ความคิดเห็นที่ 1 อิอิ.. ใหญ่ได้ไจไหม... ว่าจะแปะใหม่ก็ขี้เกียจแล้วหล่ะ.... ตาราง BCG หรือ เมทริกซ์ BCG...  โดยมากมักจะใช้เพื่อ.. แยกประเภทผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่มีหลายๆ ผลิตภัณฑ์ ออกเป็นกลุ่มๆ เพื่อสะดวกต่อการพิจารณาตัดสินใจในการจัดสรรเงินทุนให้แต่ละผลิตภัณฑ์ ปัจจัยสำคัญที่เขาพิจารณาก็คือ พิจารณาจาก.. ส่วนครองตลาดสัมพัทธ์ กับ อัตราการเจริญเติบโตของตลาดในแต่ละผลิตภัณฑ์.. คำว่าส่วนครองตลาดสัมพัทธ์ นั้นหมายถึงการเปรียบเทียบส่วนครองตลาดของบริษัท กับส่วนครองตลาดของคู่แข่ง   .. ............... ทีนี้ มันเกี่ยวกับเรื่องที่ตั้งประเด็นไว้ยังไง..... ก็เกี่ยวตรงที่ว่า ถ้าเราพิจารณาจัดสรรเงินเพื่อขยายจำนวนหุ้นตามวิธีของ DSM.. เราอาจจะอาศัยหลักการของ BCG มาใช้เป็นแนวทางได้.. โดยปรับแต่งการพิจารณาแบ่งประเภทหุ้น โดยอาศัย ความสัมพันธ์ของ แนวโน้มขาขึ้น - ลง และส่วนครองหุ้นที่ไม่มีต้นทุน ............... อย่างภาพเนี้ย จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 21 พ.ค. 50 22:13:14 ]

ความคิดเห็นที่ 2 หลักใหญ่ใจความก็คือ...  ช่องที่เขาจะจัดสรรเงินให้มากๆ.  ก็คือช่อง ดวงดาว  Star  กับ คำถาม ส่วนช่องที่เขาจะพยายามประคับประคองก็คือช่อง วัวนม สุดท้ายช่องที่เขาจะเตะทิ้งก็คือช่อง สุนัข แต่ละช่องยังมีการใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมด้วยนะ.... แบบนี้ไง จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 21 พ.ค. 50 22:19:56 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เริ่มแรกเลยเมื่อซื้อหุ้น... หุ้นตัวนั้นก็คงจะต้องเป็นหุ้นที่มีต้นทุนเต็ม 100% แน่นอนที่สุด ถ้าแนวโน้มราคาขึ้นสูงไป สัก 10 ช่อง   ต้นทุนก็อาจจะลดลงเหลือประมาณ 80 - 90%.. แต่หุ้นตัวนั้นก็ยังคงเป็นหุ้นที่มีคำถามแน่นอนว่า...   ยังสงสัยอยู่ว่าอนาคตมันจะเป็นอย่างไร?? ............... ในทางกลับกันเมื่อไรก็ตามที่ซื้อแล้วราคามันลดลงซัก 10 ช่อง... มันจะเริ่มกลายเป็นหุ้นสุนัขไปซะแล้ว เพราะนั่นเท่ากับ มันกำลังจะกินทุนมากขึ้น .... ส่วนใหญ่  เมื่อซื้อหุ้น ก็จะเป็นทำนองนี้  ไม่คำถามก็สุนัข.. ยกเว้นวันใดวันหนึ่ง...  สมมติว่าได้ทำคลายเครียดเรโช.. คือขายทิ้งไปบางส่วน ทำให้หุ้นที่ถืออยู่กลายเป็นหุ้นไม่มีต้นทุน  คือ ขายจนได้ส่วนทุนคืนกลับมาหมดแล้ว แล้วราคายังขึ้นต่ออีกหุ้นตัวนั้นจะกลายเป็นหุ้นสตาร์ ดวงดาว.. เพราะมันไม่มีทุน  ขายก็ได้กำไรเนื้อๆ เห็นๆ  อิอิ.. แต่วันดีคืนดี...  ราคามันตกลงไปเรื่อยๆ... มันก็จะเป็นหุ้นวัวนม  ที่คอยจ่ายปันผลให้เรื่อยๆ  ทุกปีๆ .. นั่นมองในแง่...  ทั่วไป.. แต่ถ้ามองในแง่ DSM  หุ้นที่ไม่มีต้นทุน แต่ราคาตกลงเรื่อยๆ คงไม่ต้องบอกนะ.. ว่ามันจะให้อะไรกลับคืนมาบ้าง...ฮี่ฮี่ จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 21 พ.ค. 50 22:32:29 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ปัญหาอยู่ที่ว่า.. เราต้องการหุ้นประเภทวัวนมแน่นอน... แต่การจะทำให้เกิดหุ้นวัวนม   ต้องใช้เวลาสร้างจาก.. คำถาม ไป ดวงดาว  และสุดท้ายถึงจะกลายเป็นวัวนม.. พอมีวัวนมก็ต้องรักษา..  ให้จำนวนหุ้นอยู่ครบ แต่พอราคาขึ้นเป็นบวก  วัวนมจะกลายเป็นดวงดาวใหม่..  ทีนี้ ก็ต้องใช้การสร้างและขยาย...   ต้องใช้เงินทุนเข้ามาแล้ว.. คำถามก็ต้องใช้เงินทุนเข้ามาช่วย เพื่อสร้างให้เป็นดวงดาวให้ได้..อิอิ กลยุทธ์ก็เป็นไปตามภาพ... แต่ไม่ว่าจะกลยุทธ์ไหน วิธีการก็มีวิธีเดียวคือ ขายแล้วซื้อคืนให้ถูกกว่า ยกเว้นหุ้นสุนัข  ขายแล้วขายอีก มันก็ยังลงไปอีก  ก็ปล่อยมันไปเหอะ..นะ.   แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 50 22:39:59 จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 21 พ.ค. 50 22:38:38 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อ่านแล้วถ้าเข้าใจมั่งไม่เข้าใจมั่ง.. รู้เรื่องมั่ง ไม่รู้เรื่องมั่ง ก็อย่าใส่ใจ ให้รกสมองไปเลยนะครับ คลิ๊กผ่านๆ ไปก็แล้วกัน..   ก็แค่กระทู้คั่นเพื่อสร้างสีสันความหลากหลายให้คลับ.. อย่าคิดอะไรมาก.......เอิ๊กๆๆ.. จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 21 พ.ค. 50 22:43:39 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อืม...................................... เห็นภาพชัดเจนเลย คุณห่าน แต่ เฉพาะ คห. 5 เท่านั้นนะ ฮิ ฮิ ฮิ จากคุณ : Mr.Eiji - [ 22 พ.ค. 50 07:42:49 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ชัดเจนมากครับ (คห 4) @^_^@ จากคุณ : wasansem - [ 22 พ.ค. 50 08:52:00 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณครับ จากคุณ : trakulsom - [ 22 พ.ค. 50 11:25:25 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เห็นหัวข้อกระทู้แล้ว ขอเข้าแจมด้วยนะครับ ถ้าตอบแบบทั่วๆไป เงินจะไหลไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่าเสมอ น้ำจะไหลสู่ที่ต่ำกว่าเสมอ สิ่งเหล่านี้ ชี้ให้เราเห็นกฏของธรรมชาติของแต่ละสิ่งเสมอครับ ดีเอสเอ็ม ก็เกิดจากการที่คุณเด่นศรี เห็นธรรมชาติของตลาดหุ้นครับ เห็นความเป็นไป ของปลาใหญ่ ที่ไล่กัดกิน ปลาเล็กในตลาด ปลาใหญ่มีไม่เยอะ ส่วนปลาเล็กนั้นมีเป็นฝูงๆ รวมกลุ่มกันอยู่โดยสัญชาติญาณ ถึงจะรวมกลุ่มกันอยู่ แต่ก็อยู่แบบ รอวันตาย เท่านั้น ยิ่งรวมกลุ่มกันอยู่ ปลาใหญ่ก็ยิ่งสังเกตุเห็นพฤติกรรมง่ายขึ้นเท่านั้น ตอนนี้ปลาเล็กมีจำนวนหรือสัดส่วนเล็กลงเรื่อยๆ สังเกตุได้จาก สัดส่วนการซื้อขายของ ต่างชาติและกองทุนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รายใหญ่และต่างชาติ จะใช้วิธีที่แยบยล มากขึ้นในการไล่กัดกินรายย่อยครับ ดังนั้น การเล่นแบบใดๆ จึงต้องมีการพัฒนาให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปครับ วิธีการเทรดในสองปีก่อนหรือกว่านั้น อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในเวลานี้ วิธีในการวัดผล ผลลัพธ์ของพอร์ทเราต้องมีวิธีอย่างแน่นอน ใน เวลาที่แน่นอนด้วยครับ อย่าหลอกตัวเองว่า อีกกี่เดือนกี่ปี เราจะประสบความสำเร็จด้วยวิธีที่ทำอยู่ หากเราเทรดด้วยวิธีการหนึ่ง เป็นเวลาสมควร แล้วพอร์ทแย่ลงเรื่อยๆ ต้องกลับมาพิจารณา ว่า สิ่งที่เราทำอยู่นั้น ดีจริงหรือไม่ครับ ตลาดในสองปีที่ผ่านมา ขึ้นและลง พอสมควรครับ ถ้าเทรดผ่านมาสองปีนี้ แล้วผลลัพธ์ยังไม่ดี ต้องพิจารณาหาจุดรั่ว จุดที่ต้องแก้ครับ ผมเห็นหลายคน บ่น ว่าไม่อยากให้หุ้นขึ้น เพราะมีปัญหาหุ้นหมดมือ นี่เป็นปัญหาอย่างยิ่งครับ หุ้นที่ควรลงทุนอย่างยิ่งก็คือหุ้นประเภทที่หมดมือนี่แหละครับ ลองกลับไปคิดครับว่า ทำอย่างไร หุ้นจะไม่หมดมือ ไม่ใช่ว่า ไม่ซื้อขายเลยนะครับ เพราะรายได้หรือกระแสเงินสดแฝงของเราเกิดจากการซื้อๆ ขายๆ นี่แหละครับ และยิ่งหุ้นขึ้น กระแสเงินสดแฝง ยิ่งเยอะกว่า ตอนที่หุ้นตกเสียอีกอย่างเทียบไม่ได้เลย ดีเอสเอ็ม เกิดมาเพื่อการเล่นหุ้นขาขึ้น ครับ อีกอย่าง ที่ควรจะทำก็คือ การมีหุ้นหลากหลายในพอร์ทครับ อันนี้สำคัญมากๆ ยิ่งมีหุ้นหลายหลาย และมากตัว คุณจะพบคำตอบจากดีเอสเอ็มได้เร็วยิ่งขึ้น การมีหุ้นต่ำกว่าสิบตัว คุณจะไม่พบความมหัศจรรย์จากวิธีนี้ เลยครับ นี่เป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้น ไม่รับประกันว่า นี่คือ ความคิดเห็นของดีเอสเอ็มที่แท้จริงแต่อย่างใด เป็นความคิดเห็นของสมาชิกคนหนึ่งในคลับเท่านั้นครับ โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ จากคุณ : กุ้งไร้สาร - [ 24 พ.ค. 50 09:48:11 ]

ความคิดเห็นที่ 10 หายไปนานเลยนะพี่กุ้งฯ... ขอบคุณพี่กุ้งฯ ครับ ที่เข้ามาร่วมแจม   จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 24 พ.ค. 50 10:21:21 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เก็บเข้าคลังดีก่า จากคุณ : akae - [ 25 พ.ค. 50 08:13:46 ]