บันทึกการลงทุน 23 มิถุนายน 2545

ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลดลงไปประมาณ 30 จุดกว่าๆ  ทั้งนี้เป็นเพราะโดนดกดันจากการแรงขายของนักลงทุนต่างชาติตลอดทั้งสัปดาห์ (17 – 21 มิ.ย. 45) โดยการออกข่าวเรื่องสงครามกับอิรัก  และเศรษฐกิจของอเมริกามีแนวแนวโน้มไม่ค่อยจะสดใส  จากตัวเลขการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด  และการขาดดุลการค้ามากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้  ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในอเมริกา  แล้วก็ส่งผลกระทบต่อไปยังตลาดหุ้นสำคัญของโลกต่อไป  ซึ่งไทยก็ไม่ยกเว้น  ดังนั้นนักลงทุน  และนักเก็งกำไรจึงขายหุ้นออกมา  แล้วหันไปเก็งกำไรในทองคำแทน  จนส่งผลให้ราคาทองคำในตลาดโลกสูงขึ้นที่สุดในรอบกว่า 50 เดือน  โดยราคาอยู่ที่ประมาณ 530 $

SET ตลอดทั้งสัปดาห์ลดลงไปกว่า 30 จุด  คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ประมาณ 8 % โดยเกิดจากผลกระทบจากหุ้นในกลุ่มหลักที่มี Market Cap. ขนาดใหญ่  ได้แก่ ธนาคาร  เงินทุน  สื่อสาร  ก่อสร้าง  พลังงาน  และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  จากผลนี้ทำให้นักลงทุนรายย่อยไทยติดหุ้นเป็นจำนวนมาก

สำหรับหุ้นผลกระทบทางด้านราคามากสุด  ส่วนใหญ่เป็นหุ้น Market Cap. ขนาดใหญ่  ที่พวกต่างชาตินิยมเข้ามาถือกันมาก  แต่หุ้นบางตัวที่อยู่ในกลุ่มอื่นๆ ได้รับผลกระทบน้อยมาก  หรือบางที่ก็ไม่ได้รับผลกระทบเลย  โดยหุ้นเหล่านี้  เป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติไม่ค่อยสนใจ  ทั้งนี้เป็นเพราะว่าเป็นที่มี Market Cap. ไม่ใหญ่   มีสภาพคล่องต่ำ  เนื่องจากมีนักลงทุนไทยเก็บหุ้นเอาไว้จึงไม่ได้มาหมุนเวียนในตลาด  และส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่กิจการมีพื้นฐานแข็งแกร่ง

ส่วน Portfolio ของเราก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน  แต่ก็ไม่รุนแรงเท่ากับ SET คือลดลงไปประมาณ 3 % โดยก่อนหน้านั้นก็เพิ่มขึ้นไปประมาณ 16%  ดังนั้นจึงยังมีส่วนเกินอยู่ประมาณ 13 %  โดยเทียบกับ SET ที่ก่อนหน้านั้นเพิ่มขึ้นไปประมาณ 9 % แต่ต่อมาลดลงไปประมาณ 8% ซึ่งมีส่วนเกินเพียงแค่ประมาณ 1 % เท่านั้น  ซึ่งเท่ากับว่าในช่วงที่ผ่านมาผลตอบแทนของเราดีกว่า SET พอสมควร

ใน Portfolio ของเรามีหุ้นขนาดเล็ก – กลางเป็นส่วนใหญ่  และประมาณ 60 % เป็นหุ้นที่ต่างชาติไม่นิยม  และจัดเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี  ก็เลยทำให้ราคาหุ้นเปลี่ยนแลงน้อยมาก  ทั้งในขาขึ้นและขาลง  ก็คือความเสี่ยงต่ำ  และผลตอบแทนก็ต่ำด้วย  แต่ยามตลาดหุ้นซบเซา  หุ้นพวกนี้จะมีภาษีดีกว่า

สำหรับหุ้นอีกกลุ่มใน Port ของเรานั้น  เป็นหุ้นที่มี Market cap. ขนาดใหญ่  หรือเป็นหุ้นที่ต่างชาตินิยมถือ  เช่น CPF   PTT  และ SATTEL  นอกจากต่างชาตินิยมแล้ว  นักลงทุนไทยก็นิยมเข้ามาเทรดด้วยเช่นกัน  โดยหุ้นเหล่านี้ราคาลดลงไปพอสมควร  มากบ้างน้อยบ้าง  จนส่งผลให้มูลค่า Port ของเราลดลงตามราคาไปด้วยเช่นกัน  แต่โดยรวมก็ลดลงไม่มากเท่ากับ SET

สำหรับการปรับตัวลดลงในคราวนี้  สร้างความตกใจให้แก่นักลงทุน  และนักเก็งกำไรชาวไทยพอสมควร  โดยเฉพาะมือใหม่ที่เข้ามาซื้อตอน SET Index อยู่ที่ประมาณ 428 จุด  พอตกใจก็พลอยทำให้เทขายตามต่างชาติไปด้วย  เลยยิ่งไปทำให้ SET ลงแรงและเร็ว   ทั้งนี้ในความคิดของเรา  กลุ่มคนที่ได้ผลตอบแทนในรอบนี้เป็นต่างชาติ  และนักเก็งกำไรรายใหญ่  โดยพวกเขาไล่ซื้อตั้งแต่ดัชนีตลาดยังต่ำๆ  พอถึงจุดอิ้มตัว  และไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามา  พวกนี้คิดว่าการดัน SET ให้ขึ้นไปมากกว่านี้เป็นเรื่องยาก  เพราะว่าตามธรรมชิตแล้วจะมีแต่ขึ้นโดยไม่มีจุดสิ้นสุดของรอบนั้นเป็นไปไม่ได้  ก็เลยต้องขายที่บนยอดของรอบ  ซึ่งคนที่เข้าไปรับเป็นทอดๆ ก็เข้าตามทฤษฎี Greater fool (ซื้อสูงแล้วยังมีสูงกว่าไปเรื่อยๆ จนสูงที่สุด ซึ่งก็คือคนที่ถือราคาสูงสุด)  ใครอยู่บนยอดดอยก็จะได้รับผลกระทบมากที่สุด  ซึ่งหากใครรู้จัก Cut Loss ย่อมสามารถลดความเสียหายให้อยู่ในวงจำกัดได้   เมื่อ SET ปรับตัวลงมาถึงระดับที่คนในตลาดเห็นว่าเหมาะสมก็จะเข้ามาเก็บหุ้นใหม่อีกครั้ง  ซึ่งก็จะเป็นการเริ่มต้นของรอบใหม่  ทั้งนี้รอบของการเล่นนั้นมีระยะเวลาสั้น – ยาวไม่แน่นอน  โดยขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทั่วไปด้วย  เช่น เศรษฐกิจ  การเมือง  สังคม  และเทคโนโลยี

-----------------------------------------------------------

หลังจากนั้น 26 มิ.ย. 2545   SET Index ก็ลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 382 จุด  ซึ่งรวมแล้วลงจากจุดสูงสุดของรอบนั้นกว่า 40 จุด

สุดท้ายความกลัว  และกังวลต่างๆ นาๆ ก็ผ่านไป  จำได้ว่าปีนั้นสิ้นปี  มูลค่าของ Port ผมเพิ่มขึ้นประมาณ 65 % เมื่อเทียบกับปี 2544

ปล.พอดีวันนี้หยิบเอาบันทึกของปี 2545 มาอ่าน  แล้วเจอกับสถานการณ์คล้ายๆ กันกับขณะนี้  เลยอยากหยิบมาให้คนอื่นๆ ได้อ่านกัน  สุดท้ายแล้วสิ่งที่กำลังเผชิญก็ผ่านไป  และกลายเป็นอดีต  ซึ่งหลายคนผ่านแล้วก็ผ่านไป  ไม่ได้อะไรจากสิ่งต่างๆ ที่ได้เผชิญมา

จากคุณ : Golden Stock - [ 10 ส.ค. 50 14:54:04 ]