PANTIP.COM : I5446401 การถือกองทุนตราสารทุน กะกองทุนยืดหยุ่นควร cut loss ไมคัรบ p'juk, หมีพูหมูพี, Mr. Messenger และผู้รู้ทุกท่าน []

ความคิดเห็นที่ 2

เพื่อให้เพื่อนๆในห้องสินธรได้รู้ข้อมุลด้วย ขอเกริ่นข้อมูลคร่าวๆ กองทุนที่ชื่อไม่ค่อยคุ้นก่อนนะครับ

BTP หรือ กองทุนบัวหลวงทศพล เน้นลงทุนในหุ้นแค่ 10 ตัวที่ผลตอบแทนสูงสุด (ตามความคาดหวังของผู้จัดการกองทุน) ปัจจุบันมีหุ้นในกลุ่มพลังงานอยู่ 4 ตัว คิดเป็น 54% (Overweight ตลาด) ถือเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงแทบจะสูงสุด สำหรับกองทุนหุ้นในประเทศ เนื่องจากกระจายการลงทุนในหุ้นน้อยตัว ปัจจุบันกองทุนมีมูลค่าไม่เยอะ แค่ 335 ลบ. เท่านั้น แต่ด้วยความที่ลงทุนในพลังงานเยอะ ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา SET Index ขึ้นมาได้ก็ด้วยกลุ่มนี้ กองทุนนี้จึงได้รับอานสงส์เต็มๆ เหวี่ยงตัวแรงมั๊กๆ รู้สึกว่าผลการดำเนินงาน 3 เดือนย้อนหลัง สูงกว่า 15% ไปแล้ว

RKFE หรือ กองทุนรวงข้าวหุ้นทุนบริพัตร เป็นกองทุนผสมที่สามารถลงทั้งตราสารหนี้และตราสารทุน แต่ปัจจุบันลงทุนในหุ้นเกินกว่า 90% ของพอร์ต เนื่องจากทางผู้จัดการกองทุนมองว่าหุ้นไทยยังมีโอกาสไปได้อีกในระยะยาว ถือเป็นกองทุนผสมที่มีอายุยาว ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย (สังเกตุได้จาก NAV ที่วิ่งไปเกิน 20 บาทตั้งนานแล้ว) และเหมือนๆกับ BTP ที่ลงทุนในกลุ่มพลังงานในสัดส่วนที่มากกว่าตลาด จะแตกต่างก็ตรงที่มีลงทุนกลุ่มธนาคาร และกระจายการลงทุนเกินกว่า 20 ตัว หากเทียบความเสี่ยงแล้ว ถือว่ากองทุนนี้เสี่ยงต่ำกว่า BTP ครับ

-----------------------------

คำถามก่อนการตัดสินใจ
1. ลงทุนไปแล้วเนี่ย ต้นทุนเท่าไหร่ครับ ปัจจุบันขาดทุนอยู่เท่าไหร่?
2. ลงทุนไปแล้วนานหรือยัง?

-----------------------------

คำแนะนำส่วนตัว แนะนำให้ยุบ BTP ทิ้งไปครับ อาจนำมารวมกับ RKFE ดีกว่า เพราะลงทุนในหุ้นกลุ่มใกล้เคียงกัน แต่ RKFE กระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาดูตลาด และรับความผันผวนได้ลดลงมาหน่อย ที่บอกอย่างนี้ก็เพราะ ดูคุณ kulwongaoo จะกังวลเหลือเกิน หากลงทุนไปไม่นาน แล้วถามหาจุด Cut Loss แบบนี้ แสดงว่ามีความกังวลมากเกินกับพอร์ตตัวเอง ทางที่ดีกว่าก็คือ ลดความเสี่ยงของพอร์ตมันซะเลย ง่ายดีครับ

ส่วน SCBRF กันไว้เป็นเงินออมเพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาวไปเรื่อยๆ แต่ไม่สามารถเป็นแหล่งพักเงินจากการลงทุนได้นะครับ เพราะสภาพคล่องน้อยเกินไป แนะนำว่าเปิด SCBSFF เพิ่มอีก แต่เอ.... เล่นกองทุน 3 บลจ.ใหญ่ เลย จะสะดวกหรือเปล่าไม่รู้ -*-

กลับมาที่จุดตัดขาดทุน แนะนำให้ตั้งไว้ประมาณ 0.3-0.5 เท่า ของเป้าหมายการลงทุนที่วางไว้ ถ้าเห็นว่าภาวะการลงทุนภาพรวมไม่เป็นอย่างที่หวัง ยกตัวอย่าง ตั้งเป้าหมายอยากได้ผลตอบแทนเกิน 10% แนะนำว่าจุดตัดขาดทุนก็ควรอยู่ที่ 3-5% แต่ถ้าภาวะตลาด และความรู้สึกเราบอกว่า ตลาดยังพอไปได้ ไอ้เจ้าจุดตัดขาดทุน อาจกลายเป็นจุดซื้อเฉลี่ยก็ได้นะครับ การลงทุนต้องสามารถยืดหยุ่นได้

ถ้าเป็นสถาณการณ์ตอนนี้ อาจต้องยอมตัดขาดทุนก่อนบางส่วนเพื่อดูเชิงเอานะครับ เพื่อหุ้นแพงเกินไปแล้ว ตลาดต่างประเทศก็ New High ไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เริ่มที่ BTP ครับ เพราะเสี่ยงเกินไปสำหรับมือใหม่

รู้สึกผมจะเห็นตรงข้ามกับพี่หมีพูนะครับ โฮะๆ

------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ
แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 50 22:28:36

จากคุณ : Mr.Messenger - [ 25 พ.ค. 50 22:27:36 ]

ความคิดเห็นที่ 8

จริง ๆ แล้ว RKFE ยืดหยุ่นแต่ในหนังสือชี้ชวนเท่านั้น ส่วนพอร์ตกองทุนจริง ๆ นั้นไม่เคยยืดหยุ่นเลย ลงทุนในหุ้นเยอะมากทุกสถานการณ์มาตั้งแต่เริ่มตั้งกองทุนแล้วล่ะครับ ดังนั้นหมีพูมีความเห็นว่าโดยเนื้อแท้แล้ว RKFE ก็เปรียบเหมือนกองทุนหุ้นทั่วไปกองนึงเท่านั้นเอง ไม่ได้มีความแตกต่างแต่อย่างใด เพราะกองทุนหุ้นทั่วไปนั้น ก็มีข้อกำหนดอยู่แล้วว่าต้องลงทุนในหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 แต่เราไม่เคยเห็น RKFE ลงทุนในหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 80 เลยนะครับ กองทุนแบบนี้เวลาเปรียบเทียบผลการดำเนินงาน จึงควรเปรียบเทียบกับดัชนี SET ครับ ถ้าเราไปมองดู Benchmark กับกลุ่มเฟล็กซิเบิ้ล ที่ บลจ.เปรียบเทียบ เราอาจจะเข้าใจผิดได้ว่า กองทุนนี้ทำผลงานได้ดีมาก ๆ แต่ถ้าไปเทียบกับดัชนี SET ก็อาจจะอยู่แค่ระดับทั่วไปเท่านั้น

เมื่อเทียบกับบีแอ็คทีฟ (B-ACTIVE) ของบัวหลวง นี่สิของจริงต้อง 0-100% เพราะบางช่วงที่ตลาดหุ้นไม่ดี มีหลายครั้งที่กองทุนไม่มีหุ้นเลย (0%) มีแต่ตราสารหนี้ แต่บางครั้งกองทุนก็แทบไม่มีตราสารหนี้เลย มีแต่หุ้นล้วน ๆ นี่สิครับถึงจะเรียกว่าเฟล็กซิเบิ้ลฟันด์ของแท้ แต่ผลงานโดยรวมทั้งระยะสั้นและระยะยาวก็ไม่ค่อยเข้าตาเท่าไหร่ นั่นอาจจะแสดงให้เห็นถึงความจริงอย่างนึงที่ว่า การโยกไปโยกมาบ่อย ๆ ระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้(หรือเงินสด) อาจจะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ไม่ค่อยงาม เลยทำให้นึกไปถึงนักลงทุนหลาย ๆ ท่านที่ชอบสับเปลี่ยนกองทุนหุ้นไปกองตราสารหนี้ สับไปสับมาบ่อย ๆ เหนื่อยก็เหนื่อย สนุกก็สนุก แต่ก็ไม่ได้ตังก์เป็นกอบเป็นกำเหมือนคนอื่นที่เขาเลือกลงทุนแบบโฟกัสและสงบนิ่ง ไม่เหนื่อยด้วย แต่ไม่สนุกครับ ออกจะน่าเบื่อ แต่เวลาได้กินกำไรแต่ละที อิ่มจนท้องแทบแตกเชียวนะครับ คุณ ๆ อยากจะได้แบบไหนครับ

กองทุนหุ้นของบัวหลวงนั้น ส่วนมากจะมีเงินสดติดพอร์ตไว้ในระดับที่สูงกว่ากองทุนทั่วไปอยู่แล้วครับ อย่างบัวหลวงธนคมนี่มีเงินสดติดพอร์ตมากเหลือเกิน (เหมือนเป็นกองทุนผสม) โดยทั่วไปก็จะอยู่ในราว ๆ 10% จุดนี้เองเป็นเหมือนเบาะรองรับความผันผวนครับ ถ้าเราจะเปรียบเทียบผลการดำเนินงานนั้น เราควรจะดูจากเงินสดที่ติดพอร์ตอยู่ด้วยนะครับ จึงจะรู้ได้ว่าใครเก่งกว่า ยกตัวอย่างเช่น กองหุ้น A มีเงินสดติดพอร์ต 20% แต่กองหุ้น B มีเงินสดติดพอร์ต 5% ถ้าผลตอบแทนออกมาเท่ากัน ก็แสดงว่ากอง A มีผลการดำเนินงานที่ดีกว่า เพราะหุ้นมีน้อยกว่าแต่กลับทำผลงานได้เท่ากับกอง B ซึ่งมีหุ้นเยอะกว่า

ทั้งมือใหม่และมือเก่า ควรดูพอร์ตการลงทุนของกองทุนประกอบการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง รวมถึงติดตามพอร์ตการลงทุนของกองทุนเป็นประจำทุกเดือน หรืออย่างน้อยไตรมาสละครั้งก็ยังดีครับ แต่ไม่ควรตามติดแบบวันต่อวัน หรือสัปดาห์ต่อสัปดาห์ มันมากเกินไป ทำให้ใจไม่นิ่ง คิดอะไรไม่รอบคอบ หุนหันพลันแล่น และจะทำให้เขว จนออกนอกเส้นทางที่เคยกำหนดเป้าหมายเอาไว้ เอาเวลาที่เหลือว่าง ๆ ไปศึกษาดูพอร์ตของกองทุนอื่น ๆ บ้างก็ได้นะครับ เผื่อจะได้เจอของดี ๆ ซุกซ่อนอยู่ (แต่ไม่ได้รับการโปรโมท) เหมือนที่หมีพูเจอบ่อย ๆ (แต่พอเอามาบอกที่สินธรทีไร ทำไมมันดันกลายเป็นกองโปรโมทที่ต้องแนะนำ ภายในเวลาอันรวดเร็วจริง ๆ ...อันนี้ไม่เข้าจายยย....)

จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 26 พ.ค. 50 10:54:55 ]