ความคิดเห็นที่ 19
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎร์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภาวะค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าต่อเนื่องนั้นคงจะเป็นหน้าที่ของ ธปท.ต้องดูแลไม่ให้แข็งค่าไปกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งการทำงานของรัฐกับ ธปท.จะแยกกันเป็นอิสระ อย่างไรก็ตามส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมจะมุ่งเน้นการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพราะถือเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนซึ่งเร็วๆ นี้จะไปโรดโชว์ยังประเทศในแถบยุโรป กรณีที่เอกชนมองว่าค่าเงินบาทไทยแข็งค่ากว่าเพื่อนบ้านนั้นคงต้องถามธปท.ซึ่งแน่นอนว่าถ้าแข็งเร็วเกินไปก็ต้องดูแล ส่วนมีคนมองว่าค่าเงินบาทที่แข็งทำให้มีการย้ายฐานไปเวียดนามนั้นก็คงเป็นเรื่องปกติเพราะเวียดนามมีแรงงานมากอุตสาหกรรมที่เน้นใช้แรงงานก็ต้องมองเวียดนามและแน่นอนว่าเวียดนามเองก็น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทยเช่นกันนายโฆสิตกล่าว สำหรับนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมคงจะต้องมองในระยะยาวในการทำอย่างไรให้อุตสาหกรรมปรับโครงสร้างการผลิตที่จะต้องมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่า แทนมุ่งเน้นการอาศัยแรงงานราคาต่ำซึ่งการดำเนินงานส่วนนี้ต้องอาศัยระยะเวลาพอสมควรแต่ทั้งหมดจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน **ตลาดหุ้นเดินหน้านิวไฮ ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (9 ก.ค.) ดัชนียังแกว่งตัวในแดนบวกตลอดทั้งวันก่อนจะมีแรงเทขายเมื่อดัชนีแตะระดับ 850 จุด โดยดัชนีปิดที่ 844.19 จุด เพิ่มขึ้น 11.81 จุด หรือ 1.42% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 850.31 จุด และจุดต่ำสุดที่ 840.71 จุด มูลค่าการซื้อขาย 40,025.39 ล้านบาท ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,028 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 851.48 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2,879.75 ล้านบาท นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ ดัชนีฯจะมีการปรับฐาน ซึ่งหากไม่ขึ้นต่อก็จะมีการปรับตัวลดลงได้ 40-50 จุด ถือเป็นเรื่องปกติ แต่การปรับฐานครั้งนี้เป็นการปรับฐานเพื่อที่จะขึ้นต่อ ทำให้มีโอกาสที่ดัชนีฯมีจะปรับขึ้นถึงระดับ 1,000 จุด ในปีนี้หรือปีหน้าได้ ทั้งนี้ การปรับตัวเพิ่มขึ้นเพราะตลาดหุ้นในภูมิภาคได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าแต่ตลาดหุ้นไทยดัชนีเพิ่งปรับเพิ่มขึ้นได้แค่เท่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นไทยควรจะปรับเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัวจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจหรือดัชนีควรอยู่ที่ 1,600 จุด ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่ท้าทายว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะขึ้นหรือจะลง แต่มีโอกาสที่ดัชนีฯจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง1,000 จุดได้ในปีนี้หรือปีหน้า โดยคาดว่าไตรมาส3วอลุ่มตลาดอยู่ที่2.5-2.7หมื่นล้านบาทนายกัมปนาทกล่าว สำหรับช่วงนี้ตนเองมีความกังวลว่า ธปท.จะมีมาตรการออกมาเพื่อควบคุมค่าเงินบาทที่ขณะนี้ได้แข็งค่าขึ้น จากที่มีสัญญาณค่าเงินบาทในประเทศ เริ่มมีการแข็งค่าเงิน ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทในต่างประเทศที่แข็งค่ากว่าค่าเงินบาทในตลาดในประเทศ ยิ่งแข็งค่ามากขึ้น ซึ่งมีราคาที่ต่างกันอยู่ประมาณ 2 บาท ซึ่งค่าเงินบาทควรจะอยู่ในระดับเดียวกัน เชื่อว่าธปท.อยู่ระหว่างการหาวิธีการควบคุมค่าเงินบาท นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก ผู้ช่วยผู้จัดการสายงานวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดในช่วงระยะสั้นประมาณ 1- 3สัปดาห์นี้ จะเริ่มเข้าสู่ช่วงปรับฐาน เนื่องจากปัจจุบันเริ่มเห็นเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติชะลอตัวลง จากที่ราคาหุ้นพื้นฐานในกลุ่มขนาดใหญ่เช่น พลังงาน ธนาคารพาณิชย์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมากแล้วซึ่งอาจจะทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุนเพื่อลดความร้อนแรง ทั้งนี้ ระยะยาวดัชนียังน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ โดยประเมินดัชนีตลาดสิ้นปี 50 นี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 905 จุด เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น แต่คงต้องจับตาดูการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในเดือนสิงหาคมนี้ซึ่งเชื่อว่าจะมีผลต่อจิตวิทยาการลงทุนเช่นกัน.
จากคุณ :
no_lagging
- [
10 ก.ค. 50 09:04:44
]
|
|
|