ความคิดเห็นที่ 1 ปัจจุบันยังไม่มีกองทุนไหนที่ไปลงทุนในตลาดหุ้นจีนทั้งกองทุน และถึงจะมีที่ลงในตลาดหุ้นจีนบางส่วน ก็ไม่ลงทุนผ่านตลาดจีนโดยตรง แต่จะลงทุนในตลาด HSCEI แทน บริษัทที่จะมาจดทะเบียนในตลาด HSCEI ได้นั้น เงื่อนไขคือ ต้องเป็นบริษัทที่มีรายได้มาจากประเทศจีนเกินกว่า 50% และมีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่อยู่ใน 200 อันดับแรกในประเทศฮ่องกง เราเรียกตลาดนี้ว่า H-Shares ครับ สาเหตุก็เพราะ บริษัทที่จดทะเบียนในจีนนั้น ยังไม่เป้นที่ยอมรับในด้านมาตราฐานการบัญชี และยังคลุมเคลือในเรื่องความโปร่งใสในธุรกิจอยู่พอสมควร แต่ H-Shares ก็เหมือนกับ Screen ให้นักลงทุนต่างชาติส่วนหนึ่งว่า บริษัทเหล่านี้ไว้ใจได้ และมีขนาดใหญ่ มั่นคงกว่า รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ http://www.hsi.com.hk ทำไมเราถึงมองจีน ดูจากตารางนี้ครับ (ที่มาจาก JP Morgan) จีนถือเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโต GDP สูงที่สุดในโลก อีกทั้งการบริโภคภายในประเทศก็น่าจะขยายตัวสูงขึ้นในปีนี้ (2007) จากคุณ : Mr.Messenger - [ 21 มิ.ย. 50 13:10:53 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าดูข้อมูลตลาดหุ้น H-Shares ก็จะพบว่า 5 ปีย้อนหลัง จนถึงสิ้นปี 2006 นั้น ดัชนี HSCEI ให้ผลตอบแทนเกือบๆ 400% ทีเดียว จากคุณ : Mr.Messenger - [ 21 มิ.ย. 50 13:12:46 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ทั้งนี้ จากการประมาณการณ์ Growth ของดัชนี HSCEI ของ 3 บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ ก็ให้ Upsides Gain อยู่ที่ 14-23% ทั้งนี้เนื่องจาก 3 ปัจจัยหลักๆ คือ 1. การปรับโครงสร้างของรัฐวิสาหกิจในจีน การเข้าหาแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงาน และเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัท 2. ผลประโยชน์จากการประกาศใช้ภาษีอัตราเดียว บริษัทในประเทศจีนจะเสียภาษีลดลงจากอัตรา 33% มาเหลือเพียง 25% 3. การอนุญาตให้บริษัทในจีนสามารถสร้างแรงจูงใจให้กับผู้บริหารในรูปแบบ ของ Stock Option ได้ ผู้บริหารจะมุ่งมั่นเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทและราคาหุ้นได้ จากคุณ : Mr.Messenger - [ 21 มิ.ย. 50 13:13:55 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อย่างที่บอกครับ โอกาสมาพร้อมกับความเสี่ยง ประเด็นที่นักลงทุนควรพิจารณาก็คือ ปัจจุบัน เม็ดเงินจากทั่วโลกไหลเข้าประเทศจีนเยอะมากๆ จำตัวเลขเป๊ะๆไม่ได้นะครับ 3 ปีย้อนหลังดุลการค้าประเทศจีนดีตลอด โดยมีเม็ดเงินไหลเข้าไปกว่า 46,000 ล้านดอลล่าห์แล้ว และในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา มีเม็ดเงินเข้าไปอีก 1,300 ล้านดอลล่าห์ หากเม็ดเงินเหล่านี้ไหลออกจากประเทศจีน รนั้นก้หมายถึงฟองสบู่แตกเหมือนกัน การลดความร้อนแรงจึงขึ้นอยู่กับมาตรการจากรัฐบาลจีน ว่าจะมีวิธีทำอย่างไร ซึ่งเราก้เห็นมาหลายครั้งแล้วว่า ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีน correction (ปรับฐาน) แบบแรงๆมาแล้วตอนเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งก็นำมาซึ่งความเสี่ยงข้อที่สองครับ การใช้มาตรการรุนแรงจากภาครัฐเพื่อลดความร้อนแรงของตลาดหุ้นในประเทศจีน อาจส่งผลให้เกิดการปรับตัวอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นในประเทศจีน และอาจทำให้ต่างชาติไม่ปลื้มเท่าไหร่ อีกประเด็นก็คือ ระดับอัตราดอกเบี้ยที่จะสูงขึ้นในจีน อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด อันนี้น่าจะเป็นประเด็นที่กระทบทั่วโลกนะครับ จาก 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา คุณ tubbygal ก็เคยอธิบายไว้แล้ว ส่งผลกระทบต่อการไหลของเงินทั่วโลกเหมือนกัน ถ้าอัตราดอกเบี้ยในจีนปรับสุงขึ้นจนทำให้ผู้ประกอบการในประเทศลดความสนใจในการลงทุน ก็อาจส่งผลต่อ GDP และเศรษฐกิจได้ในระยะกลาง ถึงระยะยาวเหมือนกันครับ (ขอขอบคุณข้อมูลจาก JP Morgan , CLSA , UOBAM ครับ) คุยกันบ้างดีกว่า ใครรู้บ้างว่า กองทุน FIF กองไหน ที่มีการลงทุนในตลาดหุ้นจีนบ้าง ตอบมาเลยจ้า ------------------------ โชคดีในการลงทุนครับ จากคุณ : Mr.Messenger - [ 21 มิ.ย. 50 13:15:59 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ต้องกองนี้แน่ๆๆเลย กองทุนเปิด manulife strength china value ถ้าตอบถูกมีรางวัลป่าวคะ ^^ จากคุณ : I Promise - [ 21 มิ.ย. 50 13:22:03 ]

ความคิดเห็นที่ 6 I-ASIA เป็นกองของ บลจ.MFC เป็นแบบ feeder fund ที่มี Master fund ชื่อว่ากองทุน DWS Invest Asian Small/Mid Cap Fund – LS Share Class  บริหารจัดการโดย Deutsche Asset Management ( รู้จักกันบ้างมั้ยเนี่ย ) ไม่ได้ลงใน จีน แต่ลงในฮ่องกง คงคล้ายๆกันนะครับ performance เป็นไง ไปดูได้ที่ http://www.dws.com/facts/FactSheetPerformance.aspx?FundId=1161 จากคุณ : tonbabu - [ 21 มิ.ย. 50 13:34:56 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อ้าว เพิ่งได้ 2 กองเอง มีกองอื่นอีกไหมครับเนี่ย... จากคุณ : Mr.Messenger - [ 21 มิ.ย. 50 15:49:07 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอสอบถามเรื่อง UOB smart asia ด้วยค่ะ เห็นลงทุนในจีน 27 %  น่าสนใจมั๊ยคะ จากคุณ : I Promise - [ 21 มิ.ย. 50 16:20:13 ]

ความคิดเห็นที่ 9 มีอีกกองค่ะ ABAPAC ของ Aberdeen ลงในจีน 18-20% จากคุณ : Galnextdoor - [ 21 มิ.ย. 50 20:39:38 A:58.8.130.243 X: TicketID:148155 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ตอนนี้ก็มี strength china value I-Asia UOBSA ABAPAC นะครับ ส่วนใหญ่ก็จะเห็นว่า กระจายความเสี่ยงลงทุนในแถบอื่นด้วยเหมือนกัน ไม่ได้ลงแค่ในจีนอย่างเดียว สาเหตุเพราะอะไร??? .... ตอบมาสิ!! จากคุณ : Mr.Messenger - [ 21 มิ.ย. 50 21:45:52 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ผมมองว่าการกระจายการลงทุนไปสู่ประเทศอื่นๆ ไม่ใช่เพียงแค่จีน เพราะในภูมิภาค Asia Pacific เอง ตลาดหุ้นแต่ละประเทศ และ พื้นฐานแต่ละประเทศก็มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญครับ ดังนั้นหากว่า fund flow จะไหลไปสู่แหล่งที่ ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงคุ้มค่ากว่า โดยที่ยังมอง themeใหญ่ว่า ยังไง ภูมิภาค Asia Pacific ยังมี potential growth ที่ดีที่สุด เทียบกับ US,Europe,Emerging market แล้ว เราก็คงต้องเหวี่ยงแห ลงทุนกระจายในภูมิภาคนี้ แต่หลายๆประเทศ ในสัดส่วนที่แตกต่างกันตามแต่นโยบายและมุมมองของกองทุน ดังเช่นข่าวล่าสุดครับ Asian Equity Funds Hit By Record Outflows Asian equity funds have had huge outflows in recent weeks as money moved away from last year's favorites, China and India, into "value plays" and developed market funds, Citigroup Inc. (C) said in a recent report. HONG KONG (Dow Jones) -- Asian equity funds have had huge outflows in recent weeks as money moved away from last year's favorites, China and India, into "value plays" and developed market funds, Citigroup Inc. (C) said in a recent report. There were $1.2 billion worth of outflows from offshore Asian funds last week, the fifth biggest in history, the firm said. Year-to-date, Asian equity funds have had net outflows for the first time in four years, totaling $1.18 billion. Most of the outflows are from China and Greater China funds. Last week, 84% of the region's gross redemptions came from China funds, up from 71% two weeks ago. India, on the other hand, had 11% of the region's redemptions, down from 14% last week, Citigroup said. China's red-hot stock market has led to concern among international fund managers, who largely expect stock prices to bust sometime in the near future. India's stock market has also had meteoric rises in the past two years. Meanwhile, value plays such as Korea, Singapore and Malaysia have had inflows in the last five weeks even as the region as a whole has been hit by outflows. Money is also flowing into developed market funds, Citigroup said. Total inflows to global equity funds since July 2006 are more than $40 billion. By comparison, Asian funds have had $5.4 billion in total inflows during that time. สรุปว่า เมื่อไม่นานมานี้ เงินไหลออกจากเอเชียไปเยอะ โดยส่วนใหญ่ไหลออกจากจีน แต่เข้าไปอยู่ในตลาดที่เจริญแล้วเช่น เกาหลี สิงคโปร์ และ มาเลเซีย แทน edit เพิ่มเติม* และผมมองข้ามชอตไปว่า ถ้าตลาดหุ้นจีนโดนโยกเงินออก เงินจะหายไปอยู่ที่ไหน ถ้าตลาดหุ้นจีนปรับฐาน เงินมหาศาลจะวิ่งไปไหน http://www.thaidaytrade.com/readspecialreport.php?id=1181398830 แต่ตอนนี้ต้องขอติดตามในประเด็นของกระทู้ ในกรอบที่ทางพี่ Mr.Messenger เล่าต่อก่อนละกันครับ ^^ แก้ไขเมื่อ 21 มิ.ย. 50 22:08:03 จากคุณ : EncodeO - [ 21 มิ.ย. 50 22:06:37 ]

ความคิดเห็นที่ 12 โอ้ว ขอบคุณคุณ EncoeO มากครับ นี่เราคุยกันมาถึงะระดับ Advance มากๆเลย บรรยากาศไม่เหมือนห้องสินธรเลยแหะ... เป็นคำถามที่ดี ถ้าเงินทุนไหลออกจากจีนไป จะไปไหน??? ก่อนจะถึงตรงนั้น สรุปคำตอบของคำถามที่ว่า "กองทุนส่วนใหญ่กระจายความเสี่ยงลงทุนในแถบอื่นด้วยเหมือนกัน ไม่ได้ลงแค่ในจีนอย่างเดียว สาเหตุเพราะอะไร" - ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ก็คือ นักลงทุนต่างประเทศก็ไม่ได้ไว้วางใจตลาดจีนทั้งหมด 100% เค้าก็คนเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ก็ต้องกลัวเป็นธรรมดาครับ สิ่งที่นักลงทุนต่างชาติกังวลกับจีนก็คือความเสี่ยงทั้งหลายที่ผมบอกไป นำมาให้เกิดผลอย่างที่คุณ EncodeO ว่าไว้ ถ้าตอบแบบมีหลักการ ก็ต้องบอกว่า เรื่องสำคัญที่สุดคือ การกระจายความเสี่ยง อย่างที่พูดไปเมื่อตอนที่ 2 ครับ Risk-Adjusted Return ที่สูงสุด ย่อมดีกว่า High Expected Return เพียงอย่างเดียว ปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้การหาหลักทรัพย์ที่ผลตอบแทนดี ก็คือ เราจะจัดการกับความเสี่ยงของมันยังไง ปล. รู้สึก พอกระทู้ Advance ขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนๆก็หายไปกันหมด สงสัยต้องกลับไปคุยเรื่องตราสารหนี้กันต่อมั้งเนี่ย ^^" ไม่เป็นไรครับ เอาให้จบ มีอะไรก็เอามาแชร์ๆกันครับ อย่าอ่านแล้วเพียงผานไปอย่างเดียว ------------------------ โชคดีในการลงทุนครับ จากคุณ : Mr.Messenger - [ 21 มิ.ย. 50 23:38:46 ]

ความคิดเห็นที่ 13 หมีพูมีความเห็นว่า ถ้าเรารับความเสี่ยงในการลงทุนกับ FIF ได้สูงกว่าปกติ ก็ควรเลือกกองทุน FIF ที่ลงทุนแบบเฉพาะเจาะจงประเทศไปเลยครับ เพราะผลตอบแทนที่ได้รับนั้น จะฉีกแนวออกไปอย่างเห็นได้ชัด แบบที่กองทุน FIF ในต่างประเทศเขานิยมกัน เช่นใครชอบหุ้นตลาดเกิดใหม่ประเทศจีน ก็เลือกกองทุนที่ไปลงทุนเฉพาะประเทศจีนเท่านั้น (ปีที่แล้วกองพวกนี้รวยไม่รู้เรื่องเลยนะครับ แต่ปีนี้ดูท่าแล้วคงไม่เวิร์กเหมือนก่อน) เมื่อดูเผิน ๆ แล้วการเลือก FIF แบบเฉพาะเจาะจงนั้น เหมือนกับว่าจะเสี่ยงสูงเกินไป แต่ในทางกลับกัน มันกลับกลายเป็นวิธีจำกัดความเสี่ยงอีกแบบนึงครับ ("จำกัด" นะครับ ไม่ใช่ "กำจัด" นั่นคือความเสียงยังคงอยู่ แต่ถูกควบมไว้ได้ในระดับนึง) โดยเป็นการลงทุนที่โฟกัสไปตรงจุดจริง ๆ ไม่ต้องวอกแวกไปดูอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องให้รกสมอง หรืออีกตัวอย่างเช่น เราสนใจธุรกิจการค้าของญี่ปุ่น และเห็นว่าสินค้าญี่ปุ่นนั้นตีตลาดไปทั่วโลก คิดว่ายังไงซะ เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็ไม่มีวันล่มสลาย แม้จะเคยเซลงไปแต่ก็ลุกขึ้นมายืนหยัดได้อีก (ญี่ปุ่นเป็น 1 ใน 8 ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก และขณะนี้เป็นช่วงกำลังฟื้นตัวในระดับสูง) ถ้า Theme ของเราเป็นแบบนี้ ก็ไปลงทุนในกองทุน FIF หุ้นญี่ปุ่นล้วน ๆ เพื่อที่เงินลงทุนของเราจะได้เดินคู่ไปกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นด้วยกัน โดยไม่ต้องไปห่วงหน้าพะวงหลังกับเศรษฐกิจของประเทศอื่น ๆ (ที่เมืองไทยก็มีขายกอง FIF ญี่ปุ่นล้วน ๆ เช่นกันครับ) จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 21 มิ.ย. 50 23:58:53 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ความเสี่ยงที่คุย ๆ กันอยู่ที่มัน abstract เหลือเกิน ความจริงแล้ว น่าจะมีตัวเลขบอกนะครับ ว่าความเสี่ยงที่ว่าคิดเป็นกี่ % เช่น ถ้าลงทุนกองทุนนี้ มีโอกาส 30% ที่จะขาดทุน 10% มีโอกาส 35% ที่จะขาดทุน 12% มีโอกาส 30% ที่จะกำไร 15% ฯลฯ ไม่ทราบว่ามีข้อมูลในลักษณะนี้รึเปล่าครับ? ไม่งั้นมันเหมือนกับเดา ๆ กระจายความเสี่ยงแต่ไม่รู้ว่าที่กระจายแบบที่ 1 กับกระจายแบบที่ 2 แบบไหนดีกว่ากัน การบริหารความเสี่ยงในสาขาอื่น เช่น ความเสี่ยงในการบริหารโครงการ จะมีการตีค่าออกมาเป็นตัวเลขเลยครับ ว่าความเสี่ยงตัวนี้ มีโอกาสเกิดขึ้นกี่ % จากคุณ : DD - [ 22 มิ.ย. 50 00:18:53 A:210.203.178.109 X: TicketID:100823 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าไม่มี matrices ที่ชัดเจน การกระจายความเสี่ยง ก็จะเป็นการเดาและกะ ๆ เอา ซึ่งอาจจะทำให้เสียโอกาสในการเลือกสัดส่วนการกระจายที่มีโอกาสได้กำไรมากที่สุดครับ จากคุณ : DD - [ 22 มิ.ย. 50 00:20:52 A:210.203.178.109 X: TicketID:100823 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ผมคิดว่าใช้ sharp ratio ช่วยวิเคราะห์ได้นะครับ เหมือนที่เคยวิเคราะห์ในพวกบรรดากองทุนตราสารหนี้มาแล้ว สำหรับการวิเคราะห์ออกมาได้ตัวเลขเพื่อตัดสินใจ ซึ่งถ้าจะทำจริงๆ ก็คงเป็นเรื่องหนักสำหรับพี่ Mr.Messenger พอควรทีเดียว ^^; เพราะต้องมาปรับฐานข้อมูลให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกันอีก (เช่น เรื่องการconvert exchange rate บาง บลจ.ใช้ spot rate , บาง บลจ. ใช้ค่าเฉลี่ย ซึ่งจะกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของNAV ฯลฯ) แต่ถ้าหากว่ามีเวลารวบรวมและทำสรุปข้อมูล ก็จะดีมากเลยครับ และเห็นด้วยกับพี่หมีพูว่า กองทุนน่าจะเปิดให้ลงทุนในกองทุนเดี่ยวๆที่โฟกัสลงทุนในแต่ละประเทศไปเลยเหมือนอย่างกรณีของ Aberdeen Singapore ที่เขาให้เลือกลงทุนแยกได้ แล้วผู้ลงทุนค่อยมาผสม portเอาเองว่าจะให้สัดส่วนลงทุนในประเทศไหนมากน้อยเท่าไหร่ ในสถานการณ์ต่างๆกัน โดยอาจมีโปรโมชั่นเพื่อสร้าง CRM ให้ผู้ลงทุนภักดีต่อ brand ของ บลจ. เช่น ถ้าหากswitchเงินลงทุนจากกองประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง แต่อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน จะเก็บค่าธรรมเนียมswitchต่ำกว่าปกติ จากคุณ : EncodeO - [ 22 มิ.ย. 50 00:42:14 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าอย่างนั้นก็พอสรุปได้ว่าการลงทุนในจีนมีทั้งโอกาส และความเสี่ยง แฮ่ ๆ อย่างนี้ใครก็ตอบได้.... จริง ๆ แล้วจะเข้ามาขอบคุณทุกคนต่างหากล่ะ ที่ช่วยแชร์ความรู้ จากคุณ : Porich (Porich) - [ 22 มิ.ย. 50 08:34:48 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ถ้าหวังจะเข้ามาอ่านกระทู้ฟันธงจากผม ก็บอกได้เลยว่าไม่มีแน่นอนครับ (โฮะๆ Protect ตัวเองสุดริด) โอกาสมันมาพร้อมกับความเสี่ยงเสมอ อันนี้นักลงทุนทุกคนต้องรู้อยู่แล้ว แต่ปัญหาที่เราเจอๆกันก็คือ เรามักจะมองกันว่าที่ไหนมีโอกาสดีกว่ากัน แต่มักจะมองข้ามว่า แล้วความเสี่ยงล่ะ?? คุ้มพอที่จะไปลงทุนหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องพิจารณาด้วยตัวเอง คิดด้วยตัวเอง เพราะสุดท้าย กำไรขาดทุน ก็เงินของเราทั้งนั้น ไม่ได้มีใครมารับความเสี่ยงด้วย เมื่อเราพิจารณาครบทั้ง 2 ด้านแล้ว ถ้าคุ้มเสี่ยงก็หมายถึง ลงทุน ถ้าไม่คุ้ม ก็ฝากออมทรัพย์ต่อไป ส่วนเรื่องการวัดระดับความเสี่ยงที่คุณ DD ถามมานั้น ปัจจุบัน กองทุนในต่างประเทศได้จัดทำ ผลการดำเนินงานย้อนหลังปรับฐานความเสี่ยงด้วยวิธีต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจให้นักลงทุนอยู่แล้วครับ อัตราส่วนที่ใช้ก็จะมี Information Ratio, Sharp Ratio, Treynor Ratio โดยปรับระดับโดย ตัวเลขที่ได้จากสถิติทั้งหลาย เช่น S.D. , Beta หรือ ค่า Correlation เทียบกับ Bechmark ก็แล้วแต่ กองทุนในประเทศ ก็มีทำไว้บ้างเหมือนกันครับ แต่เฉพาะบาง House เท่านั้น และนักลงทุนต้องขอข้อมูลตรงนี้กับ บลจ.โดยตรง จริงๆไม่อยากคุยลึกถึงตัวเลขพวกนี้ กลัวเด่วจะไม่มีคนอ่าน พลานคิดไปว่า มานั่งพล่ามอะไรมากมาย อาจต้องเปลี่ยนห้องไปหว้ากอแทน แต่... คิดไปคิดมา ผมว่าก็เป็นสิ่งจำเป้นเหมือนกันนะครับ เอาเป็นว่า ถ้ามีเวลามาคุยถึง Risk-Adjusted Return กันว่าทำยังไงบ้าง ------------------------ โชคดีในการลงทุนครับ จากคุณ : Mr.Messenger - [ 22 มิ.ย. 50 09:16:55 ]

ความคิดเห็นที่ 19 Mr.Messenger ช่วยเปรียบเทียบ กองทุนที่กล่าวข้างต้นให้ด้วยนะคะ strength china value I-Asia UOBSA ABAPAC ความรู้น้อยแต่อยากจะเริ่มลงทุนค่ะ ไม่รู้จะเริ่มที่กองไหนดี จากคุณ : I Promise - [ 22 มิ.ย. 50 09:37:31 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อยากให้กระทู้แนวนี้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำจังค่ะ ถึงจะค่อนข้างเป็นชั้นสูงกว่าปกตินิดนึงก็ตาม แต่ก็อ่านเข้าใจได้บ้างค่ะ ดีกว่าอ่านจากหนังสือแนวเศรษกิจอย่างเดียว จากคุณ : arata - [ 24 มิ.ย. 50 20:26:17 A:202.28.27.3 X: TicketID:119113 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ยอดเยี่ยมมากค่ะ เพราะว่าสนใจ กองทุนที่ลงทุนใน HSCEI INDEX อยู่ แต่ว่ายังไม่ได้หาเลย     ดีใจจังเลย มีคนสนใจ เเละ มีความรู้มาแบ่งปัน ขอบคุณค่ะ จากคุณ : แนนแนน - [ 28 มิ.ย. 50 15:34:44 ]