ความคิดเห็นที่ 40
บางคนพูดเท่าไหร่ไปเค้าก็ไม่รับเหตุผลอื่นแล้วนะนอกจากศาสดาเค้า สำหรับท่านอื่นๆมีบทความจากบริษัทมาให้อ่านลองดูตาม l ink http://www.irpc.co.th/irpc/tpi2ircp1.htm
จากทีพีไอสู่ไออาร์พีซี ปิดฉากมหากาพย์แห่งหนี้ทีพีไอ
บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ "ทีพีไอ"ถึงทุกวันนี้กลายเป็น เพียง "ความทรงจำในอดีต"ที่ไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว เมื่อผู้ถือหุ้นมีมติเมื่อ ๒๖ ต.ค.๔๙ ให้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ"ไออาร์พีซี" หลังประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการฟื้นฟูกิจการ เป็นการปิดฉากมหากาพย์แห่งหนี้เกือบ ๑.๕ แสนล้านบาทที่ยืดเยื้อยาวนานมาเกือบทศวรรษลงได้อย่างงดงาม สร้างความพึงพอใจให้กับพนักงานและประชาชนที่เป็นนักลงทุนรายย่อยซึ่งถือหุ้นนี้อยู่เกือบ ๕๐,๐๐๐ ราย ยกเว้นกลุ่มผู้บริหารเดิมซึ่งสูญเสียอำนาจไปตามกฎหมาย
ความพึงพอใจของทุกฝ่ายเว้นกลุ่มผู้สูญเสียอำนาจดังกล่าวมีที่มาจากความสำเร็จในการฟื้นฟูกิจการของทีพีไอ โดยคณะผู้บริหารแผนฯตัวแทนกระทรวงการคลังประกอบด้วย พลเอก มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ ดร. ทนง พิทยะ นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา นายพละ สุขเวช และนายอารีย์ วงศ์อารยะ (ต่อมาได้มีการแต่งตั้งให้ ดร.วีระพงษ์ รามางกูร เป็นผู้บริหารแผนฯ แทน ดร.ทนง พิทยะ) ซึ่งได้รับการสนับสนุนและร่วมมือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจากพนักงานของทีพีไอกว่า ๗,๐๐๐ ชีวิต นอกจากนั้นการได้ ดร.ปิติ ยิ้มประเสริฐ อดีตซีอีโอไทยออยล์มาเป็นซีอีโอไออาร์พีซีก็ยิ่งสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่ายยิ่งขึ้นไปอีก
พลิกขาดทุน ๘.๙ หมื่นล้านบาทเป็นกำไร ๒.๙ หมื่นล้านบาท ความสำเร็จในการฟื้นฟูกิจการนับตั้งแต่ผู้บริหารแผนฯตัวแทนกระทรวงการคลังได้เข้าปฏิบัติหน้าที่เมื่อ ๑๑ ก.ค. ๒๕๔๖ เป็นต้นมา ซึ่งสถานการณ์ของทีพีไออยู่ใกล้ภาวะล้มละลายนั้น จนถึงสิ้นปี ๒๕๔๘ ปรากฏว่า สถานะทางการเงินของบริษัทมีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดดังนี้ ทรัพย์สินรวม จากเดิม ๑๓๐,๘๒๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น ๑๕๒,๖๗๖ ล้านบาท หนี้สินรวม จากเดิม ๑๒๘,๗๘๗ ล้านบาท ลดลงเหลือเพียง ๕๑,๙๖๖ ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น จากเดิม ๒,๐๓๘ ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น ๑๐๐,๗๑๐ ล้านบาท Book Value ต่อหุ้น จากเดิม ๐.๒๖ บาท/หุ้น (พาร์ ๑๐ บาท) เพิ่มขึ้นเป็น ๕.๑๖ บาท/หุ้น (พาร์ ๑ บาท) ส่วนล้ำมูลค่าหุ้นจากเดิม - ๓๒,๐๔๙ ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น ๒๖,๗๙๘ ล้านบาท ขาดทุนสะสม ๘๙,๓๔๗ ล้านบาท เปลี่ยนเป็นกำไรสะสม ๒๙,๕๓๘ ล้านบาท ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ จากเดิม ๕.๐๐ บาท/หุ้น(พาร์ ๑๐ บาท) เพิ่มขึ้นเป็น ๘.๑๕ บาท/หุ้น(พาร์ ๑ บาท) สัดส่วนของผู้ถือหุ้นเดิมและผู้ถือหุ้นรายย่อย จากเดิม ๒๕ % เพิ่มขึ้นเป็น ๓๐%
ตัวเลขที่ชัดเจนเช่นนี้ จึงเป็นหลักฐานสำคัญยืนยันความพึงพอใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของทีพีไอหรือ "ไออาร์พีซี"ในปัจจุบัน
ข้อกล่าวหา อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่ามีหนังสือพิมพ์บางฉบับได้ลงตีพิมพ์บทความเกี่ยวข้องกับทีพีไอหรือไออาร์พีซีในเชิงลบ ซึ่งได้สร้างความสับสนแก่นักลงทุนรวมทั้งสาธารณชนเป็นอย่างยิ่ง บทความดังกล่าวนั้น ส่วนใหญ่มีลักษณะ"กล่าวหา"การดำเนินการทั้งสิ้นที่ผ่านมาในการฟื้นฟูกิจการ รวมทั้งการบริหารกิจการในปัจจุบัน
ข้อกล่าวหาต่างๆมีอาทิ "รัฐบาลส่งกระทรวงการคลังเข้ายึดทีพีไอ" " คณะผู้บริหารแผนฯตัวแทนกระทรวงการคลังกำหนดเงินเดือนในอัตราสูงถึงเดือนละ ๑ ล้านบาท และยังได้รับเงินพิเศษและสวัสดิการอื่นๆรวมแล้วรับสูงกว่าเดือนละ ๓-๕ ล้านบาท" "ห้าเสือจากกระทรวงการคลัง ปฏิบัติการปล้นกลางแดดทีพีไอ โดยจัดสรรหุ้นให้แก่พันธมิตรได้แก่ ปตท. กองทุนวายุภักษ์ ๑ กบข.และธนาคารออมสินในราคาหุ้นละ ๓.๓๐ บาท ซึ่งต่ำกว่าที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เสนอที่ราคาหุ้นละ ๕.๕๐ บาท สร้างความเสียหายแก่ทีพีไอเกือบ ๒ แสนล้านบาท" "คณะผู้บริหารแผนขัดขวางบริษัทในเครือซิติก กรุ๊ป รัฐวิสาหกิจของจีนซึ่งจะเข้ามาทำดิว ดิลิเจนซ์เพื่อล้างหนี้ให้นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์" "การประชุมสามัญผู้ถือหุ้นทีพีไอครั้งแรกเมื่อ ๒๗ เม.ย.๒๕๔๙ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเมิดคำสั่งศาลล้มละลายกลาง พรบ.ล้มละลายฯ และ พรบ.บริษัทมหาชนจำกัด"
ฯลฯ
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่"ไออาร์พีซี"จะต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้เกิดแก่สาธารณชนโดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยซึ่งมีส่วนได้เสียโดยตรง
ผู้บริหารแผนฯ มาตามคำขอของศาลล้มละลายกลาง มีความพยายามบิดเบือนความจริงว่า"รัฐบาลส่งกระทรวงการคลังเข้ายึดกิจการทีพีไอ" ซึ่งในความเป็นจริงนั้น ศาลล้มละลายกลางเป็นฝ่ายขอให้กระทรวงการคลังเข้ามาทำหน้าที่ "ผู้บริหารแผนคนใหม่"
ข้อเท็จจริงปรากฎตามคำสั่งศาลล้มละลายกลางลงวันที่ ๑๓ มิ.ย.๒๕๔๖ เริ่มจากความเห็นของศาลว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้และพนักงานทีพีไอเป็นไปอย่างรุนแรง จนกระทั่งมีแนวโน้มว่าการฟื้นฟูกิจการจะล้มเหลว และนำไปสู่การล้มละลาย "พนักงานของลูกหนี้และบริษัทในเครือ ประมาณ ๗,๐๐๐ คน จะต้องพ้นจากงาน ทำให้ขาดไร้ซึ่งรายได้จุนเจือตนเองและครอบครัว ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม อันจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคและสร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติอย่างรุนแรง"
ผลจากความขัดแย้งที่ไม่อาจประนีประนอมกันได้ระหว่างฝ่ายเจ้าหนี้กับลูกหนี้และพนักงานดังกล่าวมานี้ ศาลจึงมีคำสั่ง "เห็นเป็นการสมควรที่จะขอให้กระทรวงการคลังเข้ามาเป็นผู้บริหารแผนคนใหม่ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ หากกระทรวงการคลังมีหนังสือยินยอม" โดยระบุเหตุผลว่า "หากต่อไปคู่กรณีทั้งสองฝ่ายจะละทิฐิปรับเปลี่ยนท่าที หันมาให้ความร่วมมือกับกระทรวงการคลังในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและจริงใจ อันเป็นวิธีการที่เหมาะสมและสร้างสรรค์แล้ว ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าด้วยศักยภาพของรัฐบาลจะทำให้การฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้เป็นผลสำเร็จได้ในที่สุด ส่งผลดีแก่เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายและประเทศชาติโดยรวม"
พนักงานก็เชื่อมั่นกระทรวงการคลัง ไม่เพียงแต่ศาลจะเห็นชอบให้กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนคนใหม่เท่านั้น ฝ่ายพนักงานเองก็มีความเห็นชอบ ดังปรากฏหลักฐานในหนังสือสหภาพแรงงานในเครือทีพีไอ ที่ สรท.๐๓๓/๒๕๔๖ ลง ๒๑ มิ.ย.๒๕๔๖ เรื่อง "ขอสนับสนุนกระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอคนใหม่" ดังนี้
"พนักงานและสหภาพแรงงานในเครือทีพีไอ เชื่อมั่นว่า กระทรวงการคลังมีความสามารถในการบริหารแผนฟื้นฟูทีพีไอให้บรรลุผลสำเร็จ เพื่อก่อประโยชน์ให้เกิดแก่ทุกฝ่ายทั้งเจ้าหนี้, ลูกหนี้, พนักงานทีพีไอ, ประชาชนผู้ถือหุ้นและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชาติ ทั้งนี้เนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐที่ดูแลรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจของประเทศ จึงมีความเป็นกลางและมีศักยภาพในการบริหารท่ามกลางความขัดแย้งรุนแรงของเจ้าหนี้และลูกหนี้สามารถหาแหล่งเงินทุนหมุนเวียนสนับสนุนให้กิจการทีพีไอดำเนินธุรกิจอย่างเต็มกำลังและต่อเนื่องได้
ยิ่งไปกว่านั้นความมั่นใจของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ต่อหุ้นทีพีไอก็มีสูงในรอบสัปดาห์นี้โดยเฉพาะวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๔๖ ราคาหุ้นทีพีไอดีดตัวสูงที่ ๘.๙๕ บาท เพิ่มขึ้น ๑๘% มูลค่าซื้อขายรวม ๒,๐๕๐ ล้านบาท สูงเป็นอันดับ ๑ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่พร้อมจะเข้ามาลงทุนในรูปของหุ้นทีพีไอ หลังจากกระทรวงการคลังจะเข้ามาเป็นผู้บริหารแผน"
นอกจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญยังได้มีคำวินิจฉัยเมื่อ ๔ พ.ย.๔๗ ว่า การเข้ามาทำหน้าที่ผู้บริหารแผนของกระทรวงการคลังนั้น"ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ"แต่อย่างใด จากข้อเท็จจริงทั้งหมด จึงสรุปได้อย่างชัดเจนว่า การเข้ามามีบทบาทฟื้นฟูกิจการของกระทรวงการคลังครั้งนี้มีที่มาจากคำขอของศาลล้มละลายกลางซึ่งมีความเป็นกลาง บริสุทธิ์และยุติธรรม อีกทั้งยังได้รับความเห็นชอบจากพนักงานทีพีไออีกด้วย ซึ่งการมองการไกลของศาลล้มละลายกลางครั้งนี้ก็มิได้สร้างความผิดหวังแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเมื่อสามารถนำพาทีพีไอผ่านพ้นวิกฤติมาได้อย่างงดงามดังกล่าว
ยังมีข้อเท็จจริงอีกหลายประการที่ "ไออาร์พีซี" จำเป็นต้องชี้แจงให้สาธารณชนและประชาชนผู้ถือหุ้นได้รับทราบเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
จากคุณ :
3N
- [
2 มิ.ย. 50 18:50:13
]
|
|
|