรด้วย?
A : อย่างนี้ต้องจับตีมือ เคยคุยกันไว้แล้วเรื่อง Mark to Market กับราคาตราสารหนี้ ไงครับ ไม่ขอพูดซ้ำ อยากได้ไปหาเอา โฮะๆ

Q : T_T
A : เป็นที่รู้กันดีว่า กองทุน Fixed Income Fund มี Portfolio Duration ที่สูงกว่า Money Market Fund เป็นไหนๆ เพราะฉะนั้นย่อม Sensitive กับอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงไปมากกว่าแน่นอน เพราะ Duration บอกถึงความเปลี่ยนแปลงในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ในรูป %

Q : ตกลงจะไม่บอกใช่ไหม ว่า Mark to Market เป็นยังไง
A : ไม่บอก !!!ต่อนะครับ ยกตัวอย่างเช่น AYFMTFI มี duration เท่ากับ 2 ถ้วนๆ หมายความว่า หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น 1% Yield ของ AYFMTFI จะเปลี่ยนไปในทิศทางตรงกันข้าม 2% เพราะฉะนั้น Fixed Income Fund ให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น เมื่อดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลงครับ

Q : เอาๆ ไม่บอกก็ไม่เป็นไร แล้วถ้าลงทุนตอนนี้ล่ะ ยังน่าสนใจไหม
A : ใครที่คิดจะลงทุนหลังจากวันที่ 23 พ.ค. 50 นี้ ต้องคิดให้หนักครับ เพราะ Yield Curve ในตลาดปรับตัวลงมาแรงมากๆ อย่างตอนนี้พันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปี ซื้อขายกันที่ Yield = 3.13%ต่อปี แล้ว นั้นหมายความว่า ครึ่งปีหลังจากนี้ เราจะเห็นกองทุน Money Market Fund ผลตอบแทนต่ำลงเรื่อยๆทุกกอง ฟันธงว่าต่ำกว่า 3.5%ต่อปี แน่นอน
http://www.thaibma.or.th/yieldcurve/YieldTTM.aspx

ส่วนกองทุนที่มี duration ยาวๆทั้งหลาย ที่ต้องบอกให้ระวังเพราะ การที่ NAV เด้งแรงๆ น่าจะมาจากการเก็งกำไรในระยะสั้นๆ คาดการณ์ว่า วันที่ 23 พ.ค. 50 นี้ แบงก์ชาติน่าจะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยประมาณ 0.5% ทำให้ RP 1 วัน เหลือแค่ 3.0%ต่อปี ถ้วนๆ จึงเกิดแรงซื้อขายทำกำไรก่อนการประกาศลดจริง

Q : แล้วยังไงล่ะ ก็ถ้าลดจริงๆ ก็น่าจะลงทุนได้สิ?
A : มันมีอีกประเด็นหนึ่งครับ นักวิเคระห์หลายๆสถาบันก็เห็นตรงกันว่า การลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ อาจเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ ฉะนั้น RP 1 วัน จะอยู่ที่ 3.0% ไปอีกซักพัก ถ้าอย่างนั้น Player อย่าง กบข. ซึ่งเป็นรายใหญ่ และถือตราสารอายุยาวๆไว้เยอะเหมือนกัน น่าจะมีการเทขายทำกำไรบ้าง ส่งผลให้หลังวันที่ 23 พ.ค. นี้ Yield Curve ของตราสารหนี้จะผันผวนมาก และเราอาจเห็น NAV กองทุนติดลบติดบ้างแล้วครับ

Q : อ้าว แล้วคนที่ลงทุนไปก่อนล่ะ?
A : หากดูเฉพาะอาทิตย์ที่ผ่านมา ใครลงทุนใน Fixed Income ตอนต้นๆสัปดาห์ หลายๆกอง ผลตอบแทนหากคิดเป็น % ต่อปีแล้ว เกินกว่า 20%ต่อปีทีเดียว (ย้ำว่าเป็นผลตอบแทนรายวันที่ปรับฐานการคำนวนเป็นรายปี) นั้นหมายความว่า ให้ผลตอบแทนสูงกว่าทิ้งเงินไว้ใน Money Market Fund 1-2 เดือนซะอีก

Q : โฮ อิจฉาๆ
A : ใช่ครับ แนะนำให้ลงทุนกันตั้งแต่ต้นปี ใครเพิ่งมาลงทุนตอนนี้ ก็ย่อมได้ผลตอบแทนน้อยลงแน่นอน

ต่อนะครับ ลองคิดดู ขนาดเราเป็นนักลงทุนรายย่อยในกองทุน ได้รับผลตอบแทนขนาดนี้ และ Player รายใหญ่ๆในตลาด จะไม่ได้เชียวหรือ??? แล้วเข้าจะไม่ปรับพอร์ตทำกำไรบ้างเชียวหรือ???

Q : อืม อย่างนี้ทำยังไงดี
A : โอกาสนั้นมักจะผ่านไปเร็วครับ แนะนำว่าให้ติดตามข่าว รอดูสัญญาณจากแบงก์ชาติให้ชัวร์ๆดีกว่า ว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยอีกไหม เพราะถ้าไม่ลดแล้ว ผลตอบแทนใน Fixed Income Fund ก็ลดลงมาเหมือนกัน แต่ถ้ามีข่าวแว่วๆว่าจะลดอีก ก็ยังอาจมีโอกาสทำกำไรได้ครับ

Q : จริงๆนะ อิจฉาคนลงทุนก่อนหน้านี้
A : ต้องยินดีกับเขาสิครับ รู้จังหวะการลงทุน ก่อนหน้านี้นักลงทุนรายย่อยไม่ค่อยรู้วิธีการลงทุนโดยการเล่นกับ duration หรือ ตราสารหนี้อายุยาวๆ มาตอนนี้ถึงมีคนรู้ ก็รู้น้อย (แต่ในสินธรเนี่ยเยอะ) เมื่อเทียบกับเม็ดเงินทั้งหมดในกองทุน หรือเทียบกับเม็ดเงินในระบบเงินฝากธนาคาร

Q : แล้วลงทุนตอนนี้ คาดการณ์ผลตอบแทนเท่าไหร่ (หากยังอยากได้ผลตอบแทนมากกว่า Money Market Fund)
A : ก็ยังถือว่า Fixed Income Fund ให้โอกาสรับผลตอบแทนมากกว่า Money Market Fund จริงๆนั้นล่ะครับ แต่ความเสี่ยงจากทิศทางอัตราดอกเบี้ย ทำให้กองทุน Fixed Income มีความเสี่ยงเพิม่ขึ้น จนอาจลดความน่าสนใจลงบ้าง
สำหรับ AYFMTFI และ AYFMTDIV นั้น หากลงทุนตอนนี้และไปขายเอาตอนสิ้นปี คาดว่าผลตอบแทนจะอยู่ประมาณ 4.0-5.5%ต่อปีครับ
ส่วน KTDF น่าจะอยู่ที่ 5.0-6.0%ต่อปี
(ข้อมูลนี้ ได้รับความเห็นจาก บลจ. ผู้บริหารกองทุน ไม่ได้เป็นการการันตี หรือชี้นำให้ลงทุนแต่อย่างใด)

จะเห็นว่า ก็ยังถือว่าได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า Money Market Fund อยู่ดี เพียงแต่ได้น้อยลงมาก็เท่านั้นเองครับ

Q : การลงทุนมีความเสี่ยง และมีความไม่แน่นอนจริงๆด้วย
A : ครับ "การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดสักเกตุคำเตือนบนฉลากก่อนดื่มทุกครั้ง!!"

ปล. นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลจากหนังสือชี้ชวน และ Fund Fact Sheet ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต

------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ

จากคุณ : Mr.Messenger - [ 19 พ.ค. 50 19:18:59 ]

ความคิดเห็นที่ 6

ในทฤษฏี Asset allocation และ บริษัทจัดการกองทุน Private Fund ในสหรัฐ ก็เคย Track Record เอาไว้เหมือนกันนะครับ เขาได้ข้อสรุปว่า สินทรัพย์แต่ละประเภท จะมีรอบมีวงจร มีวัฏจักรของตัวมันเอง ซึ่งไม่ตรงกับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ทำให้เงินทุนในโลกไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้นหากเราเชื่อว่าหลักการคิดแบบนี้ ก็พอสรุปได้ว่า รอบสูงสุดของตราสารหนี้ในบ้านเรากำลังจะผ่านไปแล้ว คำถามก็คือ แล้วรอบต่อไปคือสินทรัพย์ประเภทใด??

ผมเห็นด้วยกับคุณ EncodeO เลยครับ สำหรับนักลงทุนที่เรียกตัวเองได้เต็มปากว่านักลงทุนมืออาชีพ เขาจะไม่จำกัดอยู่แค่ Asset ใดอย่างเดียว กูรูหลายๆท่าน รวมทั้งคนโปรดของผม มาร์ค เฟเบอร์ ก็มองว่า รอบต่อมา ซึ่งน่าจะเป็นรอบใหญ่ๆเลย ก็คือ commodity ถึงกับมีคนตั้งชื่อเท่ห์ๆให้กับสินทรัพย์ประเภทนี้ว่า "Next Generation Asset Class" ไฮโซจริงๆ จะถูกหรือผิด ก็ไปว่ากันในศาอีกทีหนึ่ง

ส่วนตัว ผมมองไปที่ Property มากกว่าครับ เพราะดอกเบี้ยขาลง ธุรกิจที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆโดยไม่ต้องคิดมากก็คือ อสังหาฯแน่นอน อย่างน้อย ต้นทุนด้านดอกเบี้ยก็ลดลงชัวร์ และอีกอย่าง อสังหา สามารถ generate Income ได้ต่อเนื่องสม่ำเสมอกว่าสินทรัพ์ประเภทอื่นๆ

มาที่หุ้นกันบ้างเริ่มที่ เอเชีย ซึ่งไม่รู้จะวิ่งไปไหน หากมองว่าแพง ก็ไม่มีใครเถียงครับ แต่จะมองว่า มีโอกาสไปต่อ ก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้เหมือนกัน เพราะตอนสหรัฐบูมๆ วิ่งไปแรงกว่านี้ ก็เคยมาแล้ว
ยุโรป อันนี้น่าสนใจ เพราะข่าวควบรวมกิจการของอุตสาหกรรมการเงิน หรือธุรกิจ Finance มีผลทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปอีก และยุโรปตะวันออกก็มีแรงงานที่ถูกพอๆกับจีน แต่ระยะทางใกล้กว่า หลายๆบริษัทก็ไปตั้งฐานการผลิตที่แถบๆนั้นกัน คาดว่าจะสามารถ run ธุรกิจได้เต็มๆในปีหน้า ในขณะที่ P/E ตลาดของยุโรป ถูกกว่าทั้งสหรัฐ และ เอเชีย

เลือกเอาครับ เลือกอะไรไป ก็อย่าลืมหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกครับ

---------------------------

กลับมาที่คำถามที่ว่า แล้วก่อนวันที่ 23 พ.ค. จะลงทุนได้อยู่หรือเปล่า
- คำตอบอาจทำให้ต้องคิดหนักหน่อยนะครับ Yield Curve (อัตราผลตอบแทนพันธบัตรในทุกช่วงอายุ) ของสัปดาห์ก่อน ตกลงมาแรงมากๆ นั้นเป็นเพราะตลาดคาดการณ์ไปแล้วว่า 23 พ.ค. นี้ แบงก์ชาติน่าจะปรับลดดอกเบี้ยแน่ๆ เพราะฉะนั้น ผมมองว่า หากแบงก์ชาติปรับลดจริงๆ มีแต่จะ sell on fact หรือ ขายทำกำไรบางส่วนครับ ดังนั้น Yiled ในตลาด อาจปรับลดไม่เท่ากับสัปดาห์ที่แล้ว หาก Yield ไม่ปรับลดเท่าสัปดาห์ที่แล้ว ก็จะทำให้ NAV ของกองทุน Fixed Income ไม่เด้งๆแรงๆเหมือนเก่า (หรืออาจถึงขั้นติดลบ้าง) ดังนั้นเงินก้อนใหม่ที่จะลงทุน แนะนำว่าควรลงทุนระยะยาว และเป็นเงินเย็น ไม่ควรเอามาเก็งกำไรตราสารหนี้ครับ

เคยมีคนถามผมว่า กองทุนตราสารหนี้ ทำไมให้ผลตอบแทนตั้ง 10กว่า% มากกว่าหุ้นซะอีก อย่างนี้ ไปลงตราสารหนี้ดีกว่า
อย่าลืมนะครับ % เราเห็นของกองทุน Fixed Income Fund เป็นผลตอบแทนราย 3 เดือน 2 เดือน หรืออื่นๆ ซึ่งไม่ใช่ทั้งปี แต่ปรับฐานการคำนวนเป็นต่อปีเพื่อเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยได้ง่ายๆ หากใครคิดลงทุนใน FIxed Income Fund เกิน 1 ปี แล้วหวังผลตอบแทนเท่ากับที่เราดูๆกันมา ตัเจได้เลยครับ ไม่มีทางเป็นไปได้

ยังไงแล้วกองทุนหุ้น ก็ยังให้โอกาสส้รางผลตอบแทนที่สูงกว่าอยู่ดีครับ

-------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ

จากคุณ : Mr.Messenger - [ 20 พ.ค. 50 00:44:40 ]