ความคิดเห็นที่ 1 ขอโพสใหม่อีกที รูปมะกี้ใหญ่ไปนิสเนิงครับ ^^" มาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ที่อายุยาวๆนั้น ค่อนข้างใกล้เคียงกันระยะสั้น เช่น ตั๋วเงินคลัง 1 เดือน ผลตอบแทน สูงกว่า พันธบัตรอายุ 2 ปีด้วยซ้ำ (สังเกตุจากกราฟ เส้นประนะครับ) คำถามคือเกิดอะไรขึ้น จริงๆแล้ว Yield Curve เป็นเครื่องหมายถูกอย่างนี้มา 1-2 เดือนเต็มๆ ด้วย 2 ประการ 1. กองทุนเปิดตราสารหนี้ ประเภท 3 เดือน 6 เดือน ยังมีความต้องกรในตลาดสูง เพราะว่าผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากประจำอยู่บ้าง เราจะเห้นว่า ถึงแม้ดอกเบี้ยเตี้ยลงๆ แต่ก็ยังมีนักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ และลงทุนกับกองทุนอายุ 3 เดือน 6 เดือน ที่มีอายุครงการแน่นอน ส่งผลให้กดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในช่วงอายุดังกล่าวอยู่พอสมควร 2. นักลงทุนในตลาด คาดการณ์กันว่า อัตราดอกเบี้ยควรมีการปรับลดอีกครั้ง หลังจากวันที่ 23 พ.ค. นี้ จึงมีการเข้าลงทุนในตราสารอายุยาวๆเพื่อเก็งกำไร จากคุณ : Mr.Messenger - [ 6 มิ.ย. 50 08:34:12 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คราวนี้มาดูผลการดำเนินงานกองทุน Fixed Income Fund กันครับ ข้อมูลตั้งแต่ 03/01/07 ถึง 05/06/07 ครับ จากคุณ : Mr.Messenger - [ 6 มิ.ย. 50 08:35:38 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เปรียบเทียบเป็น % ผลตอบแทน โดยปรับฐานเป็นต่อปี จากคุณ : Mr.Messenger - [ 6 มิ.ย. 50 08:36:23 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ม้าตีนต้นอย่าง KTDF ดิ่งเหวไปเลย จากคุณ : piyabute - [ 6 มิ.ย. 50 08:38:22 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณครับ KTDF หัวทิ่มเลยนะครับ จากคุณ : DD - [ 6 มิ.ย. 50 08:59:07 A:61.7.252.5 X:61.7.252.5, 61.7.252.5 TicketID:100823 ]

ความคิดเห็นที่ 6 จะเห็นว่า กองทุนที่มี duration port สูงสุดในตลาดอย่าง KTDF ได้รับผลกระทบจากการเทขาย และขยับขึ้นของ Yield Curve เต็มๆนะครับ เพราะต้อง Mark to Market กับตลาดรอง แต่หากนักลงทุนท่านใดลงทุนมาตั้งแต่ต้นปี ก็คงเห็นว่าได้ยังได้ผลตอบแทนที่สูงอยู่ และดีกว่ากองทุนประเภท Money Market Fund ครับ คำถามต่อมาก็คือ สำหรับคนที่ขาดทุนกับกองทุนประเภทนี้อยู่ ควรทำอย่างไรกับพอร์ตของตัวเอง?? อันนี้ตอบยากครับ ไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ แต่ ตอบยากจริงๆเพราะแล้วแต่มุมมองของนักลงทุนว่ามองยังไงกับตลาด แต่สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องตัดอารมณ์ ความรู้สึกออกไป ไม่ให้มีผลต่อการตัดสินใจมากเกินไป ยกตัวอย่าง กรณี หุ้นไทยดำดิ่งวันที่ 19 ธ.ค. ปีที่แล้ว นั้น มีนักลงทุนที่มองตลาดไม่ออก และเกิดความกลัว โดยขายหุ้นทิ้งขาดทุนกันเยอะมากๆ ท้ายสุดแล้ว มาถึงวันที่ ไม่มีหุ้นดีๆตัวไหนในตลาดต่ำกว่าราคาวันที่ 19 ธ.ค. เลย นั้นเป็นเพราะปัจจัยพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจ ไม่ได้เปลี่ยนไป หากแต่เป็นความผันผวนระยะสั้นๆเท่านั้น กลับมาที่คำถามนะครับ ว่าทำยังไงกับพอร์ตการลงทุนดู อย่างแรกเลย เราได้มีการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนยัง Asset Class อื่นๆอยู่ก่อนหรือเปล่า ถ้ามีอยู่ก่อน ยกตัวอย่างเช่น คนที่ลงทุนในกองทุนหุ้นมา ช่วงนี้ เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า กำไรจากหุ้น cover ขาดทุนใน Fixed Income ไปเรียบร้อยแล้ว นี้ล่ะครับคือความสำคัญของการกระจายความเสี่ยง ไอ้ตอนที่ไม่ขาดทุน เราก็มองว่าการ Diversified Port เนี่ย มันสร้างความยุ่งยากในการติดตาม แต่พอเราลงทุนในระยะยาว กลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงนี้ ถือว่ามีความสำคัญที่สุด สำคัญมากกว่า Timing ในการเข้าลงทุนซะอีก ------------------------ อย่างที่สอง เป้าหมายการลงทุนใน Fixed Income ของเราคือ ลงทุนระยะยาวมากกว่า 6 เดือน หรือเปล่า?? และเราได้รับคำเตือนแล้วใช่หรือไม่ว่า Fixed Income Fund มีความเสี่ยงมากกว่ากองทุนประเภท Money Market Fund ถ้าเข้าใจกลไลตลาด และยังรับความเสี่ยงได้อยู่ เท่าที่ได้รับข้อมูลจาก บลจ.อยุธยา และ บลจ.กรุงไทย ทั้ง 2 บลจ. ยังมองว่า ปลายปีนี้ น่าจะได้ผลตอบแทนประมาณ 4-5%ต่อปี ถ้า เข้ามาลงทุน โดยตามกระแส ปราศจากความเข้าใจความเสี่ยง และกำลังโทษ บลจ. หรือ ผู้จัดการกองว่าบริหารพอร์ตไม่ได้เรื่อง ก็แนะนำว่าอาจยอมตัดขายทุนเพื่อความสบายใจไปก็ได้ครับ แต่บอกไว้ก่อนว่า นี้คือผลกระทบในระบบ Macro ที่ทุกๆกองทุนที่มี duration ยาวๆต้องเผชิญ และเราเคยเตือนกันไว้แล้วล่วงหน้า มีคำถามต่อมาก็คือ แล้วขายออกมา จะเอาเงินลงทุนไปไว้ไหนดี? - ถ้าย้ายกองไปลงทุนใน Money Market Fund โอกาสที่ผลตอบแทนจะดีกว่า Fixed Income ก็ยังถือว่าน้อยอยู่ดีครับ หากต้องการเงินต้นคืน หรือผลตอบแทนที่ดีขึ้น ก็แนะนำให้เพิ่มความเสี่ยงไปลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่าง FIF หรือ กองทุนหุ้น --------------------------- แล้วถ้าลงทุนใน Fixed Income ต่อไป มีโอกาสที่เงินต้นนักลงทุนจะหายหรือไม่ - คำถามนี้ ต้องไปดูที่พอร์ตการลงทุนของกองทุนนั้นๆเลยครับ ว่าผู้ออกตราสารที่กองทุนไปลงทุนนั้น มีระดับความเสี่ยง Credit Rating ที่ระดับไหน ยกตัวอย่างเช่น AYFMTFI นั้น ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกิน 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิซะอีก นั้นหมายความว่า ความเสี่ยงด้าน Credit Risk ต่ำกว่ากองทุนประเภท 3 เดือน 6 เดือน บางกองซะอีกนะครับ ดังนั้นหากลงทุนในระยะยาวจนผู้ออกตราสารสามารถชำระหนี้คืนได้ ผลตอบแทนก็ยังกลับมาเป็นบวกได้เสมอ ------------------------- โชคดีในการลงทุนครับ จากคุณ : Mr.Messenger - [ 6 มิ.ย. 50 09:11:48 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ทำไม KTDF ซึ่งถือตราสารอายุค่อนข้างยาวถึงหัวทิ่มขนาดนั้นเหรอครับ หน้าตั๋วที่มันได้รับดอกเบี้ยอัตราเก่าที่สูงกว่าตอนนี้ ไม่ส่งผลดีเลยเหรอครับ คือมันน่าจะมีตราสารที่ออกมาก่อนการลดดอกเบี้ย สมมติในกรณีดีสุดคือตราสารล่าสุดก่อนการลดดอกเบี้ยครั้งแรก พอเทียบกับดอกเบี้ยตอนนี้ ตราสารนี้ดีกว่าดอกเบี้ยปัจจบันตั้งหลายขั้น จากคุณ : ..ขอบคุณครับ.. : - [ 6 มิ.ย. 50 09:16:48 A:72.52.81.34 X: TicketID:146437 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณเจ้าของกระทู้ครับ "ถ้า เข้ามาลงทุน โดยตามกระแส ปราศจากความเข้าใจความเสี่ยง และกำลังโทษ บลจ. หรือ ผู้จัดการกองว่าบริหารพอร์ตไม่ได้เรื่อง" ผมว่าผมและนักลงทุนไม่น้อย ที่พอจะเข้าใจถึงความผันผวน และก็รับได้ด้วยเหมือนที่ผมโพสต์เรียนคุณหมีพูหมูพีในกระทู้ข้างล่าง มันมีอะไรจะเป็นตัวคาดหมายตลาดได้มั้ยครับ นอกจากจะดูยิลด์โค้งตอนสิ้นวัน หรือมีการวิเคราะห์จาก บล.ที่เป็นนายหน้าตราสารไหมครับ อีกอันนึงคือเรื่องเป้าหมาย สมมติผมวางเป้าไว้ที่ปีนึง (แต่อาจปรับเปลี่ยนได้ ถ้ามีการปรับดอกเบี้ยขึ้นก่อนหน้านั้น) ทีนี้ตอนนี้ถ้าเรายังคิดว่ามันจะลงไปอีก เราออกมาก่อน แล้วไปรอซื้อตอนมันถูกไม่ดีกว่าเหรอครับ ผมอ่านความเห็นคุณเจ้าของกระทู้แล้วเข้าใจว่าถ้าเราคิดจะถือยาวก็ปล่อยไปเลย ให้เวลาเป็นตัวแก้ (ถ้าเข้าใจผิดขออภัย และโปรดแก้ให้นิดนะครับ) สมมติมันจะลงยาว ตั้งต้นที่ 100 ตอนนี้อยู่ 90 ลงไปสุดที่ 60 เราขายที่ 90 ไปซื้อคืนที่ 70 ก็ยังดีกว่าไม่ใช่เหรอครับ บางคนจะคิดว่า ทำงี้ไปซื้อหุ้นดีกว่า ผมกลับคิดว่าถ้าทำแบบนี้มันดี ทำไมต้องจำกัดว่าต้องทำแค่กับหุ้น ใช้กับหุ้นแล้วมันใช้ได้ ก็ปรับมาใช้กับตราสารหนี้ได้เช่นกัน แต่ก็นั่นแหล่ะ มันจะกลับไปที่ถามด้านบนว่าเราจะคาดการณ์ตลาด เราจะเดายิลด์ได้ยังไงครับ จากคุณ : ..ขอบคุณครับ.. : - [ 6 มิ.ย. 50 09:30:46 A:72.52.81.34 X: TicketID:146437 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ใจหายใจคว่ำเลยครับ  AYFMTFI  AYFSMUL แต่ก็ได้     บัวแก้ว    scbset   ที่สะสมไว้  กอบกู้สถานะการณ์ได้ดี เลยอยากถามว่า    AYF-GCBF     กองนี้เป็นไงบ้าง ในพอร์ทผมยังไม่มีกองต่างประเทศ  กะว่าจะสะสมไว้บ้าง เวลาอนาคตค่าเงินบาทมันเด้งอ่อนค่ากลับ  จะเอามาถ่วงดุลกันได้ไหมครับ จากคุณ : ปลาเสืออ้วน - [ 6 มิ.ย. 50 09:39:52 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เป็นคำถามที่ดีครับ ขอบคุณที่ถามอย่างตรงไปตรงมา และคุยกันด้วยเหตุผล เอาเรื่องคำถามใน คห. 7 ก่อนนะครับ "หน้าตั๋วที่มันได้รับดอกเบี้ยอัตราเก่าที่สูงกว่าตอนนี้ ไม่ส่งผลดีเลยเหรอ" เข้าใจตรงกันนะครับ ว่า NAV ที่ผันผวนขนาดนี้ มาจากการ Mark to Market กับราคาซื้อขายในตลาด ณ สิ้นวันทำการ.... นั้นหมายความว่า ถึงแม้ กองทุนที่เราลงทุนอย่าง KTDF จะไม่ได้ซื้อขายตราสารหนี้ในวันนั้นเลย แต่ถ้ามี Player รายอื่นๆในตลาด ซื้อ/ขายตราสารหนี้ตัวเดียวกับที่เราถืออยู่ เมื่อ ราคาตลาดเปลี่ยนแปลงไป ก็จะทำให้กองทุนที่เราถือ ได้รับผลกระทบไปด้วย เมื่อทำการ Mark ราคาคำนวน NAV แต่หากลงทุนถือตราสารหนี้ไปยาวๆ จนครบกำหนดอายุ ความเสี่ยงด้าน Interest Rate Risk หรือ ความผันผวนอันเกิดจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเปลี่ยนแปลงไป ก็จะหายไปทันที เมื่อผู้ออกตราสารสามารถจ่ายเงินต้นพร้อมผลตอบแทนกลับมาให้กับนักลงทุนได้ นี่เป็นสาเหตุที่ผมพยายามแนะนำมาตลอดให้ลงทุนในระยะยาวๆ ดังนั้น ตราสารหนี้ที่กองทุนถืออยู่ตัวเก่าๆ ก่อนดอกเบี้ยลด ก็ยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตราสารหนี้ตัวใหม่ๆในปัจจุบันแน่นอนครับ แต่ราคาซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดที่ผันผวน ทำให้ NAV แกว่งตัว อย่าลืมนะครับ Yield Curve ในตลาดรอง ก็คือตราสารตัวเดิมๆที่กองทุนไปลงทุน และซื้อขายแลกเปลี่ยนกันก่อนครบกำหนดอายุ หลีกเหลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราเข้าใจกลไลตลาด จะรู้ทันทีว่า เมื่อของถูกมากๆ ก็จะมีนักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่คอยให้มีคนขายของทิ้ง แล้วกลับเข้ามาซื้อราคาถูกๆ ด้วยกลไลนี้ ทำให้ตลาดมีเสถียรภาพในระยะกลางถึงระยะยาว แต่ข้อจำกัดของตลาดตราสารหนี้ของไทยคือ ยังมี Volume ซื้อขายในตลาดรองน้อยมาก การ Mark to Market ราคาตลาดบางวัน พอมีการซื้อขายน้อย ราคาก็ไม่สะท้อนความเป้นจริงๆ อันนี้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ โดยกันทุกกองทุน ---------------------------- " มันมีอะไรจะเป็นตัวคาดหมายตลาดได้มั้ยครับ นอกจากจะดูยิลด์โค้งตอนสิ้นวัน หรือมีการวิเคราะห์จาก บล.ที่เป็นนายหน้าตราสารไหม " ตลาดตราสารหนี้บ้านเรา ไม่มีรายย่อยเข้าไปซื้อขายเหมือนตลาดหุ้น จึงขาดนักลงทุนที่วิเคราะห์ข่าว และรายงานให้ทราบเหมือนกับหุ้นที่รายงานกันเป็นรายวัน (เพราะ สื่อมองว่า รายงานไป ก็ไม่มีใครสนใจ) นักลงทุนในตลาดตราสารหนี้เกือบทั้งตลาดก็เป็น นักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนสถาบัน อย่างกองทุนรวมนี้ล่ะครับ ข้อมูลการคาดการณ์ภาวะตลาดในระยะสั้นนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราหากผู้จัดการกองทุนบอกวิธีการปรับพอร์ตในระยะสั้นๆ ส่งสัญญาณให้ตลาดตราสารหนี้รู้ล่วงหน้าทั้งหมด ก็เท่ากับ แบไพ่ให้นักลงทุนกลุ่มอื่น หรือกองทุนอื่นรู้ทันทีว่ามีความเห็นกับตลาดยังไง แต่ในระยะกลาง และระยะยาว เรายังสามารถคาดการณ์แนวโน้มของตลาดได้จากหลายๆปัจจัยด้วยกันครับ ทั้งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (อันนี้มีผลมา) ตัวเลขเศรษฐกิจ การวิครเหะของสถาบันวิจัย เช่น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย หรือแม้แต่การถามความเห็นจากผู้จัดการกองทุนโดยตรง จากหลายๆ บลจ. ว่ามีทิศทางเป็นอย่างไร นี่ก็เลยเป็นที่มาที่ผมบอกว่า ให้ลงทุนในระยะยาว เพราะมุมมองของตลาดในระดับ 6 เดือนขึ้นไป ยังไง แบงก์ชาติไม่น่าจะมีการปรับเพิ่มดอกเบี้ยแน่นอน (ก็เพิ่งลดไปนี่นา) การเพิ่มขึ้นดอกเบี้ย จะส่งผลให้ NAV ติดลบรุนแรงกว่าที่เราเห็นกันอยู่ตอนนี้อีกครับ ดังนั้นในระยะกลาง ยังถือว่ากองทุน Fixed Income ก็ยังมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่า Money Market Fund อยุ่เหมือนกัน สุดท้าย "สมมติมันจะลงยาว ตั้งต้นที่ 100 ตอนนี้อยู่ 90 ลงไปสุดที่ 60 เราขายที่ 90 ไปซื้อคืนที่ 70 ก็ยังดีกว่าไม่ใช่เหรอครับ" เนื่องจากเราไม่สามารถคาดการณ์ความผันผวนระยะสั้นได้ถูกต้องแบบ 100% ว่า ในอนาคต NAV จะวิ่งขึ้นหรือลงยังไง ผมสมมติใหม่ ว่า ถ้าเราขายไปที่ราคา 90 บาท แต่ NAV เด้งขึ้นไปเป็น 95 แล้วเราจะทำยังไงกับพอร์ตการลงทุน จะยอมซื้อใหม่ที่ 95 หรือเปล่า?? ผมก็ตอบไม่ได้ครับว่าในระยะสั้น NAV จะแกว่งตัวไปอีกแรงแค่ไหน แต่ถ้าถามมุมมองระยะยาวต่อกองทุน Fixed Income ก็ยังยืนยันว่า น่าจะมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่า Money Market Fund อยู่พอสมควร ไม่แน่ใจว่าตอบคำถามในใจได้หรือเปล่านะครับ ------------------------ โชคดีในการลงทุนครับ จากคุณ : Mr.Messenger - [ 6 มิ.ย. 50 10:02:02 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณ คุณ messenger มากๆเลยค่ะ รวดเร็ว เคลียร์คัด ชัดเชน เป็นที่สุด ตอนนี้ อิฉันลงทุนเฉลี่ยแบบ Asset Class ก็ได้กำไรจากกองทุนหุ้นมาเกือบ 10% หลังจากถือมา 3 เดือน ยังไงก็เกินขาดทุน ที่ถือใน AYFMFI อยู่ พอสมควร ใครที่ถือ ตราสารหนี้ ขอให้ใจเยนๆ นะคะ  ถือยาวๆไปเลยค๊า เป็นเพื่อนกัน จากคุณ : Tiyaya - [ 6 มิ.ย. 50 10:33:44 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อธิบายได้ดีมากๆ เลยค่ะ คุณ Mr.Messenger ตอนนี้ตัวเองก็เป็นคนนึงที่มี AYFMTFI และกำลังขาดทุน เพิ่งซื้อเมื่อช่วงปลายเดือน พ.ค. แต่ได้ราคาที่ใกล้เคียงกับคนที่ซื้อตั้งแต่ต้นเดือนพ.ค. แต่ไม่คิดว่า จะขายขาดทุนเพื่อย้ายไปพักแหล่งอื่น เพราะเชื่อมั่นกับคำวิเคราะห์ของคุณ  Mr.Messenger จากคุณ : Pat_Girl - [ 6 มิ.ย. 50 10:37:34 ]

ความคิดเห็นที่ 13 สำหรับบทวิเคราะห์ตลาดตราสารหนี้ ที่ออกเป็นรายวันยังมีน้อยค่ะ แต่ถ้าเป็นรายเดือนอาจจะอ่านแนวโน้มจากที่พวก บลจ.ได้เขียนไว้ แต่กรณีถ้าลงทุนผ่านกองทุนรวม ลองปรึกษา ผู้ให้คำแนะนำการลงทุนของท่านนะค่ะ เพราะคาดว่าน่าจะมีคำตอบถึงแนวโมได้ดีในระดับหนึ่งคะ จากคุณ : tubbygal - [ 6 มิ.ย. 50 10:54:55 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณ MR เหมือนกันค่ะ ของดิฉันซื้อ KTDF ตอนร่วง ตอนนี้ร่วงต่อไปเรื่อยๆ แต่ก็ยึดเอาคำสั่งสอนของ MR ว่าถือยาวววววววววว ก็เลยทำจายค่ะ ไม่เพ่ง NAV มาก แต่ไปโอ้โลม NAV กองทุนหุ้นแทนพุ่งเอา พุ่งเอา อิ อิ จากคุณ : Mrs.Jim - [ 6 มิ.ย. 50 11:47:53 A:203.150.119.141 X: TicketID:147158 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เข้ามายกมือแจมด้วยคนว่าอิฉันถือยาวค่ะ จากคุณ : หวานใจกัปตัน - [ 6 มิ.ย. 50 11:59:47 ]

ความคิดเห็นที่ 16 กองทุนของทหารไทยพวกธนรัฐ และธนบดี แตกต่างจาก AYFMTFI ยังไงครับ เพราะไม่เห็นเคยลงเลย? จากคุณ : paitime - [ 6 มิ.ย. 50 13:01:39 A:202.57.129.235 X: TicketID:101815 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ลืมขอบคุณ Mr. Messenger ค่ะ ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ขอให้เป็นผู้ให้ข้อมูลต่าง ๆ เป็นที่พึ่งที่น่ารักของพวกเราตลอดไป จากคุณ : หวานใจกัปตัน - [ 6 มิ.ย. 50 14:18:18 ]

ความคิดเห็นที่ 18 #16  มันเป็นตราสารหนี้ระยะสั้นครับ เข้าใจก่อนว่า กองทุนจะมีนโยบายคงสัดส่วนเงินสดที่ถือ กับการลงทุน ค่อนข้างตายตัวพอควร คือมันไม่ยืดหยุ่นเหมือน เราสั่งซื้อขายหุ้นผ่านมาร์ว่า ตอนนี้ตลาดไม่ดี กำเงินสดไป3เดือนดีกว่า กองทุนทำไม่ได้ครับ หากนโยบายบอกว่าสัดส่วนเงินสดคือ 10% ต้องลงทุน90%   หากช่วงนี้กองทุนเล็งเห็นว่าจะลงถามว่าทำไมกองทุนไม่ถือเงินสดหละ  แล้วค่อยซื้อของถูกก็ได้นิ มันผิดนโยบายครับ สมมุติ อย่างเดือนก่อน กองทุนมีทุน 100ล้าน เงินสด10ล้าน  เดือนนี้มีคนซื้อเพิ่มมาเยอะเพราะดูแต่ผลตอบแทน กลายเป็นกองทุนมีเงินสดเพิ่มมาอีก1000ล้าน กองทุนก็ต้องรีบไปหาตราสารหนี้มา เพราะไม่งั้นเงินสดเกินนโยบาย  ได้ของแพงก็ต้องซื้อ(ก็เหมือนกองทุนหุ้นที่ต้องซื้อของแพง) เดือนต่อมาคนที่ซื้อเดือนก่อนผิดหวัง ขาดทุน  เลยรีบขายทิ้ง กองทุนก็ต้องรีบขายตราสารเอาเงินมาคืน ก็อาจต้องขายขาดทุนจากราคาที่ซื้ออีก จริงไหมครับ แต่ถ้าถามว่า ความผันผวนที่เกิดขึ้นเกิดจากราคาหน้าตั๋ว หรือไม่  ก็บอกได้ว่าไม่ใช่  เป็นราคาที่ผันผวนจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนในตลาดรองต่างหากที่เปลี่ยนไป   เหมือนกองหุ้นหละครับ ที่เวลาตกใจก็เทขายกัน  แต่พื้นฐานบริษัทจริงๆก็ไม่ได้เปลี่ยนไปนะ ถ้ารู้ว่าวันไหน อะไรจะลง วันไหนอะไรจะขึ้น  ไม่ว่าตราสารหนี้หรือทุน รับรองรวยทุกวันครับ แต่จริงๆคือเราไม่รู้ว่าโลกจะหมุนเอียงไปทางไหนในวันพรุ่งนี้(จริงๆแกนโลกมันเอี้ยงอยู่แล้ว เหมือนหมุนลูกข่างหละ)  เพราะงั้นเราก็ได้แต่ดูว่าความเร็วในการหมุนมันเร็วขึ้นหรือช้าลงจริงมะ จากคุณ : แมวน้ำขี้เซา - [ 6 มิ.ย. 50 14:20:54 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณคุณแมวน้ำขี้เซามากครับที่ช่วยอธิบายให้เข้าใจมากขึ้น แสดงว่าที่ผันผวนมากเกิดจากการที่คนเทขาย แล้วการที่ทหารไทยธนรัฐ/ธนบดีเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น ก็จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า AYFMTFI หรือเปล่าครับ? แล้วผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้น vs ระยะยาวแตกต่างกันอย่างไรครับ จากคุณ : paitime - [ 6 มิ.ย. 50 14:39:47 A:202.57.129.235 X: TicketID:101815 ]

ความคิดเห็นที่ 20 แอบหลบอยู่หลังห้อง มีเพื่อนเยอะเลยเรา อิอิ ขอบคุณคุณเด็กส่งของมั่กๆค่า เด๋วจะกลับมาอ่านละเอียดอีกที จากคุณ : areewan - [ 6 มิ.ย. 50 15:38:23 ]

ความคิดเห็นที่ 21 มาขอบคุณ Mr.messager ด้วยคนค่ะ + เพื่อน คนอื่นๆ  ที่ร่วมให้ความรุ้ จากคุณ : ลิ้นชักสีใส - [ 6 มิ.ย. 50 16:19:24 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เนื่องจาก ราคาตราสารหนี้ระยะสั้น มีการโก่งราคากันน้อยกว่า ตราสารหนี้ระยะยาว  ในช่วงที่ดอกเบี้ยมีการปรับตัว  ก็ทำให้ตราสารหนี้ระยะสั้นได้รับผลกระทบน้อยกว่าครับ เหมือนหุ้นหละครับ  ตัวไหนรอบมา จะเห็นว่าวิ่งกันกระฉูดสักพัก ขาใหญ่ปล่อยของก็ร่วง  ตัวไหนเรื่อยๆมาเรียงๆ  มันก็ค่อยเป็นไปตามสภาพของธุรกิจครับ ตราสารหนี้ระยะสั้น ผันผวนน้อยกว่า เพราะการเก็งกำไรมันน้อยกว่า(โอกาสกำไรจากการเทรดมันน้อย) แต่ก็อาจมีบ้างที่เกิดช่วงดอกเบี้ยผันผวนหนักๆ แล้วตราสารหนี้สั้นจะกระทบจนมีลบบ้าง แต่เชื่อว่าโอกาสจะน้อยกว่าตราสารหนี้ระยะยาวในช่วงปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไปมาแบบนี้  เพราะแป๊บๆ มันก็ครบกำหนดชำระ กองทุนก็ถือว่าได้รับเงินต้น+ดอกเบี้ยมาจ่ายพวกเราอีกต่อ กองทุนก็กิน% ไปว่างั้น แต่ถ้าให้พวกรายย่อยไปซื้อตราสารหนี้เอง  ก็จะเกิดจราจลย่อยๆ เหมือนช่วงที่รัฐเคยปล่อยพันธบัตรให้รายย่อย แล้วเข้าคิวกันล้นแบงค์ ไม่ได้ก็ด่า จนท แบงค์ว่าเอาแต่ปล่อยให้รายใหญ่ หรือขาประจำ  แต่เค้าก็ต้องทำเพราว่าเวลา รัฐบังคับแบงค์พาณิชย์ปล่อยของ  เค้าให้แบงค์เหมาส้มทั้งสวน  แบงค์กลัวส้มเน่า ก็ต้องรีบหาออร์เดอร์ก่อนอันได้แก่ภัตราคาร หรือร้านค้าส่งทั้งหลาย  จะให้แบงค์ตั้งแผงลอยขายก็ไม่ไหวเพราะ ดอกเบี้ยมันเกิดขึ้นทุกวัน มาเรื่องผลตอบแทนของระยะสั้น กับยาว ระยะยาว ก็อย่างเมื่อปีก่อน ดอกเงินกู้ทั่วไปอยู่ประมาณ 8% เกิดบริษัท A ไปทำสัญญากู้กองทุนได้มาที่ 7.5% /ปี อายุ 5ปีค่อยคืนต้น  พอปีนี้ดอกเบี้ยเงินกู้ทั้วไปมันลงมาที่ 6% ตั๋วสัญญาใช้เงินของ A ก็ยังบังคับ Aจ่าย 7.5% อยู่ดี  กองทุนที่มีนโยบายถือยาวๆ ก็อาจขายของ A ไปในราคาที่ได้กำไร แล้วไปหาแล้วไปหาตั๋ว 5ปี บริษัทอื่นมาถือแทนตามนโยบายกองทุน  เพราะกองทุนยาว จะถือตั๋วยาวๆ  ตั๋วที่อายุเหลือน้อยขายได้กำไรก็ขายอยู่แล้ว แต่ถ้าคร่าวซวยมาเยือน คือขายไปกำไร แต่พอซื้อเพิ่ม ราคาตั๋วที่ซื้อมาใหม่ดันตกลงไปจากการเก็งกำไร  เหมือนเราเก็งกันว่า PTTจะไป290 ซื้อมา280 พอซื้อแล้วราคา NAV ผันผวน PTTลงมา275 เกิด Panic ลูกค้าขายกระจาย กองทุนจะเอาเงินไปคืนลูกค้า 270 ก็ต้องขายหละจ้า  แล้วลูกค้าทั้งหลายก็บาดเจ็บกันทั่วหน้า เผาพริกเกลือแช่งกองทุนกันไป แต่ถ้าลูกค้ามั่นใจ สภาพเศรษฐกิจ เชื่อมั่นฝีมือกองทุน ก็ต้องให้เวลาเหล่าอัศวินกองทุนปรับเปลี่ยนพอร์ตกันบ้าง  แต่ถ้าดูไปสองยกแล้ว ไม่ชอบมวยแนวนี้ก็เปลี่ยนเวทีเชียร์กันครับ จากคุณ : แมวน้ำขี้เซา - [ 6 มิ.ย. 50 17:24:28 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มาตะครุบความรู้ครับ ขอบคุณพร้อมโหวตครับ จากคุณ : tonytui - [ 6 มิ.ย. 50 18:40:03 ]

ความคิดเห็นที่ 24 โชคดีที่ลงทุน AYFMTFI ตั้งแต่ต้นปี เลยได้มาเยอะหน่อย ตอนนี้เลยแอบขายมาลง FIF แทน ต้องขอบคุณ  Mr.Messenger สำหรับสิ่งดี ๆ ที่มอบให้ จากคุณ : Porich (Porich) - [ 6 มิ.ย. 50 22:01:58 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณทุกทั่นขรับ ได้รู้กันซักทีว่าทำไมมันถึงลง (ซื้อตอนอยู่บนดอยเลยครับ) เลยต้องกัดฟันซื้อเพิ่มตอนลงครับ ถ้าลงอีกก็ซื้ออีก จนกว่าจะตัวซีดครับ จากคุณ : Lit kung - [ 6 มิ.ย. 50 22:10:41 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณ Mr.Messenger และทุกท่านมากครับ "ไม่แน่ใจว่าตอบคำถามในใจได้หรือเปล่านะครับ" ได้มากเลยหมดทุกข้อสงสัยครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ จากคุณ : ..ขอบคุณครับ.. : - [ 7 มิ.ย. 50 00:39:51 A:72.52.66.11 X: TicketID:146437 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เข้ามาโหวตและขอบคุณสำหรับสาระดีๆเช่นเคยครับ ;) จากคุณ : EncodeO - [ 7 มิ.ย. 50 16:20:33 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ทยอยลง AYFMTIF ตอนต้น ๆ ปี พอ ผันผวน ก็นึกว่าจะไม่นาน รอ งง งง  โง่ ๆ มา ได้ ราว 16 วัน เรียกว่าให้โอกาส  กองทุน กลับ ตัว แต่ว่า ท่าจะ  ลง ลง ลง ขึ้น นิดหน่อย อีก นาน ขายทิ้งดีก่า ส่วนตัวคิดว่า  ควรขาย แม้ว่าในระยะยาวจะได้ return มากกว่า money market เพราะว่าเป็นการ reserve profit ที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ต้นปี แล้ว switch มาที่ MM เเม้ว่า ดอกผลจะน้อยกว่า แต่ก็คุ้มกว่าการที่ profit จะลงอย่างรุนแรง และรวดเร็ว ต่อจากนี้ ก็ดู สถานะการณ์ หาแหล่ง ลงทุนกันต่อไป จากคุณ : แนนแนน - [ 8 มิ.ย. 50 13:09:50 ]

ความคิดเห็นที่ 29 มาขอบคุณ Mr.Messenger และทุกท่านครับที่ช่วยกันถกกันในแต่ล่ะประเด็น ทำให้เข้าใจเรื่อง ตราสารหนี้เพิ่มขึ้น และได้เกร็ดความรู้เรื่องหุ้นเพิ่มเข้าไปอีก จากคุณ : UGen - [ 10 มิ.ย. 50 23:11:35 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เข้ามาขอบคุณครับ มีความรู้เรื่องกองทุนตราสารหนี้ อีกเยอะเลยครับ จากคุณ : พ่อน้องบุ๊ค - [ 12 มิ.ย. 50 21:17:42 ]

ความคิดเห็นที่ 31 หวา .... ผมเพิ่งซื้อกองทุนตราสารหนี้ ระยะสั้น ไปเมื่อ 1-2 สัปดาห์ก่อนนี่เอง ยังไม่ได้ศึกษาอะไร ดูแต่ผลรายวันที่ผ่านมา เห็นขยับทุกวัน และคุ้มกว่าเงินฝากแล้วก็ถอนได้รายวัน นึกว่าจะขยับทุกวัน แค่เดี๋ยวมากเดี๋ยวน้อย เพิ่งได้มาเช็คดู NAV มีตกไปด้วย เล่นเอาใจคอไม่ดี (แต่ก็ยังบวกอยู่จุ๋มจิ๋ม) เลยต้องแวะมาหาความรู้ที่นี่ เพิ่งได้เข้าใจกลไกตลาดมากขึ้นก็หลังจากอ่านกระทู้นี้นี่เอง ขอบคุณครับ (แต่ยังแอบงงเล็กน้อย ต้องศึกษาต่อไป) ตอนนี้ที่ผมดู ก็ดูเป็นอย่างเดียวคือราคารายวัน อยากทราบว่าผมควรจะดูอะไรเพิ่มเติมบ้างครับ อย่างเช่นกราฟที่คุณ Mr.Messenger แปะไว้ หรืออัตราดอกเบี้ยพันธบัตร อะไรพวกนี้ ที่น่าจะเกี่ยวข้อง สามารถหาดูแนวโน้มได้ที่ไหนครับ (แล้วรบกวนช่วยบอกวิธีดูด้วยครับ ว่ามากขึ้นน้อยลง ผลเป็นไง) จากคุณ : อยากรู้อยากเห็น - [ 15 มิ.ย. 50 09:43:24 ]