ความคิดเห็นที่ 1 แนวโน้มของ กำไรของบริษัทในแต่ละประเทศละเป็นยังไงกันบ้าง อยากให้ดูรูปนี้ครับ (ตามเข้าไปคลิ๊กหน่อยนะครับ เพราะถ้าเล็กกว่านี้ ดูไม่ออกแล้ว) ประเทศส่วนใหญ่ ได้รับการประมาณการว่า จะเป็น Uptrend ที่ชัดเจนทั้งนั้น [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : Mr.Messenger - [ 29 มิ.ย. 50 14:21:19 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ละเอียดขึ้นมาเรื่อยๆ อย่าเพิ่งงงไปเสียก่อน จะพยายามอธิบายให้เข้าใจง่ายๆล่ะกันจ้า จากกราฟอันแรก ต้องมีคนเถียงผมแน่นอนว่า ที่บอกเอเชียเนี่ย ไม่ใช่ทุกประเทศซะหน่อยที่ GDP โตขนาดนั้น ดูไทยสิ 4.0% ยังไม่รู้จะได้หรือเปล่า.... อันนี้ไม่เถียงครับ เพราะฉะนั้น จะลงทุน ต้องเลือกให้ถูกด้วยว่าที่ไหนกันแน่ที่มีศักยภาพจริงๆ คำตอบคือ เงินไหลมาที่ภูมิภาคเอเชีย ก็เพราะประเทศนี้ประเทศเดียวครับ “จีน” แต่แน่นอนว่า เพื่อการกระจายความเสี่ยง เราจะลงทุนแต่ในจีนอย่างเดียว ก็อาจน่ากลัวเกินไป แต่ถ้าใครสู้ไหว หรือว่าอ่านตลาดจีนขาดแน่นอน ก็ไม่ว่ากันครับ เม็ดเงินไหลเข้าจีน ประเทศรอบข้างก็ได้รับอานิสงส์จากการเป็นคู่ค้ากับจีนด้วยเช่นกันครับ ดูกราฟด้านล่าง จะเห็นว่า หลายๆประเทศมีการค้าขายกับจีนในสัดส่วนที่สูง เมื่อเปรียบเทียบกับ GDP ของแต่ละประเทศ นี่ก็ถือเป็นความเสี่ยงเหมือนกันนะครับ เพราะหากจีนมีปัญหาขึ้นมา นั้นก็หมายความว่า ประเทศที่พึ่งพาหรือเป็นคู่ค้ากับจีนก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยแน่นอนตามสัดส่วน จากคุณ : Mr.Messenger - [ 29 มิ.ย. 50 14:23:05 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เห็นกันแล้วคร่าวๆนะครับ คำถามต่อมาก็คือ GDP ดีขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้น ราคาหุ้นมันก็น่าจะไปไกลแล้วสิเนี่ย ลองดู P/E และ EPS เปรียบเทียบกับแถบอื่นกันดูนะครับ  ค่า P/E ต่ำกว่า อเมริกา แต่ก็สูงกว่า Europe ซึ่งอยู่ในช่วง Stable Growth ไปเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ EPS หรือ Earning per Share (กำไรต่อหุ้น) ก็สูงกว่าทวีปอื่นๆ และจ่ายปันผลได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยในระดับโลก เห็นกราฟนี้แล้ว บางคนสนใจทวีปยุโรปกันขึ้นมาทันที เพราะ P/E ต่ำกว่า และจ่าย Dividend ได้อัตราที่สูงกว่า จะบอกว่า ตลาด 2 ทวีปนี้ มีลักษณะที่แตกต่างกันพอสมควรครับ เพราะทางฝั่งยุโรปนั้น เป็นตลาดที่พัฒนามานานแล้ว บริษัทส่วนใหญ่ ก็อยู่ในช่วงอิ่มตัว มีความมั่นคงสูง ราคาหุ้นไม่แกว่งตัวมากนัก จึงถือว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่าเอเชีย เอาเป็นว่า เป็นอีกตัวเลือกนึงแล้วกัน เคยพูดถึงยุโรปไปแล้ว แต่ไม่รุ้กระทู้อยู่ไหนแล้วเหมือนกัน เด๋วมาคุยต่อครับ ขอตัวทำงานก่อน เด๋วจะปว๊ปมาดูกองทุน UOBSA กัน ว่าดีหรือเปล่า จากคุณ : Mr.Messenger - [ 29 มิ.ย. 50 14:28:37 ]

ความคิดเห็นที่ 4 //เด๋วหมีพูจะไปขออนุญาตเจ้านายให้ ดีมั้ยครับ จะได้ไม่ต้องแว้บไปแว้บมา จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 29 มิ.ย. 50 15:22:20 ]

ความคิดเห็นที่ 5 จากคุณ : kid (ช่วยคิดหน่อยครับ) - [ 29 มิ.ย. 50 15:47:38 ]

ความคิดเห็นที่ 6 กราฟเล็กมากครับ เท่าที่ดูมีเกาหลีและไทยที่มีแนวโน้มลงในปี_2007_และ_2008 นอกนั้นมีแนวโน้มขึ้น_ยกเว้นช่องแรกดูไม่ออกจริงๆ_(ใช่_US_มั๊ยครับ??)   (ขออภัยคอมฯเคาะวรรคไม่ได้ชั่วคราวไม่รู้เป็นอะไร) แก้ไขเมื่อ 29 มิ.ย. 50 23:15:32 จากคุณ : kid (ช่วยคิดหน่อยครับ) - [ 29 มิ.ย. 50 16:07:01 ]

ความคิดเห็นที่ 7 มาแล้วมาเก็บความรู้เพิ่มขึ้นอีก ขอบคุณค่ะ ^^ จากคุณ : I Promise - [ 29 มิ.ย. 50 16:09:24 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ต่อๆ ความเสี่ยง ของการลงทุนในภูมิภาคเอเชียก็คือ - แนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวของอเมริกา น่าจะส่งผลกระทบกับประเทศคู่ค้าทั่วโลก - สถานการณ์ทางการเมืองในหลายๆประเทศที่เปราะบาง ทั้งในเกาหลีเหนือ ขั้วอำนาจทางการเมืองที่เปลี่ยนไปของมาเลเซีย และความไม่แน่นอนทางการเมืองในไต้หวัน (จริงๆต้องรวมไทยไว้ด้วยไหมเอ่ย..) - การใช้นโยบายของรัฐบาลในประเทศต่างๆ เช่น มาตราการลดความร้อนแรงของตลาดจีนเป็นต้น จากคุณ : Mr.Messenger - [ 29 มิ.ย. 50 16:57:22 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คราวนี้มาดู UOBSA เปรียบเทียบกับ ABAPAC ด้านนโยบายการลงทุน UOBSA Master Fund จะเน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศเฉพาะ 9 ประเทศนี้เท่านั้นครับ สิงค์โปร์, ฮ่องกง, จีน, ไต้หวัน, เกาหลี, ไทย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ABAPAC ไม่เหมือน UOBSA ซะทีเดียวครับ กองหลักจะมีตัวเลือกในการลงทุนเยอะกว่า เพราะรวมตลาดอินเดีย , ออสเตรเลีย และ ศรีลังกา เข้าไปด้วย ส่วนตลาดหุ้นเวียดนามนั้น ปัจจุบันที่สิงค์โปร์ ก็ยังไม่มีกองไหนลงทุนในเวียดนามนะครับ เหตุผลก็แสนจะ Simply ครับ ตลาดเวียดนามเพิ่งเกิดมา ทางอเบอร์ดีนยังไม่มี profile มากพอ จึงไม่คิดจะเสี่ยงลงทุนครับ สัดส่วนการลงทุนในแต่ละประเทศ UOBSA จีน 27.55% (ลงทุนผ่านตลาด H-Share) เกาหลีใต้ 22.90% ฮ่องกง 11.94% ไต้หวัน 11.40% มาเลเซีย 9.67% สิงค์โปร์ 7.83% ABAPAC จีน และฮ่องกง 20.5 (ที่จีน ลงทุนผ่าน H-Share เหมือนกัน) สิงค์โปร์ 14.6% อินเดีย 13.4% เกาหลีใต้ 12.4% ออสเตรเลีย 10.3% ไต้หวัน 6.8% มาเลเซีย 6.2% อินโดนีเซีย 6.0% ไทย 5.8% ฟิลิปปินส์ 2.8% ดูเหมือน ABAPAC จะมีการกระจายการลงทุนที่ดีกว่านะครับ แต่ช่วงนี้ ตลาดอินเดีย ดูจะผันผวนแรงหน่อยนะครับ เอาแค่สัดส่วนการลงทุนแบบนี้ ก็พอจะเดาออกว่า UOBSA ดูจะ Risky กว่านิดๆ นั้นหมายถึง หากนักลงทุนจะลงทุนใน UOBSA ก็ควร Expect Return ที่สูงกว่า ABAPAC หน่อยๆนะครับ จากคุณ : Mr.Messenger - [ 29 มิ.ย. 50 17:36:48 ]

ความคิดเห็นที่ 10 //ฮึ่ม ฮึ่ม ...วัยสะรุ่นใจร้อน หายไปไหนอีกแล้วล่ะเนี่ย กลับมาเร็ว ๆ เน้อ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 29 มิ.ย. 50 17:39:06 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ^ ^ ^ แสดงว่าช่วงนี้ พี่หมี ไม่ได้จำศึลซิเนี่ย แล้วต่อไปจะมีกองที่ลงทุนในประเทศ เดียวๆบ้างไหมครับเนี่ย  เช่นลงในจีนอย่างเดียว  ลงในอินเดียอย่างเดียว  ประมาณนี้อะครับ จากคุณ : แมวน้ำขี้เซา - [ 29 มิ.ย. 50 17:44:38 ]

ความคิดเห็นที่ 12 มาดูที่สัดส่วนการกระจายการลงทุนในรายอุตสาหกรรมกันบ้าง UOBSA Financial 21.47% Industrials 21.06% Consumer 18.59% Info Technology 12.54% TeleCom Service 5.74% Materials 5.37% ABAPAC Financials 41.3% Information Technology 12.9% Consumer Staples7.9% Materials 7.9% Consumer Discretionary 7.7% Industrials 7.6% TeleCom Service 6.0% Energy 4.1% Utilities 2.9% กลายเป็นว่า ABAPAC เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Financial ซะอย่างนั้น และ Overweight Benchmark พอสมควรด้วยสิครับ สาเหตุเพราะ อเบอร์ดีนถนัดลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และมองว่าการ M&A ของสถาบันการเงินในอนาคตจะทำให้ราคาหุ้นไปได้ไกล ในขณะที่ UOBSA นั้น กระจายการลงทุนในกลุ่ม Financial และ Industrials พอๆกัน ก็ใกล้เคียงกับ Benchmark ครับ อ๋อ มาถึง Benchmark ของทั้ง 2 กองนี้ คนละตัวกันนะจ๊ะ ลงทุนคล้ายกันก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ตลาดเดียวกันหมด UOBSA -- MSCI All Country Far East ex Japan ABAPAC -- MSCI AC Asia Pacific ex Japan จากคุณ : Mr.Messenger - [ 29 มิ.ย. 50 17:57:17 ]

ความคิดเห็นที่ 13 มาดูผลตอบแทนเปรียบเทียบ 1 ย้อนหลังกันเลย เตือนไว้ก่อนนะครับ อย่างที่บอกว่า เนื่องจากความเสี่ยง และการกระจายการลงทุนไม่เหมือนกัน ดังนั้นผลตอบแทนที่เห็น บอกไม่ได้ว่ากองทุนไหนเก่งกว่ากองทุนไหน ข้อมูลเปรียบเทียบถึงสิ้นเดือน พ.ค. 50 นี้เหมือนกันครับ UOBSA 34.84% Benchmark 20.32% ส่วนต่าง 14.51% ABAPAC 32.33% Benchmark 35.50% ส่วนต่าง -3.17% (Performance In SGD term) คุยรวมๆแล้วนะครับ UOBSA มีการกระจายความเสี่ยงน้อยกว่า อ๋อ ลืมบอกไปว่าข้อแตกต่างอีกอย่างหนึ่งของทั้งสองกองก็คือ UOBSA นั้น ลงทุนในหุ้นโดยตรงเป็นส่วนใหญ่ โดย TOP10 Holding นั้น เป็นหุ้นรายตัวหมดเลย ในขณะที่ ABAPAC TOP10 Holding เป็นกองทุนอีกทีถึง 6 อันดับแรกเลยทีเดียว (โดยทุกกองที่ Master Fund ของ ABAPAC ไปลง ก็ล้วนจดทะเบียนในสิงค์โปร์เหมือนกันครับ) นี่ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า ABAPAC กระจายการลงทุนเยอะมากๆ เป็นเหตุให้ผลการดำเนินงาน ไม่หนีจาก Benchmark เท่าไหร่นักในช่วง 1-2 ปีหลังมานี่ ส่วน UOBSA นั้น เรายังไม่ค่อยเห็นว่า บลจ.ยูโอบี มีกองอะไรโดดเด่น นอกจากกองตราสารหนี้ หรือ Fin4Cast ที่ยังไม่รู้ว่าจะออกมาหัวหรือก้อยนะครับ แต่ Fin4Cast เดือนที่แล้วปรับโมเดลใหม่ ผลการดำเนินงานก้ดีขึ้นทันตาเห้นเลย ขอให้เป็นอย่างนี้เรื่อยๆล่ะกัน (นอกเรื่องนิดเนิง) สรุป ชอบเอเชีย แบบเสี่ยงเพิ่ม ไป UOBSA ชอบเอเชีย แบบเสี่ยง (แต่น้อยกว่า) ไป ABAPAC ชอบเอเชีย แบบเสี่ยงน้อย และลงณี่ปุ่น ไป POF ชอบณี่ปุ่นเพียวๆ ไป NIPPON ชอบจีนเพียวๆ ไป strength china value (ไอ้ 3 กองหลังนี้มายังไงล่ะ) ปล. ขอโทษที่ไม่ต่อเนื่อง เพราะมีคนเดินมาคุยด้วยตลอดเลย ^^" ------------------------ โชคดีในการลงทุนครับ จากคุณ : Mr.Messenger - [ 29 มิ.ย. 50 18:20:42 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณครับ สมแล้ว ที่เป็นนักขาย ครับ แก้ไขเมื่อ 29 มิ.ย. 50 21:33:53 จากคุณ : หมูอวบ - [ 29 มิ.ย. 50 21:33:37 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : แนนแนน - [ 30 มิ.ย. 50 01:03:03 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เข้ามาเก็บความรู้ จากคุณ : แรงเกินใคร ถ้าใจแรงพอ - [ 30 มิ.ย. 50 03:15:07 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เข้ามาอีกทีค่ะ หุหุหุ จากคุณ : แนนแนน - [ 7 ก.ค. 50 02:29:21 ]