ความคิดเห็นที่ 45
ไหนลองโพสต์ข่าวบ้าง
บี้สรรพกรพื้นที่ล้วงภาษีอุดเป้า สรรพากรพื้นที่เร่งสนองนโยบายอุดช่องจัดเก็บรายได้จากภาษี หลังเห็นสัญญาณปีงบประมาณ 2550 และปี 2551 จัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าแน่ ตามโฟกัสธุรกิจกลุ่มเสี่ยงโดยตรวจแบบผู้เสียภาษีละเอียดยิบ ทั้งธุรกิจนำเข้าส่งออก ค้าทองคำ อัญมณี ศานิต"ให้นโยบาย ออกแรงแล้ว ต้องได้เงินเพิ่ม แต่ไม่ใช่การทำ ภาษีขอ ผู้บริหารระดับสูงสรรพากรยอมรับวิตกสถานการณ์ปิดโรงงานและการว่างงานลามถึง 1 ล้านคน กระทบต่อเป้าหมายจัดเก็บรายได้ปี 2551
จากตัวเลขการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2550 (ตุลาคม 2549-กรกฎาคม 2550) ภาครัฐจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการอยู่ 234 ล้านบาท แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน
65,435 ล้านบาท สาเหตุหลักของการเก็บภาษีต่ำกว่าเป้า ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากค่าเงินบาท การคืนภาษีของกรมสรรพากรที่สูงกว่าเป้าหมาย ซึ่งคาดการณ์ว่าการจัดเก็บรายได้รัฐบาลในปีงบประมาณ 2550 จะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในเอกสารงบประมาณไม่เกิน 1.5%
ในขณะเดียวกันเป็นที่วิตกว่าสถานการณ์ของค่าเงินที่มีผลกระทบต่อการปิดโรงงาน และการว่างงานจากการเลิกจ้าง จะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่มีผลต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปี 2551 ซึ่งจากการที่ ฐานเศรษฐกิจ ตรวจสอบไปยังสรรพากรพื้นที่ก่อนปิดหีบปีงบประมาณ 2550 พบว่าขณะนี้แต่ละพื้นที่เร่งรับนโยบายในการดำเนินการกับกลุ่มธุรกิจที่มีความเสี่ยง และกลุ่มที่มีการขอคืนภาษีเพิ่มขึ้น
แหล่งข่าวระดับสูงจากกรมสรรพากร เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า หลังจากที่ นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร ได้มอบหมายนโยบายการจัดเก็บรายได้ให้กับสรรพากรพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ โดยกำชับให้มีการตรวจแบบผู้เสียภาษีอย่างละเอียดมากขึ้น หากพิจารณาดำเนินการเข้าไปตรวจแบบภาษีธุรกิจรายใดแล้ว ควรที่จะต้องได้เม็ดเงินภาษีกลับคืนมาเพิ่มขึ้นด้วย ตามนโยบาย "ออกแรงแล้ว ต้องได้เงินเพิ่ม และลดค่าใช้จ่ายลง"
ขณะนี้สรรพากรทุกพื้นที่ได้คัดเลือกลุ่มธุรกิจเสี่ยงของตัวเองขึ้นมา แล้วเข้าไปตรวจแบบภาษี โดยเฉพาะกิจการที่มีการยื่นขอคืนภาษีที่มากกว่าปกติ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นธุรกิจที่ประกอบกิจการเกี่ยวเนื่องกับการนำเข้าและส่งออก เช่น ธุรกิจค้าทอง ธุรกิจอัญมณี ธุรกิจสิ่งทอ และธุรกิจประเภทซื้อมาขายไป ที่เข้าข่ายการทำธุรกิจแบบถ่ายโอนราคาระหว่างกัน(ทรานเฟอร์ไพรซิ่ง) เป็นต้น
"พวกขอคืนภาษีทุกรายที่ส่งเอกสารมาไม่ครบ เราจะไม่คืนภาษีให้ จนกว่าจะมีการตรวจสอบแล้ว พวกนี้หัวใสชอบแจ้งขอคืนมากกว่าความจริง และแกล้งส่งเอกสารไม่ครบ แต่บางรายก็มีบ้างที่ไม่จงใจ แต่ต้องถือว่าเรื่องนี้เป็นปัญหามาตลอด เช่นเดียวกับการขอคืนภาษีลูกกตัญญู ที่ตอนหลังต้องดึงไว้ตรวจทุกราย เพราะลูกทุกคนอ้างสิทธิ์กันหมด ทำให้เป็นการขอคืนแบบซ้ำซ้อน"
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่าโดยปกติทางกรมสรรพากรจะดำเนินการสุ่มตรวจแบบของผู้เสียภาษีเป็นบางราย แต่ขณะนี้จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง จนส่งผลกระทบให้การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรต้องลดลงไปด้วย ทำให้ต้องเพิ่มแนวปฏิบัติเป็นการพิเศษเพิ่มเติม ด้วยการให้สรรพากรทุกพื้นที่คัดเลือกกลุ่มเสี่ยงที่จะหลบเลี่ยงภาษีขึ้นมาเองตามสภาพความเป็นจริงของแต่ละพื้นที่ แล้วเข้าไปดำเนินการตรวจแบบการเสียภาษีก่อนที่จะเข้าสู่ระบบขั้นตอนปกติ หากพบว่า มีการหลบเลี่ยงภาษี หรือจัดทำบัญชีไม่ถูกต้อง ก็จะทำการประเมินเพื่อเรียกให้มีการเสียภาษีเพิ่มขึ้นตามความเป็นจริง
อย่างไรก็ตามต่อกรณีการเร่งเรียกเก็บภาษีนั้น แหล่งข่าวจากกราสรรพกรกล่าวย้ำว่า นายศานิต ได้กำชับให้สรรพากรทุกพื้นที่ดำเนินการตามความเป็นจริงเท่านั้น ไม่ใช่การประเมินภาษีเพิ่มแบบไม่มีเหตุผล หรือการทำ "ภาษีขอ" เหมือนช่วงก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ เชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าว น่าจะสามารถทำให้กรมสรรพากรจัดเก็บรายได้ได้เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังไม่น่าจะเพียงพอกับเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะในส่วนของธนาคารพาณิชย์ที่ต้องมีกำไรลดลงจากการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นตามมาตรฐานของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)อยู่แล้ว
ขณะที่นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี ผู้จัดการห้างทองจินฮั้วเฮงและนายกสมาคมผู้ค้าทองคำ กล่าวยอมรับว่า ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมานี้ ยังมีผู้ประกอบการค้าทองคำทั้งรายใหญ่และรายเล็กที่ถูกกรมสรรพากรเรียกไปคุยให้เพิ่มยอดขายให้มากขึ้น เพื่อที่จะนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น จากเมื่อต้นปีนี้ที่ผู้ประกอบการร้านค้าทองเคยถูกกรมสรรพากรเรียกไปคุยแล้วครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ยอดขายของร้านค้าทองคำชะลอลง และส่งภาษีได้น้อยกว่าในช่วงที่ผ่านมาๆ ทำให้สรรพากรต้องไล่เบี้ยผู้ประกอบการให้เสียภาษีให้มากขึ้น
ทางด้านนายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวยอมรับว่าการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรในปีงบประมาณ2550 นี้ จะต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ เป็นผลมาจากภาษีที่จัดเก็บจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ลดลงจากการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)
แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับที่ได้มีการคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่สิ่งที่ยังน่าเป็นห่วง คือการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2551 ที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในปี 2550
อย่างไรก็ดีหากในปี 2551 ภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นและสถานการณ์ทางการเมืองไม่มีปัญหาแล้ว คาดว่า
ภาวะการลงทุน การจ้างงาน และการบริโภคจะมีการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นและจะทำให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งกรมสรรพากรก็ยังคงเน้นในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีให้เป็นไปอย่างถูกต้อง เป็นธรรมและให้มีการเสียภาษีตามความเป็นจริงให้มากที่สุดส่วนการออกมาตรการในเรื่องภาษีนั้นถือเป็นงานด้านนโยบายที่รัฐบาลใหม่จะเป็นผู้พิจารณา
นายช.นันท์ เพ็ชญไพศิษฏ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายได้ เปิดเผย ว่าจากสถานการณ์การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลล่าสุด ยอมรับว่า การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2550(ต.ค.49-ก.ย.50) ที่เหลือระยะเวลาอีกประมาณเดือนเศษ รัฐบาลจะจัดเก็บรายได้ได้ต่ำกว่าเป้าหมายไม่เกิน 2% หรือคิดเป็นเม็ดเงินไม่เกิน 30,000 ล้านบาท จากการคาดการณ์รายได้ที่ตั้งไว้ทั้งสิ้น 1,420,000 ล้านบาท โดยที่จะไม่มีการปรับปรุงโครงสร้างอัตราภาษี เพื่อสร้างรายได้ของรัฐบาลให้เพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด
ทั้งนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้ ไม่ใช่เพียงการปิดกิจการของธุรกิจต่างๆเท่านั้น แต่ปัญหาใหญ่ของเรื่องนี้ คือ จำนวนการว่างงานที่จะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากรายได้ภาษีจากการจับจ่ายใช้สอย หรือภาษีจากการบริโภค ของแรงงานเหล่านี้ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร และเมื่อกรมสรรพากรถือเป็นหน่วยงานหลักในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในอัตรากว่า 80% จึงน่าที่จะถูกกระทบจากเรื่องนี้อย่างมาก ซึ่งหากเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในระยะนี้ อาจส่งผลให้มีผู้ตกงานถึง 1 ล้านคน ก็จะถือเป็นปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจและการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลมาก
อนึ่ง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2550 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 1,130,375 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 234 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.02 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 6.1) เป็นผลจากกรมสรรพากรจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท และการคืนภาษีของกรมสรรพากรที่สูงกว่าเป้าหมาย ในขณะที่รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้สูงกว่าประมาณการและรัฐบาลได้รับรายได้พิเศษจากส่วนเกินการจำหน่ายพันธบัตร โดยในส่วนของกรมสรรพากร จัดเก็บได้รวม 869,788 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการตามเอกสาร งบประมาณ 8,671 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.0 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 6.7) ภาษีที่เก็บได้ต่ำกว่าประมาณการที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 20,325 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.3 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 3.9) เป็นผลจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าลดลง
อย่างไรก็ดี ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคในประเทศยังมีการขยายตัวสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 9.2 นอกจากนี้ภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 1,979 ล้านบาท ส่วนภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 7,083 และ 6,706 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.4 และ 4.2 ตามลำดับ (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 21.0 และ 14.1 ตามลำดับ)
http://www.thannews.th.com/detialNews.php?id=T0122443&issue=2244
จากคุณ :
GABLIEL
- [
17 ส.ค. 50 14:17:39
]
|
|
|