ความคิดเห็นที่ 1 .. ข้อดีอย่างหนึ่งที่ผมเห็นก็คือ ในกรณีที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้นอย่างตอนนี้ เราก็ใช้เงินดอลล่าร์ในการซื้อขายสินค้าในประเทศ แต่ถ้าค่าเงินบาทอ่อนตัวไปกว่าค่าที่กำหนดไว้ ประชาชนก็เอาเงินดอลล่าร์ที่มี ไปแลกเงินบาทออกมาใช้ ซึ่งเมื่อแลกมากๆ ขึ้น ก็จะมีผลทำให้เงินบาทแข็งค่ากลับคืนมาได้ .. จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ - [ 18 ก.ค. 50 14:12:02 ]

ความคิดเห็นที่ 2 แบบนี้ ก็จะมีพวกขนเงินจาก offshore มาเล่นกันเพลินเลย ซื้อมา 29-30 แลกได้ 35 จากคุณ : @#^% - [ 18 ก.ค. 50 14:28:34 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ซื้อขายกันเป็นทองกันไปเลยครับ อิอิ ต่างชาติจ่ายค่าสินค้าเราจากเงินมาเป็นทอง มูลค้าคงไม่แข็งขึ้นนะครับ อิอิ จากคุณ : BMWTurboman - [ 18 ก.ค. 50 14:30:50 ]

ความคิดเห็นที่ 4 .. ตามความเห็นที่ 2 ก็ดีสิครับ เอาเงินเข้ามาซื้อข้าวของในบ้านเราเยอะๆ นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้คนเข้ามาเที่ยวบ้านเรามากขึ้น เพราะตอนนี้ค่าเงินแข็งแบบนี้ เงิน 1 ดอลล์ แลกเป็นเงินบาทได้ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเงินดอลล์ยังสามารถซื้อหาข้าวของในเมืองไทย ค่าโดยสาร ค่าโรงแรม ค่าอะไรๆ ก็ยังซื้อหาได้เท่าเดิม เขาก็อยากเข้ามาเที่ยว มากกว่าตอนที่ค่าเงินแข็งค่าแบบนี้นะครับ .. แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 50 14:39:17 จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ - [ 18 ก.ค. 50 14:37:05 ]

ความคิดเห็นที่ 5 .. ความเห็นที่ 3 คุณ BMWTurboman ผมว่าแบบนั้นยุ่งยากเกินไป แต่แบบที่ผมเสนอนั้น แทบไม่ต้องทำอะไร แค่ประกาศให้ประชาชนรับรู้ข้อมูล ทุกอย่างสามารถดำเนินต่อไปได้เลย  ไม่กระทบอะไรเลยครับ และเสถียรภาพของค่าเงินบาท ที่เราต้องการก็จะเกิดขึ้น พอค่าเงินจะแข็งตัวขึ้น คนมีเงินดอลล์ ก็ใช้เงินดอลล์ต่อไปตามปกติ พอค่าเงินจะอ่อนตัวลง คนมีเงินดอลล์ ก็เอามาแลกเงินบาท แลกมากๆ เข้า เงินบาทให้แลกน้อยลง ค่าเงินบาทก็กลับมาแข็งค่ามาที่เดิม .. จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ - [ 18 ก.ค. 50 14:49:16 ]

ความคิดเห็นที่ 6 มีประเทศที่เขาทำอย่างคุณว่าแล้วครับ เรียกว่า Dollarization เช่น ปานามา แม้แต่อาร์เยนตินาก็เคยทำ โดยผูกค่าเงินติดกับดอลลาร์ ประชาชนเลือกฝากเงินได้ว่าจะฝากในรูปเงินเปโซหรือเงินดอลลาร์ การผูกค่าเงินเข้ากับดอลลาร์เป็นสาเหตุสำคัญให้อาร์เยนตินาเข้าสู่วิกฤติ เพราะเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี คนก็รีบแลกเงินเปโซเป็นดอลลาร์ แล้วรัฐบาลจะเอาดอลลาร์ที่ไหนมาให้ล่ะครับ ค่าเงินเปโซจึงร่วงลงอย่างรุนแรง ในทางทฤษฎีทำได้ แต่ปริมาณเงินในระบบของคุณจะขึ้นลงตามดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ เพราะเมื่อผูกเงินกับดอลลาร์แล้ว เศรษฐกิจก็จะขึ้นๆ ลงๆ แต่ถ้าไม่ปรับปริมาณเงินตามเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ก็จะเกิดความเสี่ยงเหมือนที่อาร์เยนตินาได้เจอ จากคุณ : นักเศรษฐศาสตร์ - [ 18 ก.ค. 50 15:49:27 A:125.24.219.239 X: TicketID:077262 ]

ความคิดเห็นที่ 7 .. ขอบคุณสำหรับข้อมูลของคุณ นักเศรษฐศาสตร์ นะครับ ผมได้ลองติดตามไปศึกษา คำว่า Dollarization มานิดหน่อย ทำให้พอจะมองเห็นภาพลางๆ (อาจจะไม่ชัดหรือไม่ถูกก็ได้) ผมเห็นว่า Dollarization นั้นจะยึดค่าเงินที่คงที่ เหมือนกับเป็นการ fix อัตราแลกเปลี่ยนนั่นแหละครับ แต่วิธีการที่ผมเสนอนั้น ผมเสนอให้มีการแลกเปลี่ยนเงินตราตามสภาวะปกติของตลาด ซึ่งค่าเงินส่วนนี้จะขึ้นๆ ลงๆ ได้ปกติ แต่เงินดอลล่าร์สำหรับการใช้จ่ายในประเทศนั้น จะ fix ไว้  เช่น fix ไว้ที่ระดับ 35 บาท ต่อ 1 ดอลล่าร์  (อาจจะเป็นระยะเวลา 1 ปี) นั่นหมายความว่า ใครก็ตามที่มีเงินดอลล่าร์ เมื่อนำไปซื้อสินค้า หรือใช้จ่ายในประเทศ มูลค่าของเงินจะคงที่  เหมือนกับธนบัตรใบ 50 บาท ไม่ว่าค่าเงินจะขึ้นจะลง  ธนบัตรก็ยังมีมูลค่า 50 บาทเสมอ แต่ถ้าต้องการแลกเงิน ไม่ว่าจากเงินบาทไปเป็นดอลล่าร์ หรือจากดอลล่าร์ไปเป็นบาท ต้องแลกผ่านระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราปกติ นี่เป็นเหตุผลว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นมากๆ หรือ เศรษฐกิจจะตกต่ำมากๆ ก็ไม่มีผลกระทบเลยครับ เพราะอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราจะขึ้นอยู่กับ demand และ supply แต่ถ้าเป็นการใช้จ่ายเงินปกติ สามารถทำได้ด้วยมูลค่าที่คงที่ จึงเห็นว่าระบบที่ผมเสนอนั้น แตกต่างจากระบบ Dollarization มากพอสมควร หรือจะเรียกว่า Semi - Dollarization ก็ได้ครับ .. จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ - [ 18 ก.ค. 50 18:43:37 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ก็ เห้น มีบริษัทต่าง ชาติ จาย ค่าแรงเป้นดอลล่าอยุ่ นิ มันก็เป็นอยู่ แล้ว อย่างที่เห้นเนีย ไม่ต้องรอ หลักวิชาการ เพียงแต่ เจ้ากระทู้ไม่รู้ว่ามี อะ เปล่า จากคุณ : i-angel - [ 18 ก.ค. 50 19:30:42 A:161.200.255.162 X: TicketID:111128 ]

ความคิดเห็นที่ 9 มันจะไม่เกิด Hyperinflation กับเงินบาทเอาเหรอครับ ประเทศ ลาว ทุกวันนี้ รับ บาท และ $ แทบทุกหนทุกแห่งนะครับ ค่าเงินของเค้า Slide ครั้งเล่าครั้งเล่าไม่เคยยืนได้เลย จากคุณ : TauRuZ_PaSSeRBy - [ 18 ก.ค. 50 19:57:58 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้า ดอลล่าร์ ทะลักเข้ามา เงินเฟ้อก็พุ่งเลยน้า (เดี๋ยวขอ อ่านกระทู้นี้ โดยละเอียดอีกทีจ้า) จากคุณ : วัยซนฯ - [ 19 ก.ค. 50 02:06:58 A:124.121.8.229 X: TicketID:075904 ]

ความคิดเห็นที่ 12 .. ความเห็นที่ 9 และ 10 ของคุณ TauRuZ_PaSSeRBy และคุณ วัยซนฯ เกี่ยวกับปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ และเงินเฟ้ออย่างรุนแรง อันที่จริงแล้ว เรื่องของเงินเฟ้อ คือ การที่เศรษฐกิจ (ผลผลิตในประเทศ) ไม่เท่ากับ เงินที่มีอยู่ในประเทศ เช่น บ้านเราผลิตสินค้าต่างๆ มูลค่า ปีละ 2 ล้านล้านบาท แต่เมื่อเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ รัฐบาลก็กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการ พิมพ์ธนบัตร หรือ ออกพันธบัตร เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนมากขึ้น อาจจะมีเงินหมุนเวียนถึง 3 ล้านล้านบาท (ตัวเลขนี้สมมุติให้ดูแค่นั้นนะครับ) แต่ความจริงแล้ว ปริมาณเงินที่มีอยู่นั้น มากกว่าความสามารถในการผลิตจริง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การนำเงินในอนาคตมาใช้ก่อน นี่เองคือปัญหาของการเกิดสภาวะเงินเฟ้อ แต่สำหรับวิธีการที่ผมแนะนำไปนั้น เงินที่ไหลเข้ามา เกิดจากการขายสินค้าไปยังต่างประเทศ ซึ่งสะท้อนมูลค่าของเงินจริง ดังนั้น แทนที่จะเกิดสภาวะเงินเฟ้ออย่างที่ท่านกังวล กลับช่วยป้องกันไม่ให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อได้อีกต่างหากครับ .. จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ - [ 19 ก.ค. 50 09:16:22 ]

ความคิดเห็นที่ 13 fix ค่าเงินบาทต่อดอลล่าห์ เดี๋ยวก็พังแบบเดิม ตอนนี้เปลี่ยนเป็น float แล้ว มาเสนอให้เปลี่ยนเป็น fix  แสดงว่ายังไม่เข็ด พิมพ์ธนบัตรใช้ตามอำเภอใจ เดี๋ยวก็ได้เห็นเงินเฟ้อแบบเงินกีบ ตัวอย่างมีให้ เห็นเยอะแยะ ประเทศที่พิมพ์ธนบัตรใช้เป็นว่าเล่นผลลัพธ์เป็นอย่างไร เสนอให้เอาดอลล่าห์มาใช้ในท้องถิ่น แล้วจะไปเอาธนบัตรดอลล่าห์ที่ไหนมา ใช้อย่างพอเพียง  การจะมีดอลล่าห์ได้ มันต้องขายของให้กับอเมริกาได้ แล้วขอรับเป็นเงินสด แล้วต้องขายเท่าไหร่ถึงจะมีธนบัตรดอลล่าห์ไว้หมุน เวียน  คงไม่เสนอให้มีการพิมพ์ธนบัตรดอลล่าห์ออกมาใช้เองนะครับ เป็นไปไม่ได้เลยในทางปฏิบัติ จากคุณ : นิแรน - [ 20 ก.ค. 50 11:19:55 ]

ความคิดเห็นที่ 14 .. ตอบคุณนิแรน ครับ ธนบัตรดอลล่าร์ ก็มาจากคนที่ขายของให้สหรัฐแล้วขอรับเป็นเงินสด ถูกต้องครับ เอาเงินส่วนนั้นแหละครับมาใช้จ่ายในประเทศก่อน เงินส่วนนี้จะค่อยๆ เข้ามา แรกๆ อาจจะมีจำนวนไม่มาก ไม่กี่ดอลล่าร์ ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ใครมีเงินบาทก็ใช้เงินบาทไป ใครส่งออกได้เงินดอลล์ ก็เอาเงินดอลล์เข้ามาใช้ ไม่มีผลกระทบอะไรอยู่แล้วนะครับ วิธีที่ผมเสนอ หากอ่านดูดีๆ  ไม่ใช่ fix และ ไม่ใช่ float แต่เป็นลูกผสม ระหว่าง fix กับ float fix ที่ธนบัตรดอลล่าร์ มูลค่า fix ไว้ที่ 35 ( หรือ เท่าไหร่ก็ได้ที่คิดว่าดี) float สำหรับเงินที่เข้ามาเพียงแค่มูลค่าทางบัญชี (ประเภทโอนเงินเข้ามาซื้อหุ้น หรือลงทุน ที่ไม่ได้ใช้ธนบัตรโดยตรง) .. จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ - [ 20 ก.ค. 50 18:29:08 ]

ความคิดเห็นที่ 15 จขกท คงลืมไปแล้วกระมังครับว่าเวลาเราขายของให้สหรัฐเราได้ดอลล่าห์ เข้ามาจริง  แต่เวลาเราซื้อของจากสหรัฐเราก็ต้องจ่ายเป็นดอลล่าห์เหมือน กัน  ดังนั้น ดอลล่าห์ที่เรามีอยู่ในมือจะเป็นจำนวนสุทธิของจำนวนสินค้าที่ ขายได้หักซื้อมา ซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก บางครั้งถ้าขาดดุลการค้าก็แสดงว่า ดอลล่าห์ในมือติดลบ ต้องไปกู้เงินดอลล่าห์มาจ่ายแทน ผมมีเพื่อนอยู่บราซิลคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ช่วงเวลาประมาณ 1984 - 1992 บราซิลมักง่ายพิมพ์แบงค์เพิ่มเองตามใจชอบ จนเกิด hyperinflation ได้เงินมาปุ๊บต้องใช้ให้หมดภายในสองวัน เรียกได้ว่าเงินไม่มีค่า จนกระทั่งรัฐบาลต้องยกเลิกเงินเก่า ทั้งหมด แล้วประกาศใช้เงินสกุลใหม่ เรียกว่า Real โดย fix กับดอลล่าห์เอาไว้  ปัจจุบันบราซิลมีรายได้ต่อหัวสูง กว่าไทยรวมทั้งอาร์เจนติน่าด้วย การแก้ปัญหาค่าเงินที่แท้จริง ต้องแก้ที่เศรษฐกิจภายในประเทศ  เศรษฐกิจ ระหว่างประเทศ เราไม่ได้ค้าขายกับสหรัฐประเทศเดียว ถ้าค่าเงินสัมพัทธ์ ของแต่ละประเทศไม่เท่ากัน (parity exchange rate) เช่น บาทต่อดอลล่า ห์ ดอลล่าห์ต่อยูโร บาทต่อยูโร ก็จะมีคนที่ทำกำไรจากส่วนต่างของอัตรา แลกเปลี่ยนที่ไม่สมดุล เรียกว่า arbitrager รัฐบาลนี้ประกาศตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่สนใจ GDP ซึ่งเป็นวัดความเจริญรุ่งเรือง ทางเศรษฐกิจ แต่สนใจ GPH ซึ่งเป็นตัววัดความสุขของประชาชน โดยลืมไป ว่า ประชาชนจะมีความสุขก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจดี  ถึงพร้อมด้วยปัจจัยสี่ กินข้าว อิ่มทุกมื้อ มีที่นอน มีเสื้อผ้าใส่ มียาทานตอนเจ็บป่วย ผมว่าถึงเวลาที่พวกกู้ชาติต้องแสดงความสามารถแล้ว หลังจากที่ทำให้ ประเทศล่มจมไปจริงๆ จากคุณ : นิแรน - [ 20 ก.ค. 50 22:23:02 ]

ความคิดเห็นที่ 16 .. ใช่ครับคุณนิแรน ที่ว่า จะแก้ปัญหาให้ถูกจุด ต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ และในประเด็นที่ว่า เราขายสินค้าให้อเมริกา ได้เงินเป็นดอลล่าร์ เราซื้อสินค้า เราก็ซื้อด้วยเงินดอลล่าร์ ก็เป็นไปตามกลไกปกติอยู่แล้วนะครับ (ซึ่งแน่นอนว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลล่าร์ มีผลทำให้เราซื้อสินค้า หรือวัตถุดิบจากอเมริกาได้น้อยลง) แต่ในประเด็นที่ผมเสนอนั้น เมื่อนำเงินดอลล่าร์เข้ามาใช้ในประเทศ จะช่วยให้ผู้ส่งออก สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยที่ไม่ขาดทุนจากการนำเงินดอลล่าร์มาแลกเป็นเงินบาท แล้วนำเงินบาทมาจ่ายค่าแรง จ่ายค่าวัตถุดิบในประเทศ .. จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ - [ 21 ก.ค. 50 14:01:21 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อ่ะ มาตามสัญญาแล้วจ้ะ ;) โทษทีนะ ที่มาช้าง่ะ (และแถมมาได้ไม่นานอีกตะหาก อาจจะพูดไม่หมดที่อยากพูดน้า) สำหรับเรื่องเงินเฟ้อ ที่ เรากล่าวไปคร่าวๆตอนแรก เราก็หมายถึง ถ้าสมมติ ประเทศไทย รับ เอาเงินดอลล่าร์ มามากๆ ถ้าสมมติ อเมริกา พิมพ์ แบงค์ออกมามากๆ คือ แบบว่า จริงอยู่ว่า ดอลล่าร์ สรอ. เป็นสินทรัพบ์ที่ใช้ยึดถือได้พอสมควร แต่ยังไง ตอนนี้ อเมริกา ก็เลิกยึดถือมาตรปริวรรตทองคำไปแล้ว ตอนนี้ใช้ความเชื่อถือล้วนๆ เค้ามีสิทธิ์ที่จะพิมพ์ธนบัตรออกมามาก(เราไม่แน่ใจว่าเขายังใช้นโยบายนี้กันได้รึเปล่านะ) ถ้าสมมติเขาต้องการใช้นโบบายการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการพิมพ์ดอลล่าร์เพิ่ม ค่าเงินดอลล่าร์ที่เราถืออยู่ก็จะเสื่อมค่าลงทันทีอ่ะ หรือถ้าดูจากที่เห็นๆกันง่ายๆขณะนี้ก็คือ ค่าเงิน ดอลล่าร์ ตอนนี้ อ่อนลงเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ค่าของดอลล่าร์ เมื่อเทียบกับสกุลอื่นๆ ก็จะน้อยลง เงินดอลล่าร์ในมือของทุกคนก็จะลดลงทันใดเลยอ่ะ อีกเรื่อง ก็เป็นปัญหาเรื่อง การfixed และ float ผสมกัน จะทำ ให้เกิดโอกาสในการค้ากำไร(arbitrage opportunity)ขึ้นได้อ่ะ โอย ตรงนี้อธิบายยาวแฮะ ตัวอย่างสั้นๆเลยก็ อย่าง สมมติ ของ ราคา 35 บาท แน่นอนอยู่แล้ว ที่ว่า คนย่อมต้องจ่ายเป็นดอลล่าร์อยู่แล้ว ถึงไม่มีดอลล่าร์ ผู้ค้ากำไร (arbitrageur)ก็จะเอา 33 บาท ของตัวเอง ไปแลก ดอลล่าร์มา เพื่อจะจ่ายซื้อของ นั้นๆ ก็จะสามารถซื้อของ นั้นๆได้ในราคาเพียง 33 บาท นอกไปจากนี้ อาจจะถึงขนาด ขายของแข่งกับ ผู้ผลิตเลยด้วยซ้ำ เพราะกำไร ที่เขาได้มา แทบไม่มีต้นทุนเลย เขาสามารถขายของได้ ในช่วงราคา 33-35 บาท ผู้ผลิตก็จะลดราคา เช่นสมมติ ลด ไป 33 บาท เพื่อให้ไม่เสียเปรียบในสงครามราคา แต่แล้ว แต่ 33 บาท เมื่อเทียบกับอัตราfixed ณ 35 บาท แล้ว ก็ไม่ถึง ดอลล่าร์ ผู้ค้ากำไร (arbitrageur) ก็จะแลก เงินไม่ถึง 33 บาท เพื่อแลกเงินที่ไม่ถึงดอลล่าร์ เอาไปซื้อ ของราคา 33 บาท และไปขายในราคาไม่ถึง 33 บาทอีกต่อหนึ่งอ่ะ สุดท้าย แล้ว ทางออกของ ผู้ขาย คือ เลิกรับของเป็นเงินดอลล่าร์ เพราะ ไม่มีความเชื่อมั่นในเงินดอลล่าร์ ปัญหาที่เกิดโดยสรุปๆ คือ ใครจะเป็นผู้รับความเสี่ยง ยอมรับเงินดอลล่าร์ แทนบาทอ่ะ คือเงินมันต้องหมุนเป็นระบบเลยอ่ะ ตั้งแต่ต้นน้ำไปปลายน้ำ ถ้ามีคนนึง ที่ไม่อยากรับดออล่าร์ ขึ้นมา ก็จะเป็นปัญหา ตลอดสายเลย รัฐ อาจจะเป็นผู้รับดอลล่าร์เอง แต่รัฐต้องทำอุตสาหกรรมต้นน้ำเองทั้งหมด หรือ อาจจะรับ ในอุตสาหกรรม ที่เป็นต้นทุนที่สำคัญเช่น น้ำมัน แต่จริงๆ น้ำมัน ส่วนบวกก็ไม่เท่าไหร่นะ เราว่า ธุรกิจ ที่เกิดปัญหา เกิดจากสู้ ราคาวัตถุดิบไม่ไหว หรือ ค่าแรง มากกว่าอ่ะ ซึ่ง ถ้าลองมองขยายไป(เท่าที่เราลองมองดูนะ) อาจจะมีการ นำเข้า"ปลอมๆ" เพื่อจะเอาดอลล่าร์เข้ามา เก็งกำไรจากส่วนต่าง arbitrage ที่บอกอ่ะ แต่ตรงส่วนนี้ จะขยายผลไปเป็น การเก็งกำไร การโจมตี คือ speculation อ่ะ แต่จริงๆ เราต้องขอชม คุณ จขกท นะ ว่า ช่วยๆกันคิดยังงี้อ่ะดีแล้ว จะได้มาดูว่า เรามีนโยบายไหนที่จะใช้ มีข้อดี ข้อเสีย ยังไง จะได้เปรียบเทียบได้ สนับสนุนจ้ะ (นี่เรายังแอบเก็บเอาไปพิจารณา ข้อดี ข้อเสีย อย่างเป็นจริง เป็นจังเลยอ่ะ ขอบอกๆ อิอิ) และเมื่อเอาไปประกอบกับความคิดเห็นที่8 อืม จริงๆ แบบอย่างพวก UN เขาก็จ่ายเงินเดือน เป็น US$ เหมือนกัน ถ้าสมมติ เราจะประยุกต์ ใช้ ก็อาจจะเป็นวิธีการ ผลักภาระให้แรงงาน โดยจ่ายเป็นดอลล่าร์ไปเลย อาจจะไม่ดี ที่เป็นการผลักภาระไปสู่ผู้ด้อยกว่า แต่อีกนัยหนึ่ง ก็จะเป็นการทำให้ชาวบ้านตื่นตัวที่จะรู้เรื่องความเคลื่อนไหวความเป็นไปต่อตนเอง ไม่งั้นเค้าก็อาจจะเกิดความไม่มั่นใจต่อสวัสดิภาพ เหมือนโดนไล่ออก โดยไม่รู้สาเหตุ หรือ ถ้า อีกวิธี ก็ตั้งเป็นนิคมอุตสาหกรรมเลยอ่ะ ปัจจัยสี่ ก็ทำเป็นระบบดอลล่าร์ให้หมด ตรง รักษาโรค อาจจะยากนิดนึง อาจจะ เหมา เป็นเรื่อง ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต ประกันภัยไปเลยอ่ะ แต่ไม่ว่าจะวิธี ใด คงต้องหารือ เป็นการใหญ่อีกทีอ่ะจ่ะ เพราะผลข้าวเคียง มันก็มีเยอะพอสมควรเนอะ (แก้กันวุ่นทีเดียวแหละ) ป.ล. ปกติเราใช้สีเขียวน้ำทะเลเหมือนกันน้า :p แต่เพื่อไม่ให้ซ้ำกัน(สับสน) เราใช้สีด่างทับทิมละกัน อิอิ จากคุณ : วัยซนฯ - [ 22 ก.ค. 50 22:28:25 A:124.121.0.220 X: TicketID:075904 ]