ความคิดเห็นที่ 26
15 มิย.2550 .... ทำไมสถิติใช้กับการเล่นสั้นไม่ได้?
เมื่อวานนี้ผมได้โพสต์คำถามไว้ในเวปบอร์ดว่า ทำไมสถิติใช้กับการเล่นสั้นไม่ได้? เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่ยาก แต่พวกเราไม่เคยได้คิดกัน ข้อมูลพื้นฐานที่ต้องใช้ก็คือราคาปิด หรือดัชนีปิดที่เราเห็นอยู่กันทุกวัน วันนี้ผมจะเอาตัวดัชนี(SET)มาใช้อธิบาย
SET นั้นขึ้นลงทุกวัน ในตารางหุ้นก็มีข้อมูลชื่อว่า "เปลี่ยนแปลง" และ "เป็นเปอร์เซนต์" ให้ดูกันทุกวัน เจ้าตัวแรกคือการเพิ่มขึ้นหรือลดลง(เป็นจุด)ของดัชนีปิดวันนี้ เทียบกับดัชนีปิดเมื่อวานนี้ ส่วน เจ้าตัวที่สองก็คือ การเปลี่ยนแปลงที่คิดเป็นเปอร์เช็นต์ของราคาปิดเมื่อวานนี้ เราจะเอาตัวใหนมาใช้ก็ได้ เพราะเราสนใจแค่ทิศทางของมัน
การทำนายทิศทางหุ้นแบบที่ง่ายที่สุดคือ การนับความถี่ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ในเรื่องของทิศทางของ SET นี้มันมีได้ 3 กรณี คือ ขึ้น, ลง, เท่าเดิม อย่างนี้เราก็ตั้งตัวแปรขึ้นมา 3 ตัว คือ Up, Down, Equal ทั้ง 3 ตัวนี้เราต้องเซทค่าให้เป็น 0 เอาไว้ แล้วก็ให้โปรแกรมมันดูข้อมูล SET ตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ n-1 ถ้าวันนั้นดัชนีขึ้น เราก็เอา 1 ไปบวกเข้าที่ Up แต่ถ้าวันนั้นดัชนีมันลง เราก็เอา 1 ไปบวกเข้าที่ Down และถ้ามันไม่เข้าข่ายสองกรณีข้างบน มันก็ต้องเป็นกรณีเท่าเดิม อย่างนี้ก็ให้เอา 1 ไปบวกที่ Equal
ครับ, โปรแกรมอย่างนี้เขียนได้ในเวลา 5-10 นาที และใช้เวลาวิ่งไม่ถึง 1 วินาที และก็จะได้ผลดังนี้
Up=3958, Down=3855, Equal=73 (ข้อมูลที่ใช้คือ SET ตั้งแต่เปิดตลาด มาจนถึงวันที่ 25 พค.2550)
จากนั้นเราก็เอา Up,Down, Equal มาบวกกัน แล้วเอาไปหารแต่ละตัว มันก็จะได้ค่าที่เรียกว่า "โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ในแต่ละกรณี" หรือที่ฝรั่งเรียกว่า "Probability of Occurances" ซึ่งมีค่าดังนี้
ProbUp=0.5019, ProbDown=0.4888, ProbEqual=0.0093
จากตารางอันนี้ เราจะเห็นได้ว่า โอกาสที่จะเกิด Up นั้นมีมากที่สุด อย่างนี้เราก็ทำนาย(มันทุกวันเลย)ว่า หุ้นจะขึ้น ซึ่งผมก็เชื่อว่ามันจะทำนายได้ถูกต้องมากกว่าผิด
แต่....การใช้สถิติแบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือ?
หลายๆคนอาจบอกว่าผิด เพราะ หุ้นนั้นมีขึ้นแล้วก็มีลง ทำนายอยู่ด้านเดียว ถ้าผิด ไม่ช้ามันก็กลับมาถูกต้องจนได้ และคำแนะนำแบบนี้มันซื่อบื่อ มันไม่เข้าท่า และเป็นที่น่ารังเกลียด.....
ครับ, จริงๆแล้ว การทำนายแบบนี้ไม่ผิด แถมยังจะให้กำไรแก่นักลงทุนด้วยซ้ำไป แต่ มันหมายความว่า คุณต้องซื้อหุ้น(ที่มั่นคง)เอาไว้ แล้วถือไปนานๆ นานเป็นสิบๆปีเลยทีเดียว คุณจะได้ทั้งเงินปันผล และได้จากราคาที่เพิ่มขึ้น
แต่นั่นใช้ไม่ได้กับนักลงทุนที่ซื้อๆขายๆเป็นรอบ 1-3 วัน
เมื่อวิธีการที่ง่ายๆ มันใช้ไม่ได้ เราก็ต้องใช้หลักสถิติที่สูงขึ้น คือต้องมองว่า ทิศทางของ SET หรือ ราคาหุ้น นั้นเป็น Time Series Function หรือคือ ตัวเลขที่เราเก็บเป็นจุดๆ บนสเกลของเวลาที่ห่างเท่าๆกัน เรามักจะเขียนเป็นสัญญาลักษณ์ว่า SET(t), SET(t+1), SET(t+2),.... แล้วเราก็ไปเก็บสถิติของข้อมูลอื่นๆ ตามจุดของเวลาที่ตรงกัน แล้วก็มาหาค่า "ความสัมพันธ์" หรือที่ฝรั่งเรียก "Correlation" แล้วใช้ความสัมพันธ์จากข้อมูลตัวอื่นๆเหล่านั้นมาทำนายทิศทางของ SET หรือ ราคาหุ้น
เรื่องอย่างนี้ฝรั่งค้นคว้ากันมาแยะแล้ว อย่างเช่น คุณ Borg และคุณ Jenkin เขาบอกว่าดัชนีของวันนี้ เป็น linear function ของดัชนีย้อนหลังไป 1-7 วัน เขาเขียนเป็นสูตร์ง่ายๆว่า
Index(t) = a*Index(t-1) + b*Index(t-2) +c*Index(t-3) +d*Index(t-4) +...+g*Index(t-7)
Index(t) ก็คือ คำทำนาย, Index(t-1),Index(t-2)...Index(t-7) คือค่าดัชนีย้อนหลังไป 1-7 วัน ซึ่งเราทราบค่าแล้ว ส่วน a,b,c,...g นั้นเป็นค่าคงที่ ซึ่งต้องหาจากข้อมูลย้อนหลังไปอีกหลายๆปี เขาใช้ Least Squares Method เป็นตัวหาค่า เขาต้องแก้สมการที่เป็น Matrix ขนาด 7 คูณ 7 ซึ่งในยุคนั้นต้องทำด้วยเครื่องบวกเลข จึงใช้เวลาและแรงงานสูงมาก
ครับ, สูตร์ของ Borg and Jenkin นี้ใช้ได้ดีพอสมควร มันสามารถทำกำไรได้ถ้าเก็บค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อย กลุ่มอาจารย์ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า)ก็เคยทดลองเอามาใช้กับหุ้นไทย แต่ตอนหลังๆมาได้เลิกใช้ไปเพราะทนค่าธรรมเนียมการซื้อขายไม่ใหว
ครับ, ทิศทางของดัชนี หรือราคาหุ้นนั้น มันมีความสัมพันธ์กับดัชนี หรือราคาหุ้นที่ย้อนหลังไป และเรามักจะมองย้อนไปแค่ 1-7 วันเท่านั้น ที่ต้องมองย้อนแค่ 1-7 วันก็เพราะมันใช้เวลาในการหาค่าตัวคงที่ต่างๆในสูตร์เหล่านั้น และนอกจากนี้แล้ว ถ้าคุณใช้ข้อมูลย้อนหลังที่ยาวขึ้น มันจะเป็นการทำนายทิศทางที่ยาวขึ้น ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนระยะสั้น
ส่วนตัวผมนั้น ได้ทดลองทำโปรแกรมเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่าง ทิศทางของดัชนีวันนี้ เทียบกับ ดัชนีย้อนไป 1, 2, 3, 4, ...วันดูแล้ว มันมีค่าดังนี้
ย้อน 1 วัน =0.1571 ย้อน 2 วัน =0.0405 ย้อน 3 วัน =0.0271 ย้อน 4 วัน =0.0338 ย้อน 5 วัน =-0.0034 ย้อน 6 วัน =-0.0142 ย้อน 7 วัน =-0.0054 ย้อน 8 วัน =0.0237 ย้อน 9 วัน =0.0247
จากตัวเลขข้างบน เราจะเห็นได้ว่า การขึ้นลงของดัชนีของวันนี้ มีความสัมพันธ์กับการขึ้นลงของดัชนีวันวานนี้มากที่สุด แต่ 0.1571 นั้นก็มีค่าไม่มากนัก(ค่า Correlation นี้จะอยู่ระหว่าง -1 ถึง +1, ถ้ามันเป็น -1 มันหมายความว่าตัวแปรสองตัวนี้สวนทางกันตลอดเวลา ถ้ามันมีค่าเป็น +1 มันหมายความว่า ตัวแปรสองตัวนี้ขึ้นลงพร้อมกันตลอดเวลา และถ้ามันมีค่าเป็น 0 จะแสดงว่า ตัวแปรสองตัวนี้เดี๋ยวไปด้วยกัน เดี๋ยวสวนทางกัน หรือคือ ไม่มีความสัมพันธ์กันเลย) การมีความสัมพันธ์ระดับ 0.1571 นี้แสดงว่ามันขึ้นลงพร้อมๆกันบ่อยหน่อย แต่ก็สวนทางกันอยู่พอควร จากค่านี้เราอาจทำนายทิศทางของ SET โดยดูการขึ้นหรือลงของวานนี้ โดยบอกว่า ถ้าวานนี้ SET ขึ้น ให้ทำนายว่าวันนี้จะขึ้นเช่นกัน แต่ถ้าวานนี้ SET ลง ก็ให้ทำนายว่าจะลงเช่นกัน คำทำนายอันนี้มีโอกาสถูกประมาณ 0.5635 ซึ่งก็ดีกว่าการดูจากสถิติ Occurance ของ SET แต่อย่างเดียว แต่มันก็ยังดีไม่พอกับค่าคอมมิชชั่นที่สูงมาก
และเมื่อเรามองดูตารางข้างบนซ้ำอีกที ท่านก็จะเห็นได้ว่า ค่าความสัมพันธ์กันมันลดลงอย่างมาก นี่แสดงว่า ข้อมูลย้อยหลังไปจากวันวานนี้แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย นักสถิติที่บุกมาจนถึงจุดนี้จึงมักจะสรุปว่า สถิติ หรือการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นไม่มีประโยชน์ หนทางแก้ในเรื่องนี้ก็คือ ต้องเก็บสถิติที่ใช้ช่องเวลาที่สั้นขึ้น และต้องหาตัวแปรชนิดอื่นๆมาช่วย เช่น วอลุ่ม ข้อมูลข่าวสารการบ้านการเมือง ... ซึ่งก็ยังไม่มีวิธีใหนที่พาเราไปสู่ความรวยแบบลัดๆได้ เรื่องนี้อาจมีคนทำสำเร็จแล้ว แต่ใครจะเอามาบอกท่านฟรีๆ
ครับ, นี่คือความจริงที่ผมรู้มานานแล้ว แต่ก็ไม่อยากจะพูดออกไปตรงๆ เพราะมันเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ผมพยายามชี้อยู่เสมอว่า สถิติในระดับช่องเวลาเป็นรายวันนี้จะมีประโยชน์ต่อนักลงทุนที่เล่นยาวเท่านั้นแต่ก็ต้องเจ็บช้ำน้ำใจอยู่เสมอๆ เพราะมีคนดันทุรังเอาคำแนะนำของผมไปใช้เล่นระยะสั้น แถมยังไปเล่นหุ้นที่ถูกปั่นด้วย เมื่อขาดทุนแล้วก็มาด่าผม คนที่อยากเห็นผมปิดเวปก็มาช่วยถล่มผม
ครับ, จงเลิกเล่นหุ้นเป็นรายวันเสียเถอะ การวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นช่วยท่านไม่ได้ คราวหน้าผมจะมาอธิบายให้ฟังว่า การวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นใช้กับการเล่นหุ้นระยะยาวได้อย่างไร
http://www.drpunya.com/news.htm
จากคุณ :
NonBuri
- [
20 ก.ย. 50 21:02:55
]
|
|
|